จังหวัดเชียงราย จังหวัดทางภาคเหนือของไทย ที่นอกจากจะเป็นจุดเหนือสุดแห่งสยามแล้ว ก็ยังเป็นจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของศิลปินดังๆ ในเมืองไทยหลายคน โดยสองคนในจำนวนนั้นก็เป็นคนที่หลายท่านรู้จักกันดีอย่าง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี และอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
แม้แนวทางในงานศิลปะของทั้งคู่ดูจะเป็นไปในแนวทางที่ต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันของศิลปินทั้งคู่ก็คือ ความตั้งใจที่จะฝากฝีมืออันยอดเยี่ยมทางศิลปะนั้นไว้ในบ้านเกิดของตนเอง
"วัดร่องขุ่น"งานศิลป์แห่งศรัทธา
สำหรับงานศิลปะอันที่อาจารย์เฉลิมชัยได้สร้างไว้ในจังหวัดเชียงรายนี้ก็คือ วัดร่องขุ่น วัดบ้านเกิดของตน ซึ่งหลังจากที่อาจารย์ได้กลับไปเยี่ยมบ้าน และได้มาไหว้ท่านสมภารที่วัดร่องขุ่นเมื่อปี พ.ศ.2531 นี้ ก็พบว่าวัดชำรุดทรุดโทรมมาก อุโบสถหลังเล็กและชำรุดนั้นกลายเป็นที่อยู่ของค้างคาว อาจารย์จึงตั้งใจไว้ว่า ถ้าชีวิตของตนเองพร้อมเมื่อไร ก็จะกลับมาสร้างอุโบสถใหม่ให้วัดแห่งนี้
จนอีกเกือบสิบปีต่อมา ใน พ.ศ.2540 หลังจากที่มีความพร้อมทั้งในด้านครอบครัว ชีวิต และเงินทอง อุโบสถอันวิจิตรอลังการของวัดร่องขุ่นโดยฝีมือของศิลปินเอกอย่างอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จึงได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
เชื่อว่าคงมีหลายคนที่ได้ไปชมความงามของวัดด้วยตาตนเองมาแล้ว หรือบางคนอาจเคยเห็นจากภาพถ่ายตามสื่อต่างๆ ซึ่งหากจะมองมุมไหนก็เห็นได้ว่าวิจิตรงดงามและอลังการ แสดงถึงความตั้งใจของผู้สร้าง แต่ใครจะชอบหรือไม่ชอบนั้นก็ต้องแล้วแต่สายตาของคนแต่ละคนไป
อุโบสถของวัดร่องขุ่นนั้นมีสีขาวสะอาด ประดับด้วยกระจกขาว เพื่อแทนพระบริสุทธิคุณและพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่เปล่งประกายไปทั่วโลกมนุษย์และจักรวาล ขนาดของโบสถ์ไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็ทุกส่วนนั้นมีความหมาย เริ่มตั้งแต่สะพานข้ามลานกว้างรูปครึ่งวงกลมบริเวณหน้าอุโบสถ ที่แทนปากของพญามาร มีมือมากมายยื่นมาจากพื้นดินเหมือนจะขอส่วนบุญ การจะผ่านจุดนี้ไปจะต้องละทิ้งกิเลสทิ้งลงไปในปากพญามารเสียก่อน
ตรงช่วงกลางสะพานเปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของเทวดา ด้านล่างเป็นสระน้ำ เปรียบเป็นสีทันดรมหาสมุทร ก่อนจะผ่านเข้าสู่อุโบสถที่ภายในเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังในโทนสีทองที่แสดงถึงการหลุดพ้นจากกิเลส มุ่งเข้าสู่โลกุตรธรรม นอกจากนั้นส่วนประกอบต่างๆ ของโบสถ์ก็ล้วนแต่มีความหมายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นช่อฟ้า ลวดลายของเชิงชาย ฯลฯ
วัดร่องขุ่นในวันนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ สำหรับตัวอุโบสถนั้นสำเร็จไปประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว และคาดว่าการก่อสร้างภายนอกจะใช้เวลาอีกประมาณ 5-6 ปี จึงจะเสร็จ ส่วนภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านในนั้น คาดว่าจะคงต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบปีกว่าจะวาดได้สำเร็จ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีอาคารอื่นๆ อีกรวมทั้งหมด 9 หลัง ที่อาจารย์เฉลิมชัยตั้งใจจะสร้างขึ้น ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลาในการสร้างทั้งสิ้น แต่สำหรับตัวผู้สร้างเองก็บอกไว้ว่าคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างวัดทั้งหมดนี้ได้ เนื่องจาก "ศิลปะยืนยาว แต่ชีวิตสั้น" แต่ก็ได้เตรียมการให้ลูกศิษย์สานต่องานเหล่านี้ต่อไป
หากใครได้ไปเยี่ยมชมวัดร่องขุ่น และสนใจจะร่วมทำบุญโดยซื้อผลงานสิ่งพิมพ์และเสื้อพุทธศิลป์ของอาจารย์เฉลิมชัยก็ทำได้ หรือหากต้องการจะบริจาคเงินช่วยสร้างวัดก็ทำได้เช่นกัน แต่ห้ามอย่างเดียวว่าอย่าบริจาคเกินหนึ่งหมื่นบาท เนื่องจากผู้สร้างบอกไว้ว่า "เงินจำนวนมาก ย่อมมาพร้อมอำนาจของผู้บริจาค"
"วัดแห่งนี้ไม่เคยเรี่ยไรเงินด้วยกฐินผ้าป่า วัดนี้ไม่รีบร้อนสร้างเพื่อฉลองในโอกาสใดๆ ทั้งสิ้น ผมคิดเพียงอย่างเดียว ต้องดีที่สุดสวยที่สุด สร้างจนหมดภูมิปัญญาทางโลกและทางธรรมของผม" เป็นคำกล่าวของอาจารย์เฉลิมชัย ที่แสดงให้เห็นถึงศรัทธาในการสร้างวัดร่องขุ่นนี้ได้อย่างดียิ่ง
"บ้านดำ"กลุ่มบ้านอันทรงคุณค่า
ส่วนศิลปินใหญ่อย่างอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ จิตรกรรม ก็ได้สร้างอาณาจักรของตนเองที่บางคนเรียกว่า "บ้านดำ" ไว้ที่ตำบลนางแล สถานที่ที่ได้ชื่อว่ามีสับปะรดหวานอร่อยที่สุดในโลก นั่นก็คือสับปะรดนางแลนั่นเอง
เหตุที่มีคนเรียกชื่อบ้านอาจารย์ถวัลย์ว่า "บ้านดำ" เนื่องจากบ้านส่วนใหญ่แต่ละหลังจะทาด้วยสีดำ สีโปรดของเจ้าของบ้าน แต่บ้านที่พูดถึงอยู่นี้ไม่ได้เป็นบ้านเดี่ยวๆ เพียงหลังเดียวเท่านั้น แต่เป็นกลุ่มบ้านที่มีบ้านเล็กบ้านน้อยรวมทั้งหมด 36 หลังอยู่ในพื้นที่เดียวกัน บ้านเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ให้ใครอยู่ แต่เป็นที่ไว้ใช้สำหรับเก็บบรรดาข้าวของต่างๆ มากมายของอาจารย์ถวัลย์ ทั้งที่ได้มาจากการเก็บสะสมเอง รวมทั้งที่มีผู้นำมาให้ และในฐานะที่เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง ดังนั้น บ้านของอาจารย์ถวัลย์แต่ละหลังจึงมีรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างกันไปทั้ง 36 หลัง อีกด้วย
บ้านแต่ละหลังนั้นตั้งอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ ซึ่งหากมองลงมาจากบนอากาศจะเห็นได้ว่ามีการวางผังให้เป็นรูปกากบาท และสำหรับข้าวของต่างๆ ที่เก็บไว้ในบ้านเหล่านี้ก็มีตั้งแต่พระพุทธรูปเก่าแก่ เครื่องเงินมีค่าต่างๆ รวมทั้งเขาสัตว์ หนังสัตว์หลายชนิดด้วยกัน บางหลังที่เก็บของมีค่าจึงเปิดให้ชมเฉพาะด้านนอกเท่านั้น
ส่วนบางหลังนั้น จัดทำเป็นห้องเขียนรูปขนาดเล็ก ที่บางครั้งอาจารย์ถวัลย์จะมานั่งเขียนรูปที่นี่ บางหลังจัดเป็นห้องนั่งเล่น โดยมีเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ซ้ำแบบใครอีกเช่นเคย เช่น เก้าอี้ตัวยาวที่มีพนักเก้าอี้ทำจากกะโหลกเขาควายเกือบสิบอันวางซ้อนกัน หรือในห้องนั่งเล่นทรงกลมคล้ายถ้ำที่เรียกว่า “อูบ” ก็เป็นอีกหลังหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะหากคนสองคนเข้าไปบนเก้าอี้ที่ตรงข้ามกันแล้วพูดอะไรออกมาก็ได้ เสียงที่คนฝั่งตรงข้ามได้ยินนั้นจะเหมือนกับว่าคนพูดนั้นมายืนพูดอยู่ด้านหลังของเราเอง ก็เป็นเรื่องของการสะท้อนของเสียงที่เป็นความสามารถทางสถาปัตยกรรมของผู้สร้าง
ที่บ้านของอาจารย์ถวัลย์นี้ ยังมีสิ่งก่อสร้างอีกชิ้นหนึ่งที่ยังไม่แล้วเสร็จ แต่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง นั่นก็คือพิพิธภัณฑ์ที่อาจารย์ถวัลย์ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บผลงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด ภาพแกะสลัก ฯลฯ เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาเข้าชมได้ฟรี พิพิธภัณฑ์นี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีความสูงถึง 36 เมตร และตกแต่งด้วยงานแกะสลักไม้ฝีมือการออกแบบของอาจารย์ถวัลย์ และฝีมือการแกะสลักของสล่าชาวเชียงราย
ไม่ไกลกันนั้น สล่าหลายคนกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานแกะสลักไม้ในมือ ซึ่งหากทำเสร็จแล้ว ก็จะนำมาประดับตกแต่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งอีกประมาณสองปีเท่านั้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็จะสำเร็จลง กลายเป็นแหล่งเก็บงานศิลปะอันมีค่าของอาจารย์ถวัลย์เอง และยังเป็นเรียนรู้แห่งใหม่ของจังหวัดเชียงรายต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วัดร่องขุ่น ตั้งอยู่ที่ ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย 57000 วัดเปิดให้เข้าชมทุกวัน ในวันธรรมดาเปิดตั้งแต่ 08.00-17.30 น. และวันเสาร์อาทิตย์เปิดตั้งแต่ 08.00-18.00 น. ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-5367-3579
บ้านอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ตั้งอยู่ที่ 414 หมู่ที่ 13 ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย 57000 เปิดให้เข้าชมวันอังคาร-อาทิตย์ ปิดวันจันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-17.00 น. หากต้องการเข้าชมเป็นหมู่คณะกรุณาติดต่อล่วงหน้า สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-9767-4444