โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

หลังการยึดอำนาจรัฐประหารของ คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือคปค.เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 หลายๆ คนยังสับสนเรียกการรัฐประหารครั้งนี้ว่าการ "ปฏิวัติ" ซึ่งจริงๆแล้ว เมืองไทยมีการปฏิวัติเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ภายใต้การนำของคณะราษฎร หรือคณะราษฎร์ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 จะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ที่ถือเป็นวันรัฐธรรมนูญของไทยในปัจจุบัน
เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และรับรู้ถึงประวัติศาสตร์สำคัญของชาติไทยช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฉันจึงเลือกเดินทางไปยัง "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" ที่ตั้งอยู่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เพื่อเรียนรู้เรื่องราวในอดีตอันทรงคุณค่า

เมื่อฉันมาถึงพิพิธภัณฑ์ฯพระปกเกล้า ที่ชวนชมด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตกสไตล์นีโอคลาสสิคสีขาว มี 3 ชั้น มียอดโดมตรงกลาง ซึ่งก็คืออาคารพิพิธภัณฑ์นั่นเอง
อาคารหลังนี้สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมเป็นสำนักงานใหญ่กรมโยธาฯ ต่อมาในปี ในปี พ.ศ.2523 ได้ปรับเปลี่ยนเป็น “พิพิธภัณฑ์รัฐสภา” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์ฯพระปกเกล้า ในปี พ.ศ.พ.ศ.2544 โดยมีสถาบันพระปกเกล้าดูแลรับผิดชอบ
ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการถาวรเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับรัชกาลที่ 7 ทั้งหมด ตั้งแต่การสืบราชสันติวงศ์,พระราชประวัติก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชกรณียกิจ งานฉลองพระนครครบ 150 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง การพระราชทานรัฐธรรมนูญ เครื่องราชภัณฑ์และพระราชนิยมส่วนพระองค์ พระราชประวัติหลังสละราชสมบัติ รวมถึงยังมีการแสดงในส่วนของศาลาเฉลิมกรุงเก่าอีกด้วย ซึ่งในส่วนนิทรรศการทั้งหมดนั้นจะอยู่ในชั้นที่ 2 และ 3

พูดถึงการวางจุดต่างๆเพื่อเป็นแนวทางในการนำชมนิทรรศการนั้นฉันคิดว่ามีวิธีการจัดวางที่ดีมาก โดยทางเดินจะช่วยบังคับให้เราไล่เรียงเรื่องราวต่างๆไปตามลำดับกาลและง่ายต่อการเข้าใจ เมื่อฉันขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 2 ก็เป็นการเริ่มต้นเรื่องราวพระราชประวัติทั้งหมด ทั้งเรื่องราวและรูปภาพที่จัดแสดงไว้ทำให้ฉันเหมือนได้นั่งเครื่องไทม์แมกชีนย้อนกลับไปสู่โลกแห่งอดีตกาล และด้วยความที่มีการจัดการจัดระเบียบที่ดี ทำให้ในปีนี้พิพิธภัณฑ์ฯพระปกเกล้า สามารถคว้าวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย หรือรางวัลกินรี ครั้งที่ 6 ในรางวัลยอดเยี่ยมประเภทองค์กรส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวมาได้
สำหรับเรื่องราวอันทรงคุณค่าทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่ฉันขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 2 สิ่งที่ฉันได้พบคือเรื่องราวพระราชประวัติตั้งแต่ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ฉันได้เห็นรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะยังทรงพระเยาว์พร้อมด้วยพระราชบิดาและพระราชมารดาและพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นๆที่มีขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดเจนเต็มตา

ถัดไปเป็นการแสดงเรื่องของพระราชประวัติการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศในประเทศอังกฤษ ทรงสำเร็จในวิชาการทหารจากโรงเรียนนายร้อยเมืองวูลิซ (The Royal Military Academy, Woolwich) จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายร้อยตรีกิตติมศักดิ์ แห่งกองทัพบกอังกฤษ และยังมีชุดเครื่องแบบจัดแสดงโชว์อยู่ในนิทรรศการ
ต่อมาเป็นภาพและเรื่องราวเกี่ยวกับการผนวช และจำพรรษาอยู่ ณ พระตำหนักทรงพรต วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อลาผนวชไม่นานก็ได้ทรงอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์ เมื่อวันที่26 สิงหาคม พ.ศ.2461 ซึ่งมีชุดดินเนอร์ ตราพระราชเสาวนีย์ที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันอภิเษกสมรสจัดแสดงให้ดูด้วย
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไปในปี พ.ศ. 2468 ซึ่งในนิทรรศการได้มีรูปแสดงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไว้ให้ได้ชม และที่ฉันเห็นแล้วถึงกับต้องหยุดตั้งสมาธิแล้วค่อยๆอ่านอย่างใช้เวลานานก็คือ พระบรมนามาภิไธยในสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวตามที่ได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัฏ ซึ่งมีความยาวมาก จนฉันไม่สามารถจดจำมาเขียนเล่าได้ หากมิตรรักนักอ่านท่านใดสนใจใคร่รู้ ก็ต้องไปดูไปอ่านเอาเองที่พิพิธภัณฑ์ฯ

ส่วนในชั้นที่ 3 เป็นเรื่องราวพระราชประวัติต่อจากชั้นที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วไปจนกระทั่งการพระราชทานรัฐธรรมนูญในปี 2475 โดยนิทรรศการได้เล่าถึงเรื่องราวพระราชกรณียกิจต่างๆ มากมาย อาทิ การได้ช้างเผือก การสมโภชช้างพลายสำคัญ เรื่องการก่อสร้างทางรถไฟสายต่างๆ การสร้างพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนครเพื่อรวบรวมโบราณวัตถุต่างๆไว้สำหรับให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมและศึกษาค้นคว้า ทรงมีพระราชดำริที่จะพัฒนาการปกครองท้องถิ่นให้เป็นพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย ภาพแสดงพระราชพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี
ต่อมาเป็นเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 โดยคณะราษฎรได้ทำการยึดอำนาจด้วยวัตถุประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475
จากนั้นก็ทรงประกาศให้ยกเลิกการนุ่งผ้าม่วงหรือโจงกระเบน ให้นุ่งกางเกงขายาวตามแบบสากลแทน ส่วนสุภาพสตรีได้พัฒนาจากการนุ่งซิ่นมาเป็นผ้าถุงสำเร็จและสวมเสื้อไม่มีแขนแทน

จากชั้น 3 ทางบังคับให้เราเดินลงมายังส่วนแสดงอีกส่วนหนึ่งที่ชั้น 2 ในส่วนนี้แสดงถึงเครื่องราชภัณฑ์และพระราชนิยมส่วนพระองค์ทั้งด้านดนตรี กีฬา การทรงกระอักษร และด้านภาพยนตร์ ซึ่งในส่วนของภาพยนตร์นั้นมีการจำลองศาลาเฉลิมกรุงและมีห้องฉายภาพยนตร์ขนาดเล็กไว้สำหรับฉายภาพยนตร์พระราชกรณียกิจในสถานที่ต่างๆ และภาพยนตร์ฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าชมได้ด้วย
ต่อมาก็เป็นเรื่องราวพระราชกรณียกิจต่างๆหลังสละราชสมบัติในปี พ.ศ. 2477 และเสด็จสวรรคต ณ ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2488 รวมพระชนมพรรษา 52 พรรษา
ภายในพิพิธภัณฑ์ฯนี้ มีทั้งรูปภาพ ประราชประวัติ และข้าวของเครื่องใช้ทั้งเครื่องแต่งกาย อาวุธ เครื่องใช้ รวมถึงของสะสม และสิ่งของต่างๆที่พระองค์รัชกาลที่ 7 เคยใช้ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีให้ทรงนำมาจัดแสดง ซึ่งถ้ามิตรรักนักอ่านผู้ใดสนใจ ฉันขอแนะนำให้ไปชมไปศึกษากันได้ที่ "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" รับรองว่าจะต้องรู้ซึ้งถึงอดีตเหมือนได้นั่งเครื่องไทม์แมกชีนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์อันทรงคุณค่าของยุคนั้นเลยทีเดียว
คลิกอ่านรายละเอียดและการเดินทางไปยัง "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" ได้ที่นี่
หลังการยึดอำนาจรัฐประหารของ คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือคปค.เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 หลายๆ คนยังสับสนเรียกการรัฐประหารครั้งนี้ว่าการ "ปฏิวัติ" ซึ่งจริงๆแล้ว เมืองไทยมีการปฏิวัติเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ภายใต้การนำของคณะราษฎร หรือคณะราษฎร์ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 จะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ที่ถือเป็นวันรัฐธรรมนูญของไทยในปัจจุบัน
เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และรับรู้ถึงประวัติศาสตร์สำคัญของชาติไทยช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฉันจึงเลือกเดินทางไปยัง "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" ที่ตั้งอยู่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เพื่อเรียนรู้เรื่องราวในอดีตอันทรงคุณค่า
เมื่อฉันมาถึงพิพิธภัณฑ์ฯพระปกเกล้า ที่ชวนชมด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตกสไตล์นีโอคลาสสิคสีขาว มี 3 ชั้น มียอดโดมตรงกลาง ซึ่งก็คืออาคารพิพิธภัณฑ์นั่นเอง
อาคารหลังนี้สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมเป็นสำนักงานใหญ่กรมโยธาฯ ต่อมาในปี ในปี พ.ศ.2523 ได้ปรับเปลี่ยนเป็น “พิพิธภัณฑ์รัฐสภา” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์ฯพระปกเกล้า ในปี พ.ศ.พ.ศ.2544 โดยมีสถาบันพระปกเกล้าดูแลรับผิดชอบ
ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการถาวรเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับรัชกาลที่ 7 ทั้งหมด ตั้งแต่การสืบราชสันติวงศ์,พระราชประวัติก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชกรณียกิจ งานฉลองพระนครครบ 150 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง การพระราชทานรัฐธรรมนูญ เครื่องราชภัณฑ์และพระราชนิยมส่วนพระองค์ พระราชประวัติหลังสละราชสมบัติ รวมถึงยังมีการแสดงในส่วนของศาลาเฉลิมกรุงเก่าอีกด้วย ซึ่งในส่วนนิทรรศการทั้งหมดนั้นจะอยู่ในชั้นที่ 2 และ 3
พูดถึงการวางจุดต่างๆเพื่อเป็นแนวทางในการนำชมนิทรรศการนั้นฉันคิดว่ามีวิธีการจัดวางที่ดีมาก โดยทางเดินจะช่วยบังคับให้เราไล่เรียงเรื่องราวต่างๆไปตามลำดับกาลและง่ายต่อการเข้าใจ เมื่อฉันขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 2 ก็เป็นการเริ่มต้นเรื่องราวพระราชประวัติทั้งหมด ทั้งเรื่องราวและรูปภาพที่จัดแสดงไว้ทำให้ฉันเหมือนได้นั่งเครื่องไทม์แมกชีนย้อนกลับไปสู่โลกแห่งอดีตกาล และด้วยความที่มีการจัดการจัดระเบียบที่ดี ทำให้ในปีนี้พิพิธภัณฑ์ฯพระปกเกล้า สามารถคว้าวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย หรือรางวัลกินรี ครั้งที่ 6 ในรางวัลยอดเยี่ยมประเภทองค์กรส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวมาได้
สำหรับเรื่องราวอันทรงคุณค่าทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่ฉันขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 2 สิ่งที่ฉันได้พบคือเรื่องราวพระราชประวัติตั้งแต่ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ฉันได้เห็นรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะยังทรงพระเยาว์พร้อมด้วยพระราชบิดาและพระราชมารดาและพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นๆที่มีขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดเจนเต็มตา
ถัดไปเป็นการแสดงเรื่องของพระราชประวัติการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศในประเทศอังกฤษ ทรงสำเร็จในวิชาการทหารจากโรงเรียนนายร้อยเมืองวูลิซ (The Royal Military Academy, Woolwich) จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายร้อยตรีกิตติมศักดิ์ แห่งกองทัพบกอังกฤษ และยังมีชุดเครื่องแบบจัดแสดงโชว์อยู่ในนิทรรศการ
ต่อมาเป็นภาพและเรื่องราวเกี่ยวกับการผนวช และจำพรรษาอยู่ ณ พระตำหนักทรงพรต วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อลาผนวชไม่นานก็ได้ทรงอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์ เมื่อวันที่26 สิงหาคม พ.ศ.2461 ซึ่งมีชุดดินเนอร์ ตราพระราชเสาวนีย์ที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันอภิเษกสมรสจัดแสดงให้ดูด้วย
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไปในปี พ.ศ. 2468 ซึ่งในนิทรรศการได้มีรูปแสดงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไว้ให้ได้ชม และที่ฉันเห็นแล้วถึงกับต้องหยุดตั้งสมาธิแล้วค่อยๆอ่านอย่างใช้เวลานานก็คือ พระบรมนามาภิไธยในสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวตามที่ได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัฏ ซึ่งมีความยาวมาก จนฉันไม่สามารถจดจำมาเขียนเล่าได้ หากมิตรรักนักอ่านท่านใดสนใจใคร่รู้ ก็ต้องไปดูไปอ่านเอาเองที่พิพิธภัณฑ์ฯ
ส่วนในชั้นที่ 3 เป็นเรื่องราวพระราชประวัติต่อจากชั้นที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วไปจนกระทั่งการพระราชทานรัฐธรรมนูญในปี 2475 โดยนิทรรศการได้เล่าถึงเรื่องราวพระราชกรณียกิจต่างๆ มากมาย อาทิ การได้ช้างเผือก การสมโภชช้างพลายสำคัญ เรื่องการก่อสร้างทางรถไฟสายต่างๆ การสร้างพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนครเพื่อรวบรวมโบราณวัตถุต่างๆไว้สำหรับให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมและศึกษาค้นคว้า ทรงมีพระราชดำริที่จะพัฒนาการปกครองท้องถิ่นให้เป็นพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย ภาพแสดงพระราชพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี
ต่อมาเป็นเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 โดยคณะราษฎรได้ทำการยึดอำนาจด้วยวัตถุประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475
จากนั้นก็ทรงประกาศให้ยกเลิกการนุ่งผ้าม่วงหรือโจงกระเบน ให้นุ่งกางเกงขายาวตามแบบสากลแทน ส่วนสุภาพสตรีได้พัฒนาจากการนุ่งซิ่นมาเป็นผ้าถุงสำเร็จและสวมเสื้อไม่มีแขนแทน
จากชั้น 3 ทางบังคับให้เราเดินลงมายังส่วนแสดงอีกส่วนหนึ่งที่ชั้น 2 ในส่วนนี้แสดงถึงเครื่องราชภัณฑ์และพระราชนิยมส่วนพระองค์ทั้งด้านดนตรี กีฬา การทรงกระอักษร และด้านภาพยนตร์ ซึ่งในส่วนของภาพยนตร์นั้นมีการจำลองศาลาเฉลิมกรุงและมีห้องฉายภาพยนตร์ขนาดเล็กไว้สำหรับฉายภาพยนตร์พระราชกรณียกิจในสถานที่ต่างๆ และภาพยนตร์ฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าชมได้ด้วย
ต่อมาก็เป็นเรื่องราวพระราชกรณียกิจต่างๆหลังสละราชสมบัติในปี พ.ศ. 2477 และเสด็จสวรรคต ณ ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2488 รวมพระชนมพรรษา 52 พรรษา
ภายในพิพิธภัณฑ์ฯนี้ มีทั้งรูปภาพ ประราชประวัติ และข้าวของเครื่องใช้ทั้งเครื่องแต่งกาย อาวุธ เครื่องใช้ รวมถึงของสะสม และสิ่งของต่างๆที่พระองค์รัชกาลที่ 7 เคยใช้ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีให้ทรงนำมาจัดแสดง ซึ่งถ้ามิตรรักนักอ่านผู้ใดสนใจ ฉันขอแนะนำให้ไปชมไปศึกษากันได้ที่ "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" รับรองว่าจะต้องรู้ซึ้งถึงอดีตเหมือนได้นั่งเครื่องไทม์แมกชีนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์อันทรงคุณค่าของยุคนั้นเลยทีเดียว
คลิกอ่านรายละเอียดและการเดินทางไปยัง "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" ได้ที่นี่