"จังหวัดกาฬสินธุ์" หรือ"เมืองน้ำดำ" (กาฬ แปลว่า ดำ สินธุ์ แปลว่า น้ำ) เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีชื่อเสียงทางภาคอีสาน และกำลังได้รับความสนใจจากหลายๆ คน เหตุอาจจะเป็นเพราะด้วยกำลังหลงเสน่ห์การแสดงของ "วงโปงลางสะออน" ที่มีอี๊ด ลูลู่และลาล่า ที่ออกมาวาดลวดลายการแสดงดนตรีโปงลางอย่างสนุกสนาน พร้อมกับการแสดงความเป็นคนอีสานได้อย่างน่าชื่นชม
ทำให้กาฬสินธุ์เริ่มมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจอยากจะเดินทางมาศึกษาและเที่ยวชมเมืองให้มากกว่านี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วเมืองน้ำดำแห่งนี้ มีศิลปวัฒนธรรมอีสาน แหล่งอารยธรรมโบราณที่น่าศึกษา และแหล่งท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจชวนให้มาสัมผัสมากมาย
อย่างที่ทริปเที่ยวในครั้งนี้"ผู้จัดการท่องเที่ยว" ก็ขอเลือกที่จะเดินทางเยือนยังเมืองกาฬสินธุ์ เพื่อมาชมของดีที่ซ่อนอยู่ โดยพุ่งตรงไปดูของดีเปิดทริปเที่ยวที่แรกกันที่ "อุทยานโลกไดไนเสาร์ภูกุ้มข้าว" ที่ตั้งอยู่บริเวณ เชิงเขาภูกุ้มข้าว วัดป่าสักกะวัน อ. สหัสขันธ์ ซึ่งที่นี่เป็นแหล่งค้นพบซากกระดูกไดโนเสาร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน
สำหรับการค้นพบซากไดโนเสาร์นั้นเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2513 เมื่อพระครูวิจิตร สหัสคุณ เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน ได้พบกระดูกชิ้นใหญ่ในบริเวณวัด แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรคิดว่าเป็นไม้กลายเป็นหินจึงเก็บรักษาไว้ กระทั่งปีพ.ศ. 2521 เมื่อนักธรณีวิทยาและคณะจากกรมทรัพยากรธรณี ได้เดินทางมาสำรวจธรณีวิทยาบริเวณนี้ และพบตัวอย่างกระดูกไดโนเสาร์ที่เก็บไว้ในวิหารวัดสักกะวัน ต่อมาพ.ศ. 2523 คณะสำรวจโบราณชีววิทยาไทย-ฝรั่งเศส ได้นำกระดูก 3 ท่อน ไปศึกษาพบว่าเป็นกระดูกส่วนขาหน้าของไดโนเสาร์ซอโรพอด (Sauropod) จนกระทั้งปีพ.ศ. 2537 จึงได้ทำการสำรวจขุดค้น และอนุรักษ์อย่างเป็นระบบ
เมื่อนักท่องเที่ยวอย่างเรามาเยือนถึงหลุมขุดค้น ที่สร้างเป็นอาคารโถงใหญ่ครอบไว้แล้วก็ต้องตะลึงกับซากไดโนเสาร์ ที่ถูกค้นพบในชั้นหินทรายหมวดเสาขัว( Sao Khua Formation) ยุคครีเทเชียส ตอนต้น (Early Cretaceous) มีอายุเก่าแก่กว่า 130ล้านปี ซึ่งภายในหลุมขุดค้นนี้มีซากไดโนเสาร์กว่า 700 ชิ้น จากไดโนเสาร์อย่างน้อย 7 ตัว โดยมีโครงกระดูกของไดโนเสาร์ซอโรพอด (Sauropod) ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินพืชที่ถือว่ามีความสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่ขุดค้นพบมาในประเทศไทย
นอกจากนี้ยังพบฟัน และส่วนของหัวกะโหลกหลายชิ้น ทำให้ทราบว่าในแหล่งนี้มีไดโนเสาร์ 4 ชนิดคือ ไดโนเสาร์ซอโรพอด 2 ชนิด ชนิดหนึ่งคือ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน (Phuwianggosaurus sirindhornae) และอีกชนิดหนึ่งกำลังอยู่ในระหว่างวิจัย อีก 2 ชนิด เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อ ขนาดใหญ่ โดยพบฟันซึ่งเป็นของไดโนเสาร์ สยามโมซอรัส สุธีธรนิ และ สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส
เราใช้เวลาเดินดูซากไดโนเสาร์และเรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์ที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดแสดงไว้ให้ชมจนสมควรแก่เวลา ได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนานเกี่ยวกับไดโนเสาร์กลับไปเต็มสมองแล้ว ก็ออกเดินทางไปสงบจิตสงบใจกันที่ "วัดพุทธนิมิต" (ภูค่าว) ซึ่งเมื่อ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" มาถึงบริเวณวัดก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศของความร่มรื่น เงียบสงบ ชวนให้จิตใจสงบเอามาก
จากนั้นเราก็รีบเดินตรงดิ่งไปสักการะ"พระไสยาสน์ภูค่าว" ที่ประดิษฐานยื่นอยู่ใต้เพิงหินผนังถ้ำ ลักษณะเป็นภาพสลักนูนต่ำสูงขึ้นมาจากแผ่นหิน แถมยังมีมีพุทธลักษณะแปลกแตกต่างกับพุทธไสยาสน์ทั่วไปคือ นอนตะแคงซ้ายและไม่มีพระเกตุมาลา ซึ่งสันนิษฐานว่าศิลปินผู้สร้างคงไม่ได้คำนึงว่าการสร้างรูปพระนอนโดยตะแคงขวาหรือซ้ายเป็นเรื่องสำคัญ แต่คำนึงถึงทิศทางหันพระเศียรให้อยู่ค่อนไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นทิศที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
และหลังจากที่ไหว้พระขอพรเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดินสำรวจดูสิ่งที่น่าสนใจในวัดกันต่อที่"วิหารสังฆนิมิต" ที่พอเดินเข้าไปภายในก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นคือ มีพระพุทธรูปปางต่างๆ พระพิมพ์จากรุต่างๆ จากทั่วประเทศประดับประดาอยู่เต็มบนผนังภายในวิหาร ดูแล้ววิจิตรตระการตาเป็นยิ่งนัก เรียกว่าหากใครที่เป็นเซียนพระเครื่องเมื่อเข้ามายังวิหารแห่งนี้ต้องหูตาร้อนกันเป็นแถว (เพราะอยากได้)
พอออกจากวิหารพระเครื่องแล้วเราก็มาสะดุดตากับพระอุโบสถไม้แกะสลักที่ตั้งตระหง่านโดนเด่นสวยงามเชิญชวนให้เข้าไปดูเป็นยิ่งนัก และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นได้ถึงความยิ่งใหญ่ลังการของพระอุโบสถที่สร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่ (ที่ได้มาจากใต้เขื่อนลำปาว) ลักษณะเป็นพระอุโบสถแบบเปิด ผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบภาคกลางและภาคเหนือประยุกต์ได้อย่างกลมกลืนสวยงามมาก
เมื่อเดินเข้าไปภายในพระอุโบสถเรายิ่งได้เห็นถึงความวิจิตรงดงามของภาพการแกะสลักลวยลายไทยเป็นภาพ 3 มิติ อยู่โดยรอบตัวพระอุโบสถ ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง บานประตู รวมไปถึงตามผนังด้านบนมีการแกะสลักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ และตรงกลางพระอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐาน "พระมงคลชัยสิทธิ์ฤทธิ์ประสิทธิ์พร" ไว้ให้ได้กราบไหว้ขอพรกันก่อนที่จะขอตัวออกจากวัด เพื่อเดินทางต่อไปยังบ้านโพนแหล่งท่องเที่ยวที่รอเราอยู่ข้างหน้า
ที่บ้านโพน อ.คำม่วง แห่งนี้เป็นสถานที่ตั้งของ "ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไท ผ้าไหมแพรวาบ้านโพน" ที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ทำให้เราได้ศึกษาถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านโพน ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวผู้ไท (ผู้ไทย) ที่เมื่อกว่าร้อยปีก่อนเคยมีถิ่นฐานอยู่ที่บริเวณสิบสองปันนาและได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในกาฬสินธุ์นานมาแล้ว
โดยเมื่อเราเข้ามาที่ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทนี้ เราจะได้เห็นถึงวิถีการดำรงชีวิตของชาวผู้ไทบ้านโพน ตั้งแต่การได้ดูที่อยู่อาศัยของเรือนผู้ไทแท้ ปลูกสร้างด้วยไม้ หลังคามุงแป้นเกล็ดหรือกระเบื้องไม้ ตัวเรือนยกพื้นสูง มีบริเวณใต้ถุนเรือนเป็นที่พักผ่อน ทำกิจกรรมอย่างการทอผ้า ทำหัตถกรรมสานไม้ไผ่เป็นของใช้ ส่วนชั้นบนแบ่งเป็นเรือนย่อยคล้ายเรือนไทยภาคกลางและมีนอกชาน สำหรับเรือนผู้ไทนี้นอกจากหจะเป็นเรือนสาธิตวิถีชีวิตชาวผู้ไทยในลักษณะพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักค้างคืนได้อีกด้วย
และอีกหนึ่งสิ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของที่ศูนย์แห่งนี้ก็คือ การที่เราได้ชมการทอ "ผ้าไหมแพรวา" ซึ่งเป็นผ้าไหมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวกาฬสินธุ์และสร้างชื่อเสียงให้เป็นอย่างมาก เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงรับเอากลุ่มทอผ้าไหมแพรวาไว้ในโครงการศิลปาชีพ และทรงส่งเสริมสนับสนุนจนเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในไทยและต่างประเทศ
คำว่า "แพรวา" นั้น แพร หมายถึงผ้าผืนที่ยังไม่ได้ตัดเย็บ วา หมายถึง ความยาว 1 วา "ผ้าไหมแพรวา" จึงหมายถึง ผ้าไหมผืนที่มีความยาวขนาด 1 วา ลักษณะเป็นผ้าผืนสีแดงครั่ง ทอลวดลายหรือขิดต่าง ๆ ไว้ในผืนเดียวกันได้หลายลาย ส่วนมากเป็นลายสัตว์ ดอกไม้ ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านผู้ไทบ้านโพน ทอผ้าแพรวาไว้ใช้เป็นผ้าสไบเฉียง ใช้คลุมไหล่ และคลุมผม ในโอกาสงานเทศกาล งานประเพณี หรืองานสำคัญต่างๆ
กระทั่งปัจจุบันนี้มีการเพิ่มสีสันให้กับผ้าและประยุกต์ลวดลายให้สวยงามมากยิ่งขึ้น เพื่อทอขายเป็นสินค้าโอทอปให้กับนักท่องเที่ยว แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความประณีตและสวยงามของผ้าไหมแพรวา ฉะนั้นการซื้อผ้าไหมแพรวาไปสักผืนจึงไม่ใช่แต่เพียงการช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้จากการขายผ้า แต่ยังถือว่าเป็นการช่วยอนุรักษ์งานศิลปหัตกรรมการทอผ้าไหมแพรวา ที่แสดงถึงภูมิปัญญาของชาวบ้านที่สืบทอดต่อมากันจากบรรพบุรุษสู่รุ่นลูกรุ่นหลานให้ดำรงสืบต่อไปตราบนานเท่านาน
แล้วการเดินทางท่องเที่ยวชมของดีที่จ. กาฬสินธุ์ของ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" ก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเป็นที่สุดเพราะได้รับทั้งความรู้ ความสนุก และประสบการณ์แปลกใหม่ ที่หาไม่ได้จากการดูทีวี หรือนั่งชมแผ่นสารคดีวีซีดีอยู่ที่บ้าน เพราะว่าการเดินทางมาเที่ยวมาชมด้วยด้วยเองนั้นมีสีสันสวยงาม และเกิดความประทับใจมากกว่าเป็นไหนๆ นะจะบอกให้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
การเดินทางไป “ภูกุ้มข้าว” ใช้ทางหลวงหมายเลข 227 (กาฬสินธุ์-สหัสขันธ์) ถึง กม. ที่ 28 แยกตรงโรงเรียนสหัสขันธ์ศึกษาไปอีก 2 กม. มีทางแยกขวาไปวัดสักกะวันอีก 1 กม. เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.30 น. โทร. 0-4387-1014
การเดินทางไป “วัดพุทธนิมิต” (ภูค่าว) ไปตามทางหลวงหมายเลข 227 ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 37-38 มีป้ายบอกทางเข้า “พระไสยาสน์ภูค่าว” ผ่านบ้านโนนสมบูรณ์ ถึงทางแยกเล็กเข้าวัดพุทธนิมิต เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.
“ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไท (ผู้ไทย) ผ้าไหมแพรวาบ้านโพน” ตั้งอยู่ที่หมู่ 5 ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ อยู่ห่างตัวเมืองไปทางอ. สมเด็จและ อ.คำม่วง ระยะทาง 70 กม. ห่างจากอ.คำม่วง 15 กม. โทร. 0-4385-6204
สอบถามรายละเอียดแหล่งท่องเที่ยวจ. กาฬสินธุ์เพิ่มเติมได้ที่ สนง. ททท. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 3 โทร. 0- 4324-4498-9
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ที่พัก ร้านอาหาร