xs
xsm
sm
md
lg

"ทวารบาล" ศิลปะพิทักษ์ประตูที่ถูกมองข้าม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประตูเซี่ยวกางตามคตินิยมของจีนที่วัดราชประดิษฐ์ฯ
"วัด" นอกจากจะเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวทางใจในศาสนาพุทธแล้ว วัด ยังเป็นแหล่งรวมงานศิลปวัฒนธรรมที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

หลายๆคนนอกจากจะเข้าวัดไปไหว้พระทำบุญ ฟังเทศน์ ฟังธรรมแล้ว เขาเหล่านั้นยังเข้าวัดไปเพื่อเสพงานศิลป์อีกด้วย

แต่กระนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะพุ่งเป้าไปที่โบสถ์ วิหาร จิตรกรรมฝาผนัง เจดีย์ พระพุทธรูป รวมถึงองค์ประกอบเด่นอื่นๆภายในวัด โดยมักจะมองข้ามด่านแรกของวัด หรือด่านแรกโบสถ์และวิหารที่เรียกขานกันว่า"ทวารบาล"ไป

กำเนิด"ทวารบาล" ผู้พิทักษ์รักษาประตู

หนังสือทวารบาลผู้รักษาศาสนสถาน ที่จัดทำโดยพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เขียนไว้ว่า "ทวารบาล" มาจากคำว่า "ทวาร" ที่แปลว่า "ประตู" และ"บาล" ซึ่งแปลว่า "รักษา ปกครอง"

"ทวารบาล" จึงมีความหมายว่า "ผู้รักษาประตู"ซึ่งจากคำแปล ก่อให้เกิดการตีความต่อประติมากรรมประเภททวารบาลว่าคือ รูปของสัตว์ อสูร เทพ เทวดา และมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตาม ที่ตั้งอยู่บริเวณบานประตู ช่องทางผ่านเข้าออก ช่องหน้าต่าง หรือราวบันได แต่หากประติมากรรมชนิดเดียวกันนี้ไปตั้งอยู่บริเวณอื่นที่มิใช่ประตู หรือช่องหน้าต่าง หรือทางเข้าออก ก็ไม่สามารถจะกล่าวว่าเป็นทวารบาล
ทวารบาลแต่งกายแบบทหารที่วัดราชบพิธฯ
สำหรับกำเนิดของการการสร้างทวารบาลนั้น น่าจะเกิดมาจากความเชื่อที่ว่า "ผี" เป็นผู้กระทำให้เกิดสิ่งต่างๆ เหนือธรรมชาติ และได้รับการพัฒนามาเป็นความเชื่อในเรื่องของเทวดาโดยได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทั้งศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ โดยทางศาสนาฮินดูนั้นก่อเกิดเทพเจ้าต่างๆขึ้น

โดยกำหนดให้เขาไกรลาส หรือเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาล มีพระอิศวรเป็นใหญ่ และมีเทพชั้นรองทำหน้าที่พิทักษ์ผู้รักษาประตู หรือทางเข้าสู่เขาไกรลาส ทั้งแปดทิศ ซึ่งเทพเจ้าในศาสนาฮินดูไม่จำกัดรูปร่าง จะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ ตามแต่ความเชื่อ ซึ่งสัตว์ที่ไม่มีในโลกมนุษย์เรียกว่า "สัตว์หิมพานต์" ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เชิงเขาไกรลาสที่ถือเป็นดินแดนแห่งเทพเจ้า

จากคติความเชื่อเทพผู้พิทักษ์นี้ได้นำมาใช้กับงานประติมากรรม และสถาปัตยกรรม เหตุที่ชาวฮินดูต้องการให้มีเทพปกปักรักษาสถานที่สำคัญทางศาสนา ซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะป้องกันภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา ทั้งนี้เนื่องจากศาสนสถานเหล่านั้นสร้างขึ้นตามคติที่เทพเจ้าสูงสุดประทับอยู่ จึงจำลองเขาไกรลาสมาไว้ยังโลกมนุษย์แล้วเกิดคติการสร้างทวารบาลขึ้นมา

จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ประธานชมรมสยามทัศน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ กล่าวถึงทวารบาลตำนานของอินเดีย ว่า ในยุคบรรพกาล พวกอสูรกับเทวดามักจะรบกันอยู่เสมอๆ แต่ว่าพวกอสูรจะเกรงกลัวพระอินทร์มาก เนื่องจากพระอินทร์ถือสายฟ้า(วชิราวุธ)และพระอินทร์ท่านก็เห็นว่าพวกเทวดาที่เป็นบริวารหวาดกลัวอสูร จึงให้วาดรูปพระอินทร์ไว้ตามประตูสวรรค์
ประตูเซี่ยวกางที่มีปากสีดำอันโดดเด่นของวัดบวรนิเวศ
"ส่วนตามคติความเชื่อของไทยเองก็ถือว่าพระอินทร์เป็นผู้รักษาพระศาสนาด้วยเช่นกัน ด้วยความคิดตรงนี้จึงเกิดมีการผสมผสานขึ้นมา เพราะคนไทยเป็นชาติที่ไม่ลอกเขา แต่เราชอบเลียนเขา คือเราไม่ได้ลอกเขามาทั้งหมด แต่เราจะดูว่าแบบของเขาเป็นอย่างไร ส่วนของเราคิดอย่างไร แล้วค่อยมาผสมกัน ก็เลยเกิดเป็นทวารบาลหลายรูปแบบขึ้นมา มีทั้ง เทวดาถือพระขรรค์ เทวดาไทยผสมจีน(เซี่ยวกาง) หรือถือพวกอาวุธต่างๆ ขี่กิเลนบ้าง ขี่สิงห์บ้าง แบบแผนตรงนี้ตามศาสนสถานหลายแห่งต่างก็มีแนวทางที่แตกต่างกันออกไป"

นอกจากจะรับมาจากอินเดียแล้ว ไทยเรายังรับเอาอิทธิพลของทวารบาลมาจากจีนด้วยเช่นกัน

สำหรับตำนานทวารบาลของจีนนั้น สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัย "พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้" ซึ่งตามตำนานเล่าว่า ในยุคของพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ "พญาเล่อ๋อง"เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ให้ฝนแก่ชาวโลก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดเพลินให้ฝนมากเกินไป ส่งผลให้น้ำท่วม ราษฎรเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

เมื่อ"เง็กเซียนฮ่องเต้" รู้เข้าก็โกรธพร้อมกับสั่งให้ "งุยเต็ง"จัดการประหารพญาเล่อ๋องเสีย ฝ่ายพญาเล่อ๋องก็หาทางที่จะรักษาชีวิตของตนเองไว้ โดยได้สืบทราบมาว่า งุยเต็งนั้นมีชีวิตอยู่สองภาคคือ ภาคมนุษย์ รับราชการอยู่กับพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ ส่วนภาคสวรรค์ ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาต จึงได้ไปเข้าฝันพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ ให้ช่วยบอกกล่าวกับงุยเต็งขออย่าให้ประหารชีวิตตน
ทวารบาลนางฟ้าที่ประตูวิหารวัดอัปสรสวรรค์
ซึ่งพระเจ้าถังไท้จงฯก็รับปาก โดยในคืนประหารก่อนบรรทมจึงให้งุยเต็งเข้าเฝ้า แล้วออกอุบายชวนเล่นหมากรุกกันหลายกระดานเพื่อไม่ให้งุยเต็งหลับ แต่ว่างุยเต็งก็เผลองีบหลับไป โดยช่วงที่งีบนั้นงุยเต็งได้ละเมอคำว่า "ซัว" ที่หมายถึง ฆ่า ขึ้นมาก่อนสะดุ้งตื่นมาเล่นหมากรุกต่อ

พระเจ้าถังไท้จงฯ เมื่อเห็นงุยเต็งตื่นก็สอบถามว่าช่วงที่งีบไปละเมอเห็นอะไรบ้าง งุยเต็งก็เล่าความฝันเรื่องไปประหารพญาเล่อ๋องบนสวรรค์ให้ฟัง เมื่อพระเจ้าถังไท้จงฯรู้เรื่องดังนั้นก็ทรงเสียพระทัยที่ไม่สามารถทำตามที่รับปากกับพญาเล่อ๋องไว้ได้

ทางฝ่ายพญาเล่อ๋องเมื่อตายไป วิญญาณก็โกรธแค้นพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้อย่างมาก ในทุกๆคืนจึงมาคอยรังควานพระเจ้าถังไท้จงฯในวังหลวง ทำให้พระองค์พักผ่อนได้ไม่เพียงพอ แล้วเกิดประชวร บรรดาแพทย์พยายามรักษาจนสุดความสามารถก็ไม่หาย ในเวลานั้นทหารเอก 2 คนคือ "อวยซีจง" และ "ซินซกโป้" ซึ่งมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้เป็นอย่างมาก ได้รับอาสาเฝ้าพระทวารห้องบรรทมมิให้พญาเล่อ๋องมารบกวนได้ แต่นานวันเข้าทหารทั้ง 2 ก็เจ็บป่วยเสียเอง เนื่องจากตอนกลางคืนต้องยืนยาม ส่วนกลางวันก็ต้องทำงาน

พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้จึงออกอุบายเรียกช่างฝีมือดีมาเขียนภาพทหารทั้งสองขึ้นที่บานประตูห้องพระบรรทมบานละคนโดยให้มีขนาดใหญ่เท่าตัวจริง มือถืออาวุธ หน้าตาถมึงทึง ทำให้เหมือนกับว่าทหารทั้งสองยืนยามเฝ้าประตูอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ เพราะหลังจากนั้นวิญญาณพญาเล่อ๋องก็ไม่มารบกวนพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้อีกเลย
เซี่ยวกางท่าทางขึงขังของวัดนางชี
นับตั้งแต่นั้นมาคติความเชื่อการเขียนทวารบาลก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเมืองจีน ก่อนจะแผ่อิทธิพลมาถึงเมืองไทยจนกลายเป็นงานศิลปะไทยที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสันนิฐานกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว โดยตอนแรกๆยังคงมีอิทธิพลของจีนอยู่

สำหรับทวารบาลแบบจีนที่ไทยนับมาและนิยมกันก็คือ "เซี่ยวกาง" มีลักษณะเป็นนักรบจีนหนวดยาวหน้าตาขึงขัง คำว่าเซี่ยวกาง สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า "เซ่ากัง" ที่แปลว่า ยืนยาม นั่นเอง

จุลภัสสร อธิบายเพิ่มเติมว่า คติของการมีเทพผู้พิทักษ์ประตูหรือการตั้งสิ่งที่ดูน่าเกรงขามน่ากลัวในการป้องกันศาสนสถานมีมาตั้งแต่โบราณแล้ว ไม่ได้มีแต่เฉพาะที่จีนหรืออินเดียเท่านั้น ทางกรีซ โรมันก็มีความเชื่อในเรื่องผู้พิทักษ์เช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็เชื่อว่าสถานที่ต่างๆบางครั้งจะมีสิ่งที่ชั่วร้ายหรือสิ่งอัปมงคลต่างๆมารบกวน ด้วยเหตุนี้จึงนิยมสร้างผู้พิทักษ์เป็นรูปปั้นบ้าง ใช้เป็นรูปสลักบ้าง หรือเป็นรูปวาดบ้างเพื่อใช้ในการป้องกันศาสนสถานนั้นๆ

สำรวจทวารบาลน่าสนใจตามวัดต่างๆ

หากพูดถึงทวารบาลที่น่าสนใจในเมืองไทยแล้วก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ หลายๆวัดมีทวารบาลที่สวยงาม แปลก และมีเรื่องเล่าอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ยักษ์วัดอรุณฯ อีกหนึ่งรูปแบบอันโดดเด่นของทวารบาล
วัดบวรนิเวศวิหาร วัดนี้มีประตูเซี่ยวกางตรงด้านหน้าพระอุโบสถที่ได้รับอิทธิพลของจีนมาอย่างเด่นชัด โดยประตูเซี่ยวกางแห่งนี้เป็นรูปเทวดาผี ใช้ไม้แกะเป็นรูปเทวดา หนวดเครายาว ปิดทองเหลืองอร่าม ตนหนึ่งมือซ้ายถือสามง่าม มือขวาถือกริช เหยียบบนหลังจระเข้ อีกตนหนึ่งมือขวาถือโล่ มือซ้ายถือดาบ เหยียบบนหลังมังกร มีตำนานอยู่ในลัทธิมหายานว่า เป็นจอมแห่งเทวดาผู้พิทักษ์ประตูวัด ซึ่งกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ ได้ปฏิสังขรณ์ใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ตามคตินิยมแบบจีน

ส่วนที่แปลกและสะดุดตาคนที่ผ่านไป-มา ก็คือ บริเวณปากของเซี่ยวกางวัดบวรฯจะมีสีดำ ซึ่งแม่ค้าพวงมาลัยหน้าประตูวัดเล่าว่า สมัยก่อนยุคที่เมืองไทยยังดูดฝิ่นได้ มีชาวจีนคนหนึ่งติดฝิ่นงอมแงม พอต่อมาทางการได้ปราบทำลายโรงงานยาฝิ่นจนหมดสิ้นเมื่อแกหาฝิ่นดูดไม่ได้ สุดท้ายเลยไปลงแดงตายตรงประตูนี้

หลังจากเมื่อทางวัดมาพบจึงได้ทำพิธีกงเต๊กให้ ต่อมาชาวจีนคนนั้นได้ไปเข้าฝันสมเด็จท่านเจ้าอาวาสว่า ให้ทำที่ให้แกอยู่แล้วแกจะเฝ้าวัดให้ ทางวัดจึงได้สร้างกำแพงทำซุ้มประตูแล้วอันเชิญดวงวิญญาณชาวจีนคนนั้นมาสถิตย์อยู่ ณ ประตูแห่งนี้

ต่อมาก็มีเรื่องเล่ากันว่าของในวัดที่เคยถูกขโมยไปหลายครั้ง ล้วนได้คืนกลับมาหมดด้วยความศักดิ์สิทธิของดวงวิญญาณคนจีนที่คอยเฝ้าวัดทำให้เกิดการสักการบูชาประตูเซี่ยวกางขึ้น ซึ่งหลายๆคนต่างเชื่อกันว่าถ้าบนอะไรแล้วก็จะได้สิ่งนั้นตามที่ขอหมด โดยนิยมนำฝิ่นมาป้ายปาก และนำถุงโอเลี้ยงหรือโอยั๊วะมาแขวนบูชาเพราะมีสีดำคล้ายฝิ่น นอกจากนั้นก็ยังแขวนพวงมาลัยบูชาอีกด้วย
ทวารบาลอันสวยงามที่วัดสุทัศน์
"ในช่วงรัชกาลที่ 2 หรือ 3 พวกคนจีนเข้ามาในเมืองไทยเยอะเพื่อมาเป็นแรงงาน พวกนี้ส่วนมากจะสูบฝิ่นติดฝิ่น แล้วอาจจะมาขอหวยอะไรทำนองนี้ แล้วปรากฏว่าถูก คิดว่าเราเองชอบฝิ่นเจ้าก็คงชอบเหมือนกันเลยเอาขี้ฝิ่นดิบมาป้ายปาก ปากก็เลยดำ แต่ปัจจุบันความเชื่อมันก็เริ่มกลาย กลายเป็นว่าท่านโปรดของดำหมดเลย เหมือนพระราหู พอเราผ่านไปก็เลยเห็นเป็นถุงโอเลี้ยงบ้าง ซุปไก่ดำบ้าง ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล"

จุลภัสสร กล่าวเพิ่มเติมก่อนอธิบายต่อว่า ส่วน "เซี่ยวกาง" ที่เราได้รับมาจากจีนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นวัดในสมัยรัชกาลที่ 3 เพราะงานศิลปะจีนได้เข้ามาเมืองไทยในยุคนี้เยอะมาก บางแห่งวาดรูปเป็นทหารจีน ใส่ชุดเกราะป้องกันศัตรูป้องกันสิ่งอัปมงคลอย่างเรื่องพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้

สำหรับเซี่ยวกางตามคตินิยมของจีนนั้น ดูได้จากประตูวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ซึ่งแม้จะเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น ก็ยังคงได้รับอิทธิพลจากจีนอยู่ โดยบานประตูจะเป็นไม้สักสลักเป็นรูปเซี่ยวกางกำลังถือง้าวอยู่บนหลังสิงโต แต่ถ้าเป็นแบบจีนสวยๆก็ต้องที่วัดนางชี ที่ตรงพระอุโบสถแกะไม้เป็นรูปเซี่ยวกางอย่างสวยงาม

ส่วนที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีทวารบาลที่แปลกและโดดเด่น เพราะบานประตูของวัดราชบพิธ จะเป็นรูปทหารต่างๆแต่งกายไม่เหมือนกันสลักติดไว้ รูปทหารที่สลักตามประตูเหล่านี้เข้าใจว่าเป็นทหารมหาดเล็กซึ่งจัดตั้งมาตั้งแต่ต้นรัชกาล
ภาพเขียนสีทวารบาลข้างประตูอุโบสถวัดราชนัดดา
จุลภัสสร แสดงความคิดเห็นว่า "สำหรับที่วัดราชบพิธ ผมคิดว่าความคิดเรื่องทวารบาลมันเริ่มเปลี่ยน คือแทนที่จะเป็นรูปเซี่ยวกาง รูปยักษ์ แต่ทำเป็นรูปทหารฝรั่ง ทหารแต่งเครื่องแบบถือปืน ตรงนี้ก็เป็นภาพสะท้อนของบ้านเมืองได้ว่า ความคิดเรื่องผู้พิทักษ์ทั้งหลายจะเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม จะเห็นว่าเดี๋ยวนี้เวลาไปไหนก็จะมี ร.ป.ภ.เฝ้าประตู ก็คงลักษณะคล้ายๆร.ป.ภ.นี่แหละ"

หันมาดูทวารบาลแบบไทยๆกันบ้าง ประธานชมรมสยามทัศน์ กล่าวว่า ทวารบาลแบบไทยจะมีหลายรูปแบบ ทั้งเทวดาขี่พระขรรค์ หรือบางแห่งที่เคยเห็นเขาทำเป็นรูปจักรก็มี เป็นรูประหว่างเทวดากับอสูร หรือลิงกับยักษ์ก็มี หรือเป็นรูปเทพเจ้าก็มี อย่างเช่นที่บานประตูพระวิหารหลวงของวัดสุทัศน์เทพวราราม ทั้งพระวิหารหลวงทั้งพระอุโบสถจะมีรูปเทพผู้พิทักษ์ หรือที่วัดอัปสรสวรรค์ จะมี
ทวารบาลลงรักปิดทองเป็นรูปนางฟ้าอันอ่อนช้อย ส่วนที่วัดราชนัดดา นี่ก็มีทวารบาลที่ค่อนข้างแปลก คือจะไม่อยู่บนประตูแต่จะเป็นภาพเขียนสีอยู่ที่ข้างประตูโบสถ์แทน

ในขณะที่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) ก็จะมีทั้งภาพทวารบาลที่เป็นชาวต่างชาติ หรือเป็นรูปตุ๊กตาฝรั่งถือกระบอง หรือจะเป็นยักษ์วัดแจ้งอันโด่งดังที่ วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง) ก็เป็นทวารบาลอีกแบบหนึ่งที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ส่วนที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)นั้นก็มีทวารบาลสวยๆงามๆอยู่มากมายหลายแบบ

ทั้งนี้นอกเหนือจากทวารบาลที่กล่าวมาแล้ว ตามวัดต่างๆทั่วไทยยังมีทวารบาลให้ชมอีกมากมาย ที่นอกจากจะมุ่งเน้นความเชื่อเรื่องเทพผู้รักษาประตูแล้ว ทวารบาลบางวัดยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตวัฒนธรรมของสังคมนั้นได้เป็นอย่างดี แต่ว่าส่วนใหญ่ผู้ที่เข้าวัดมักจะมองข้ามความงามแห่งศิลปะของผู้พิทักษ์ประตูไปเสียเป็นส่วนใหญ่

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น