วันเวลาผ่านไปไวเสียเหลือเกิน อีกไม่กี่วันก็จะหมดปี 2549 แล้ว จากนั้นวันเวลาก็จะล่วงเข้าสู่ปีใหม่ 2550
ในช่วงบรรยากาศส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ “ผู้จัดการตระเวนกิน” ขอฉีกแนวจากที่เคยเป็นมา ด้วยการไม่พาไปแนะนำร้านอาหารหรือภัตตาคารรสเด็ด แต่จะเปลี่ยนมานำเสนอ เทรนด์อาหารในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งปีที่สีสันในแวดวงอาหารไทยมีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
“โรตีบอย” มาแรง ไปเร็ว
สำหรับขนมที่มาแรงแห่งปี 49 นี้ คงจะต้องยกให้ “โรตีบอย” ขนมปังก้อนกลมๆ ที่โรยหน้าด้วยคาราเมลครีมกลิ่นกาแฟ แล้วนำไปเข้าเตาอบ ออกมาเป็นขนมปังอบที่มีกลิ่นหอมชวนกิน และมีรสชาติกรอบนอกนุ่มใน
ความมาแรงของโรตีบอยนั้น ไม่ต้องพูดถึง เพราะกลายเป็นข่าวครึกโครมเอามากๆ ที่ว่าหากใครได้มาเดินเที่ยวแถวสยามสแควร์ซอย 4 หรือสีลมแล้วล่ะก็ เป็นต้องได้กลิ่นหอมๆ อันยั่วยวนของขนมปังที่อบร้อนๆ พร้อมกับภาพของฝูงชนที่พากันยืนต่อคิวเป็นแถวยาวเหยียด เป็นชั่วโมงๆ เพื่อที่จะได้มาซึ่งขนมปังหนึ่งก้อนมาลองลิ้มรสชาติว่าเป็นเช่นไร อร่อยสมค่ำล่ำลือหรือไม่??
ซึ่งในหมู่นักกินที่คลั่งไคล้โรตีบอยนี้ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว “โรตีบอย” (Rotiboy) นั้นเป็นเพียงชื่อทางการค้าของขนมปังอบชนิดหนึ่ง ที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่ผู้นิยมกินขนบปังอบว่า “เม็กซิกัน บัน” (Mexican Bun) ซึ่งเป็นแฟรนไชส์มาจากประเทศมาเลเซีย
และหลังจากที่โรตีบอย เปิดตัวดังเปรี้ยงปร้าง จนเกิดเป็นกระแส “โรตีบอยฟีเวอร์” ขึ้นมา ก็ทำให้ผู้ลงทุนรายอื่นๆ เห็นแววรวยพากันนำเข้าขนมเม็กซิกัน บัน แบรนด์อื่นๆ เข้ามาขายแข่งขันกันอย่างคึกคัก ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็พยานยามสร้างจุดขายที่แตกต่างกันไป บ้างก็แตกต่างกันตรงหน้าขนมปัง บ้างก็แตกต่างกันตรงที่ราคา เพื่อเป็นการตอบสนองความนิยมของนักกิน
แต่ด้วยเพียงช่วงระยะเวลาไม่นานนัก ตามนิสัยคนไทยที่มักจะฟีเว่อร์อะไรเป็นพักๆ ทำให้โรตีบอยที่มีกระแสตอบรับที่ดีมากๆมีคนมารอต่อคิวซื้อยาวเหยียด กลับแผ่วลงอย่างรวดเร็ว วันนี้หาภาพคนมารอต่อคิวเช่นนั้นไม่ได้แล้ว เหลือเพียงแต่บรรยากาศร้านที่เงียบเหงา ซึ่งถือว่ากระแส “โรตีบอย”แม้มาแรงโดนใจ แต่ก็ช่างไปไวเสียเหลือเกิน สำหรับหมู่นักกินคนไทยที่มักจะเห่อง่าย หายเร็ว
“เครปเย็น”น้องใหม่โดนใจวัยโจ๋
จากขนมปังอบอย่างโรตีบอย ดูเหมือนว่า“เครปเย็น” จะเป็นขนมอีกชนิดหนึ่งที่เข้ามาตีตลาดกลุ่มนักกิน โดยเฉพาะวัยโจ๋ทั้งหลาย จนทำให้เครปเย็นกลายเป็นขนมยอดฮิตล่าสุดประจำซีซั่นนี้
เครปเย็น เดิมเป็นขนมที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมาพร้อมกับความโดดเด่นสดใหม่จากเนื้อครีมสีขาวกลิ่นหอม แป้งเนื้อบางเหนียวนุ่มที่ผ่านการแช่เย็น ใส่ไส้ผลไม้หลากชนิด มาพร้อมท้อปปิ้งหลากสีสัน ที่เลือกได้ตามความต้องการ
สำหรับเมนูเครปเย็นยอดฮิต ก็มีหลากหลาย อาทิ กล้วยกับสตรอเบอรี่ ครีมสด ราดซอสช็อคโกแลต , โอรีโอครีมสด,กล้วยกับช็อคโกแลต เค้ก ครีมสด, มะม่วงกับครีมสด, คอนเฟลกกับครีมสด, สตอเบอรี่และกล้วยหอมครีมสด สูตรที่ได้รับความนิยมสูงสุด ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 39 บาท ทั้งนี้ราคาจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับชนิดของส่วนผสมที่เลือก
ปัจจุบันแบรนด์ที่นำเข้าเครปเย็นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบรนด์ในเมืองไทย แบรด์เหล่านี้ต้องซื้อสูตรมาจากต้นตำรับในประเทศญี่ปุ่นและต้องนำมาวิเคราะห์ปรับปรุงสูตรให้รสชาติเป็นที่ถูกปากคนไทย เครปเย็นนั้นในประเทศญี่ปุ่นเป็นขนมยอดฮิตมานานแล้ว ขายดีมากมีการต่อคิวซื้อกัน พัฒนาไปจนถึงขั้นตู้เครปยอดเหรียญ
สำหรับโอกาสเติบโตของเครปเย็นในเมืองไทยเชื่อว่ายังคงสามารถเติบโตได้อีกมากเพราะยังใหม่ในตลาดบ้านเราและมีรสชาติถูกลิ้นคนไทยกอปรกับในเมืองไทยมีผลไม้เป็นจำนวนมากและมีราคาถูกเมื่อนำมาผสมกับครีมสดแล้วจะได้รสชาติหลากหลายสีสันก็เป็นอีกประการหนึ่งมีดึงดูดให้ลูกค้าหันมาสนใจเครปเย็น
“เค้กโฮมเมด-ไอศกรีมโฮมเมด” ความนิยมไม่มีตก
ส่วนขนมหวานอย่างอื่นที่มาแรงไม่มีตก เห็นจะเป็นบรรดา “เค้กโฮมเมด” และ “ไอศกรีมโฮมเมด” โดยขอกล่าวถึง “เค้กโฮมเมด” กันก่อน เพราะในหมู่นักกินที่พิสมัยการกินเค้กเป็นชีวิตจิตใจแล้วล่ะก็ หากนึกอยาก จะกินเค้กอร่อย ๆ ขึ้นมาสักชิ้น เป็นต้องนึกถึงเค้กที่ทำแบบโฮมเมด (Homemade)เหตุผลก็เพราะว่า เค้กโฮมเมดนั้นได้ชื่อว่าเป็นเค้กที่คนทำ ใช้ความพิถีพิถันในการทำเค้กเป็นอย่างมาก มักจะเลือกสรรวัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพมาใส่ลงไป และทำแบบไม่หวงเครื่อง เพื่อที่จะได้มาซึ่งรสชาติของเค้กที่อร่อยจริงๆ และที่สำคัญนั้นคนทำมักจะใส่ใจลงไปด้วยในขณะทำ ทำอย่างมีความสุข เพื่อที่จะได้ให้คนที่ลิ้มรสเค้กได้กินเค้กแสนอร่อย
ซึ่งเค้กโฮมเมดเหล่านี้ ถือได้ว่ามีความพิเศษอยู่ในตัวทั้งด้วยรูปร่างหน้าตาเค้ก และรสชาติสารพันแปลกใหม่ ตามแต่ที่คนทำแต่ละคนจะคิดค้นครีเอทขึ้นมาเอง จัดว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเค้กโฮมเมดที่ว่ามีความหลากหลาย คนกินจะได้ลิ้มรสเค้กรสชาติที่ไม่เคยกินที่ไหนๆ มาก่อน แต่ก็มีข้อด้อยนิดหนึ่งตรงที่เค้กโฮมเมดนั้นแต่ละร้านมักจะทำออกมาขายในปริมาณที่ไม่มาก ไม่เหมือนเค้กตามท้องตลาดทั่วๆ ไปที่มีวางขายให้เกลื่อน
มาถึง “ไอศกรีมโฮมเมด” ที่ไม่ว่านักกินทั้งเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ ต่างก็ชื่นชอบไม่แพ้กัน ซึ่งปกติไอศกรีมทั่วไปที่คุ้นเคย ก็จะเป็นรสชาติธรรมดาทั่วๆ ไปอย่างช็อคโกแลต กาแฟ สตรอเบอรี่ กะทิ แต่เมื่อกลายมาเป็น “ไอศกรีมโฮมเมด” แล้วล่ะก็ ความพิเศษของไอศกรีม จะอยู่ที่การที่คนทำไอศกรีมครีเอทใส่ใจในวัตถุดิบที่เลือกใช้ ใช้แต่ของดีมีคุณภาพ รวมถึงยังได้คิดค้น ดัดแปลงสูตร และหยิบเอาวัตถุดิบอื่นๆ ใส่ผสมมาในไอศกรีม ไม่ว่าจะเป็นพวกผลไม้ต่างๆ ชาเขียว ชาเย็น หรือค็อกเทลก็ยังมี ทำให้เกิดเป็นไอศกรีมรสชาติแปลกใหม่แหวกแนว เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับคนกินที่จะได้ลิ้มรสชาติใหม่ๆ ที่ไม่จำเจ รวมถึงไอศกรีมโฮมเมดบางอย่าง คนกินยังสามารถเลือกรสชาติไอศกรีมและปรุงรสชาติได้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก รวมทั้งยังมีการจัดตกแต่งหน้าตาไอศกรีม ด้วยท็อปปิ้งที่หลากหลาย และมีสีสันยั่วยวนใจให้ชวนลิ้มลองไอศกรีมเป็นเอามาก
“น้ำผลไม้”เทรนด์นี้เพื่อสุขภาพ
และจากขนมหวาน ก็หันมาดูเรื่องของน้ำผลไม้กันบ้าง ซึ่งอันที่จริงนั้นเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้ก็มีมานานแล้ว กล่าวกันว่าน้ำผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายรองลงมาจากน้ำผลไม้เลยทีเดียว และช่วงนี้กระแสอาหารเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง น้ำผลไม้ที่ส่วนใหญ่มักเสนอตัวว่าเป็นน้ำผลไม้ 100 % ไร้สารเจือปนจึงกระโดดเข้ามามีบทบาทมากเป็นพิเศษในปีนี้
ด้วยสรรพคุณของน้ำผลไม้แต่ละชนิด อาทิกระเจี๊ยบแดง ฝรั่ง มะขาม เสาวรส หรือแม้กระทั่งแก้วมังกร ที่ชูจุดขายว่าสามารถทำให้ได้รับวิตามินซีมากขึ้น ลดคลอเลสเตอรอลได้ สามารถทำให้การรักษาอื่นใดนั้น ประสบความสำเร็จดียิ่งขึ้น ล้วนเป็นอีกจุดขายหนึ่งที่ผู้ค้าต่างดึงมาเป็นกลเม็ดในการขาย
สำหรับน้ำผลไม้ที่มาแรงแซงเพื่อนร่วมก๊วนก็ต้องยกให้ “น้ำลูกสำรอง”แต่เดิมที่ไม่มีใครรู้จัก ในปัจจุบันกลับมีรูปแบบมากมายออกมาตีตลาด ทั้งที่เป็นขวดบรรจุ หรือแบบเป็นผงกึ่งสำเร็จรูป ด้วยความนิยมในสรรพคุณที่แก้ร้อนใน ลดความอ้วน ท้องเดิน ลดอาการปวด บำรุงไต ล้างไขมันในลำไส้ เคลือบไขมันในลำไส้ จึงไม่แปลกเลยหากน้ำลูกสำรองจะเป็นที่นิยมในผู้สาวๆ ซึ่งคาดว่าเทรนด์นี้จะยังคงร้อนแรงระบาดข้ามปีแน่นอน
ขาลง“หมูกระทะ”
จากเรื่องอาหารที่ดูอินเทรนด์ หากย้อนมองกลับมาดูอาหารที่มาแรงในหลายๆ ปีก่อน รวมถึงในปี 49 นี้ก็ยังมีให้เห็นบ้าง แต่ก็ต้องถือว่าเป็นช่วงปลายทางของอาหารเหล่านี้แล้ว นั่นก็คือ “หมูกระทะ” ที่เชื่อว่าบรรดานักกินทั้งหลายคงไม่มีใครไม่เคยลองลิ้มรสชาติหมูกระทะ หรือเนื้อย่างเกาหลี เพราะในวงการร้านอาหารบ้านเรา มีร้านอาหารจำพวกร้านหมูกระทะ ร้านเนื้อย่างเกาหลี เปิดให้บริการอยู่มากมาย กระจายไปทั่วทุกมุมเมือง
ซึ่งหากจะกล่าวว่าร้านอาหาร “หมูกระทะ” ปิ้งๆย่างๆ พวกนี้ได้กลายเป็นอาหารแฟชั่นยอดฮิตในหมู่นักลงทุนก็ว่าได้ เพราะมีบรรดานักลงทุนทั้งคนทั่วไปธรรมดา ไล่เรื่อยไปจนถึงพวกศิลปินอย่างดารา-นักร้อง รวมไปถึงนักมวยที่มีชื่อเสียงดังๆ ทั้งหลายอย่าง สมรักษ์ คำสิงห์ นำพล หนองกี่พาหุยุทธ เขาทราย แกแล็คซี่ ผจญมูลสัน และนักมวยอีกหลายคน ที่หันเหชีวิตจากสังเวียนผืนใบ ต่างก็หันมาเอาดีกับธุรกิจเปิดร้านหมูกระทะกันเยอะ
และในส่วนของหมู่นักกินเอง ก็ต้องยอมรับว่าหมูกระทะเป็นอาหารยอดฮิตไม่แพ้กัน เพราะหมูกระทะนั้นเป็นอาหารที่อยู่ในคอนเซปต์ “บุฟเฟต์ “ แบบอิ่มได้ไม่จำกัด ในราคาที่จำกัดไว้แล้ว ทำให้นักกินได้อิ่มอย่างเต็มที่กับบรรดาเนื้อสัตว์ต่างๆ สารพัดผักมากมายที่มีมาให้เลือกตัก เลือกหยิบนำมาปิ้งๆ ย่างๆ ลงบนเตาร้อนๆ ได้ตามความชอบใจ นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารเสริมอื่นๆ ทั้งคาว-หวานอีกมากมายที่ทางร้านจัดไว้บริการ
ทว่าในช่วงปี 49 ที่ผ่านมานี้ หากมองดูธุรกิจร้านหมูกระทะจริงๆ แล้วจะเห็นว่าในหมู่นักกินเริ่มอิ่มตัวกับอาหารจำพวกปิ้งๆ ย่างๆ นี้แล้ว ทำให้ความนิยมกินหมูกระทะแผ่วลงไปมากจนเห็นได้ชัดว่า ร้านหมูกระทะหลายร้านถ้าไม่เจ๋งจริงในเรื่องรสชาติ การบริการ และทำเลที่ตั้ง ก็ต้องปิดตัวเองลงไปโดยปริยาย
หมูกระทะใน ปี 2549 จึงเข้าสู่ยุคขาลง ที่ร้านขายหมูกระทะแต่ละร้านคงต้องหากลเม็ดเด็ดพรายมาดึงลูกค้าให้ยังคงโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรหมูกระทะและในวงการอาหารบ้านเราต่อไป
“เกาหลี ฟีเวอร์”กระแสเจือจางแต่ยังไปรอด
จากหมูกระทะ ตามาดูกระแสของ “อาหารเกาหลี” ในบ้านเรา หากจะกล่าวว่าดังได้เพราะละครก็คงจะไม่ผิดนัก แต่เดิมจากที่รู้จักกันในกลุ่มเล็กๆก็มาเปรี้ยงปร้างดังจนฉุดไม่อยู่ก็เมื่อได้แรงหนุนจาก “แดจังกึมจองนางแห่งวังหลวง”ละครเกาหลีเรื่องดังที่นอกเหนือจากการดำเนินเรื่องแบบละครทั่วไปแล้ว ยังพ่วงท้ายด้วยการสอดแทรกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาหารการกิน อันเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่สามารถซึมซับเข้าสู่ทุกชนชาติได้อย่างไร้ขีดจำกัด
เพียงไม่กี่ตอนที่ละครเรื่องนี้ออกอากาศร้านอาหารเกาหลีก็คลาคล่ำไปด้วยคนไทย ทั้งที่อุปนิสัยการกินของคนไทยกับคนเกาหลีนั้นมีความแตกต่างกัน คนไทยชอบทานเค็มๆ หวานๆ และเผ็ดๆในขณะที่คนเกาหลีจะชอบรสจืดๆ ดังไม่ดังแค่ไหนก็คิดกันเองเพราะแม้แต่ทางกระทรวงสาธารณสุขยังเคยออกมาแสดงความกังวลกับกระแสเกาหลีฟีเว่อร์นี้ด้วยเกรงว่าคนไทยจะเห่ออาหารแดนกิมจิจนหลงลืมอาหารไทย
อาหารเกาหลีมีลักษณะเป็น หยิน-หยาง ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และเน้นความสำคัญของส่วนผสมกินแล้วยังสามารถเป็นสมุนไพรรักษาโรคไปในตัวได้อีกด้วย แม้ตอนนี้กระแสละครอย่างแดจังกึมจอมนางแห่งวังหลวงจะหมดไปแต่ก็ใช่ว่าความสนใจในอาหารเกาหลีจะหมดลง เพราะตราบใดละครเกาหลียังได้รับความนิยมในเมืองไทยอาหารเกาหลีก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้เช่นกัน
“ต้มยำกุ้ง” เมนูอมตะ อวลกลิ่นการเมือง
หากเอ่ยชื่อ “ต้มยำกุ้ง” ขึ้นมา หลายคนก็ต้องนึกถึงเมนูอาหารรสจัดจ้านที่เป็นอาหารยอดฮิตติดปากของคนไทย และยังเป็นเมนูยอดนิยมของนักกินทั่วโลก ที่ไม่ว่าชาวต่างชาติชาติไหน เมื่อได้ลองลิ้มรสต้มย้ำกุ้งแล้วเป็นต้องติดใจในรสชาติความแซบของต้มยำกุ้งทั้งนั้น ขนาดที่ว่ามาเมืองไทยเป็นต้องสั่งเมนูต้มยำกุ้ง
เพราะความดังของเมนูต้มยำกุ้งแห่งสยามประเทศนั้น ไม่ได้ดังเฉพาะในแง่ของอาหารเท่านั้น แต่ยังไปดังอยู่ในแวดวงภาพยนตร์อีกด้วย เมื่อมีหนังเรื่องต้มยำกุ้งที่ “จา พนม” พระเอกนักบู๊ของชาวไทยแสดงไว้ ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยคิวบู๊อันดุเดือดของจา พนม ทำให้หนังเรื่องต้มยำกุ้งโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอีกด้านหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นอกจากชื่อเสียงอันโดดเด่นของต้มยำกุ้ง เมนูอมตะที่โด่งดังไปทั่วโลกแล้ว “ต้มยำกุ้ง”ยังกลายเป็นคำแสลงทางเศรษฐกิจ เพราะโรค“ต้มยำกุ้งดีซีส”ที่ระบาดไปจากประเทศไทยนั้น ได้ก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจไปทั่วโลก ส่วนประเทศไทยนั้นย่ำแย่จากภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จนต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มาเพื่อใช้แก้ปัญหาสภาพการเงินที่เกิดขึ้น
ส่วนเมื่อไม่นานมานี้ กระแสต้มยำกุ้งเกิดเป็นประเด็นฮอตทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดประเด็นที่ว่า ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย นั้นได้เงินสนับสนุนการก่อเหตุร้ายส่วนหนึ่งมาจากเครือข่ายร้านอาหารไทยในประเทศมาเลเซีย หรือเครือข่าย “ต้มยำกุ้ง” ซึ่งทำให้คำว่า “ต้มยำกุ้ง” โด่งดังขึ้นมาอีกครั้งแต่เป็นไปในทิศทางที่ไม่ดีเท่าไรนัก