xs
xsm
sm
md
lg

โรงแรมหนึ่งแห่ง“พระตะบอง”เล่นเอาร้องไห้มิได้หัวร่อมิออก /ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
อนุสาวรีย์ท่านตาคะยูงที่เกี่ยวข้องกับตำนานเมืองพระตะบอง
ในการเดินทางแต่ละครั้ง นอกจากจุดหมายปลายทางแล้ว ประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆในระหว่างทางก็นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน

...บางครั้งดี บางทีแย่

...บางครั้งฮา บางคราหดหู่


แต่ไม่ว่าอย่างไร จะร้ายหรือดี สิ่งต่างที่นอกเหนือการคาดเดาเหล่านี้ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการเดินทาง ที่รอคอยนักเดินทางทั้งหลายให้ออกไปค้นหา ฟันฝ่า และเก็บแง่งามของสิ่งดีๆหรือสิ่งที่น่าจดจำไว้ในความทรงจำต่อไป

...กลางเมืองพระตะบอง เดือนธันวาคม ปี 48

เพราะเป็นการเยือนพระตะบองครั้งแรกในชีวิต ผมจึงไม่อาจจินตนาการถึงเมืองนี้ได้เลยว่าจะมีสภาพเช่นไร รู้แต่ว่าครั้งหนึ่งพระตะบองเคยเป็นดินแดนของสยามประเทศ ก่อนที่ประเทศเราจะโดนบีบจากฝรั่งเศสให้จำเป็นต้องยกพระตะบองและเมืองอื่นๆในมณฑลบูรพาแลกกับการได้จังหวัดตราดและหมู่เกาะช้างคืนมา

นั่นเป็นเรื่องราวในอดีตที่แม้จะเจ็บปวดแต่ว่าเราก็ไม่สามารถเรียกอดีตกลับคืนมาได้ ฉะนั้นทางที่ดีควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเพื่ออนาคตที่ดีในภายภาคหน้า

ส่วนเมืองพระตะบองในปัจจุบันนั้นถือเป็นเมืองใหญ่และเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของกัมพูชารองจากพนมเปญและเสียมเรียบ รวมถึงยังเป็นเมืองคู่ค้าที่สำคัญของภาคตะวันออกอีกด้วย

ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวในพระตะบองนั้นก็มีอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นปราสาทบานอนปราสาทขอมเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาแสนชัน ปราสาทบาไซแห่งเมืองตะปอน โตนเลสาบ หรือจุดถ่ายรูปอย่างอนุสาวรีย์ท่านตาคะยูงที่เกี่ยวพันกับตำนานของเมืองพระตะบองหรือที่ชาวเขมรเรียกว่า“บั๊ด ดัมบอง” ที่มีเรื่องเล่าว่า กระบองศักดิ์สิทธิ์ของเมืองได้หายไปแล้วท่านตาคะยูงไปตามหาจนเจอแล้วนำมาคืนสู่เมือง คนรุ่นหลังจึงสร้างอนุสาวรีย์ของท่านตาคะยูงเอาไว้เพื่อสดุดีในวีรกรรม
สภาพทั่วไปในพระตะบองย่านตึกเก่าสมัยอาณานิคม
กระนั้นความเป็นเมืองท่องเที่ยวของพระตะบองก็ยังไม่โดดเด่นเท่าเสียมเรียบ(เสียมราฐ) หรือ พนมเปญ โดยเฉพาะในภาคบริการ โรงแรม ร้านอาหาร พระตะบองถือเป็นน้องใหม่ที่ความชำนาญยังเป็นรองสองเมืองที่กล่าวมา แต่ว่ากับความพยายามของพนักงานบางคนโรงแรมนี่ มันทำให้ผมกับเพื่อนผู้ประสบชะตากรรมเกิดอาการหัวร่อมิได้ร่ำไห้มิออกไปครึ่งค่อนวัน แถมยังเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่เวลาหยิบยกไปสนทนาในวงเหล้าก็สามารถเรียกเสียงฮาของคนเส้นตื้นได้เป็นอย่างดี

เรื่องของเรื่องมันก็มีอยู่ว่าผมกับเพื่อนร่วมทริป 1 รถตู้ได้ร่วมเดินทางไปกับหอการค้าจังหวัดตราดเพื่อไปร่วมงานแสดงสินค้าในเมืองพระตะบอง แต่ด้วยความที่เมืองนี้ยังไม่ได้เน้นหนักเรื่องการท่องเที่ยว และในช่วงนั้นก็ยังไม่มีโรงแรมขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับทัวร์คณะใหญ่เป็นร้อยๆคนได้ เมื่อคนไทยไปกันเยอะ เราก็ต้องกระจายกันไปพักตามโรงแรมโน้นบ้าง โรงแรมนี้บ้าง

งานนี้หวยมาออกที่คณะผม เพราะได้พักในโรงแรม...ที่ใหม่ที่สุดและดูเหมือนว่าจะดีที่สุดในขณะนั้น แต่...โรงแรมนี้ยังสร้างไม่เสร็จ ซึ่งตอนแรกที่ได้ฟังคำว่ายังสร้างไม่เสร็จของสารถีรถตู้ชาวเขมร พวกเราก็เข้าใจว่า เขาทยอยสร้างไปเป็นเฟสๆ เฟสไหนเสร็จก็เปิดให้เข้าพักได้ เพราะนายสารถีคนนี้ตอกย้ำกับผมว่า “โรงแรม...นี้ ใหม่จริงๆ บรรยากาศก็สดชื่น ดีมากๆเลย”

แรกที่ผมได้ฟังก็เกิดอาการหัวใจพองโต พร้อมๆกับรู้สึกว่าพวกเราช่างโชคดีเหลือหลายที่ไม่ต้องไปนอนโรงแรมเซลเก่าๆ หรือโรงแรมม่านรูดบรรยากาศอึมครึมในพระตะบอง

อืม...งานนี้พวกเราโก้หรูกว่าใคร แต่ที่ไหนได้พอไปถึงยังโรงแรม...โอ้ว?!? นี่มันไม่ใช่โรงแรมที่ยังสร้างไม่เสร็จนี่หว่า แต่มันเป็นโรงแรมที่กำลังก่อสร้างมากว่า เพราะเต็มไปด้วยช่างเดินกันให้ควัก บางคนฉาบปูน บางคนทาสี บางคนทาพื้น แถมบางคนยังมองหน้าพวกเราแบบงงๆด้วยอาการ..พวกมึงมาทำอะไรวะ เขากำลังปูพื้นกันอยู่...ในขณะที่ช่างบางคนอาจจะนึกว่าพวกเราเป็นคนงานใหม่หรือเปล่า เพราะหน้าตาแต่ละคนในคณะก็เข้าข่ายผู้ใช้แรงงานทั้งนั้น

ส่วนที่สารถีรถตู้บอกว่าโรงแรมนี้“สดชื่น”นั้น ผมว่ามันดูแล้ว“สดชื้น” มากกว่า เพราะสีที่ล็อบบี้ยังคงสดๆอวลไปด้วยกลิ่นสีคละคลุ้ง ส่วนปูนที่ฉาบบางส่วนก็ยังชื้นหมาดๆอยู่

แล้วทีนี้พวกเราจะพักกันได้หรือเปล่าละเนี่ย??? ไอ้ครั้นจะหาโรงแรมใหม่ ทางผู้ดำเนินการก็บอกว่าโรงแรมทุกแห่งคนไทยอยู่เต็มหมดแล้ว ส่วนโรงแรม...นี้มีบางห้องทำเสร็จแล้วสามารถเข้าไปพักได้ ซึ่งพอเราเข้าไปพนักงานโรงแรมหนุ่มหน้ามลที่ยืนอยู่ในล็อบบี้โล่งๆ (โล่งจริงๆคือมีเพียงเคาน์เตอร์ 1 ตัว กับอากาศธาตุ แถมยังไม่มีส่วนประตูอีกต่างหาก)ได้ออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี พร้อมกับบอกพวกเราว่าอีก 2 ชั่วโมงค่อยกลับมาขนของเข้าห้อง เพราะกำลังจัดเตียงอยู่

คณะของเราก็แสนจะว่านอนสอนง่าย(เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ที่โรงแรมไปทำไม ดีไม่ดีอาจต้องไปช่วยช่างโบกปูนอีกต่างหาก) ออกไปเที่ยวกันในเมืองพระตะบองทันที
ตึกเก่าสมัยอาณานิคมแม้จะทรุดโทรมไปตามกาลเวลาแต่ว่าก็ยังคงมีให้เห็นในบางจุดของพระตะบอง
2 ชั่วโมงกว่าๆผ่านไป พวกเรากลับมาอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี ปรากฏว่าล็อบบี้ที่โล่งๆนั้น มีเฟอร์นิเจอร์มาตั้งรอพวกเราแล้ว และแถมยังเพิ่มประตูกระจกมาอีกด้วย แต่ว่าเปิดได้เพียงข้างเดียวส่วนอีกข้างไม่รู้ช่างติดอีท่าไหน(สงสัยจะรีบมาก)ทำกระจกแตกไปเสี้ยวหนึ่งต้องตั้งทิ้งคาไว้รอเอาไปเปลี่ยน

อืม...ต้องยอมรับว่าพวกเขาทำงานกันไวดีจริงๆ แต่...พนักงานคนเดิมก็ยืนยิ้มกริ่มบอกให้พวกเรารออีกแป๊บนึง เพราะเพิ่งจะหาซื้อเตียงได้ กำลังช่วยขนขึ้นไปติดตั้ง ว่าแล้วหนุ่มคนนั้นก็เดินหายเข้าไปหลังโรงแรม ก่อนจะกลับออกมากับพรรคพวกที่กำลังแบกเตียง ฟูก หมอน ผ้าห่ม เดินผ่านคณะของเราไปอย่างหน้าตาเฉย

หลังพนักงานจัดที่นอนเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้าห้องของผมกับเพื่อนๆเสียที ซึ่งห้องพักของโรงแรม...นี้กว้างขวางใช้ได้ทีเดียว ส่วนห้องน้ำก็เป็นไปตามมาตรฐานสากล แต่ว่าผมกับรูมเมทอย่างพี่เสือที่พอพูดเขมรได้บ้างก็ยังนอนไม่ได้อยู่ดี เพราะห้องนอนของผมนั้นมีโคมไฟ ดวงไฟ สวิตช์ไฟ แอร์ ปลั๊ก แต่ว่าไม่มีไฟฟ้า

แป่ว...งานนี้ต้องไปตามพนักงานหนุ่มหน้ามลคนเดิมให้ช่วยหาช่างไฟให้หน่อย(เหตุที่พวกเราเรียกใช้แต่นายคนนี้ก็เพราะว่าเขาพูดและเข้าใจภาษาไทยได้ดีที่สุด) อึดใจต่อมา ช่างไฟก็ได้เข้ามาดำเนินการให้พวกเราได้มีไฟฟ้าใช้กันทันที ซึ่งผมเห็นการทำงานของช่างไฟคนนี้แล้วเสียวแทน คือหมอนี่มีแค่ไขควงกับไฟฉาย มือหนึ่งส่องไปที่แผลงไฟ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยืนจิ้มสายไฟ(เปลือยๆ)ไปมา แบบไม่ยี่หระอะไร สักพัก โป๊ะ!!! ไฟช็อต ประกายไฟสว่างวาบ

ส่วนช่างไฟเดนตายคนนี้เผ่นแผล็วไปยืนอยู่ข้างนอกห้องอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับหันมายิ้มแหยๆบอกผมกับพี่เสือว่า

“แฮ่ๆ...ไฟช็อต”

...เออ กูรู้แล้วว่าไฟช็อต...ผมนึกในใจ

แถมยังไม่ได้ช็อตแค่ห้องเดียวแต่เล่นเอาไฟดับไปทั้งโรงแรม เล่นเอาช่างไฟเดนตายออกอาการเอ๋อ ก่อนจะตั้งสติโทร.ไปหาเพื่อนมาช่วยพร้อมอุปกรณ์ทำไฟหนึ่งถุงใหญ่ โดยมีพนักงานหนุ่มหน้ามลมาคอยยืนให้กำลังใจ

...เออ ทำไมมันไม่ทำอย่างนี้ตั้งแต่แรก...ผมนึกในใจอีกครั้ง

ไม่นานนักช่างไฟทั้ง 2 คนช่วยกันไล่สายจนไฟใช้ได้ในที่สุด แต่ว่าใช้ได้เฉพาะไฟเท่านั้น ส่วนแอร์นั้นดับสนิท

งานนี้หนุ่มหน้ามลพนักงานโรงแรมแกหัวไวไม่เบา รีบบอกผมกับพี่เสือว่าเดี๋ยวจะต่อไฟสายตรงมาลงที่แอร์ให้

สักพักพวกก็ไปลากสายไฟเส้นโตมา ก่อนจะปอกสายให้ทองแดงโผล่มาทั้ง 2 ด้าน ด้านหนึ่งต่อไปในตัวแอร์ ส่วนอีกด้านหนึ่งแหย่เข้าไปในปลั๊กไฟ

โอว... ปลาร้าไหแตก ปลาแดกไหระเบิด มันช่างเป็นการต่อไฟสายตรงที่ตรงจริงๆ แต่ว่าก็ได้ผลแอร์ใช้ได้ แถมยังไม่ต้องใช้รีโมตช่วยปิดเปิดแต่อย่างใด เพราะเพียงแค่ดึงสายไฟออกแอร์ก็ปิด และถ้าจะเปิดแอร์ก็ให้แหย่สายไฟเข้าไปในปลั๊ก นับเป็นวิธีการเปิดแอร์ที่ง่ายแสนง่าย แต่ว่าเสียงต่อการถูกไฟดูดไม่น้อย

เฮ้อ...คืนนั้นเล่นเอากว่าพวกเราจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ส่วนเพื่อนๆที่ร่วมทริปมา แต่ละคนต่างก็มีชะตากรรมในแรงแรม...แห่งนี้ไปในหลากหลายรูปแบบ บางคนต้องช่วยช่างติดตั้งเตียง บางคนก็ช่วยช่างเดินไฟ ในขณะที่บางคนแอร์เปิดไม่ได้ก็ไม่สนใจมันแล้ว ไปขอพัดลมจากทางโรงแรมแล้วเปิดประตูนอนให้มันรู้แล้วรู้รอด

สำหรับสิ่งต่างๆเหล่านี้ถือเป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆที่ผมและเพื่อนร่วมทริปประสบพบเจอจากการพักในโรงแรม...แห่งเมืองพระตะบองที่ปัจจุบันน่าจะสร้างเสร็จแล้ว และก็น่าจะกลายเป็นโรงแรมชั้นเยี่ยมของพระตะบองไปแล้ว(ขอภัยที่ไม่สามารถนำรูปโรงแรม...ตอนนั้นมาลงได้ เพราะอาจจะทำให้โรงแรม...แห่งนี้เสื่อมเสียได้) ที่หากใครมาเจอเหตุการณ์แบบนั้น บางทีอาจจะหงุดหงิดหรือเก็บมาคิดเป็นอารมณ์ได้ แต่สำหรับผมนั้นถือว่านี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทาง ซึ่งจะว่าไปแล้ว...วิถีชีวิตคนเราก็เปรียบเสมือนกับการเดินทาง เพราะไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีสิ่งใดรอคอยเราอยู่...

กำลังโหลดความคิดเห็น