เย็นวันที่ 12 มิถุนายน 2549 (ตั้งแต่ 16.00 น.) แม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ท่าวาสุกรีไปจนถึงบริเวณวัดอรุณราชวราราม จะวิจิตรงดงามตระการตาไปด้วย ขบวนเรือพระราชพิธี ที่ถือหนึ่งในเป็นการแสดงไฮไลท์เนื่องในวโรกาสฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สำหรับการแสดงขบวนเรือพระราชพิธีครั้งนี้ นับเป็นอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่มีการแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งทางกองทัพเรือได้ระดมฝีพายถึง 2,200 นาย และใช้เรือร่วมขบวน 52 ลำ โดยเรือแต่ละลำต่างก็มีความงดงาม และความสำคัญ และหน้าที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งขบวนเรือทั้งหมดต้องผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนัก พร้อมทั้งต้องประสานกันให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้เกิดเป็นขบวนเรือพระราชพิธีอันงดงามตระการตา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายๆคนเวลาชมขบวนเรือพระราชพิธี ต่างก็มักจะใจจดใจจ่อเฝ้ารอชมเรือพระที่นั่ง ซึ่งถือเป็นเรือที่สำคัญที่สุดในขบวนฯ เพราะเป็นเรือที่พระมหากษัตริย์ประทับ
เรือพระที่นั่งทุกลำจะประดับประดาไปด้วยลวดลายอันวิจิตรงดงาม และมีความต่างจากเรือประเภทอื่นในขบวนฯก็คือ เรือพระที่นั่งจะไม่มีการกระทุ้งเส้าให้จังหวะฝีพาย แต่จะมีการใช้กรับแทน โดยเรือพระที่นั่งเกือบทุกลำจะมีการทอดบัลลังก์บุษบก ทอดบัลลังก์กัญยา หรือบัลลังก์พระที่นั่ง ในส่วนกลางลำเรืออันเป็นที่ประทับ นอกจากนี้เรือพระที่นั่งยังมีการแบ่งประเภทตามลำดับชั้นและมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป คือ
เรือพระประเทียบ เป็นเรือสำหรับเจ้านายฝ่ายใน
เรือต้น เป็นเรือที่พระมหากษัตริย์เสด็จประพาสลำลอง หรือเสด็จประพาสต้น
เรือพระที่นั่งศรีสักหลาดหรือเรือพระที่นั่งศรี ซึ่งเป็นเรือที่มีลวดลายสวยงามตลอดข้างลำเรือ ใช้สำหรับเสด็จลำลอง
เรือพลับพลา เป็นเรือที่ใช้สำหรับเปลี่ยนเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์
เรือพระที่นั่งกราบ เป็นเรือพระที่นั่งลำเล็ก ใช้เวลาเปลี่ยนถ่ายเรือเพื่อเสด็จเข้าไปในคูคลองสายเล็กๆ
เรือพระที่นั่งทรงและเรือพระที่นั่งรอง เป็นเรือที่พระมหากษัตริย์เสด็จประทับ โดยมีเรือพระที่นั่งอีกลำสำรองไว้กรณีเรือพระที่นั่งลำหลักชำรุด
เรือพระที่นั่งกิ่ง เป็นเรือชั้นสูงสุดของเรือพระที่นั่ง ถือเป็นเรือที่มีความสวยงามเป็นพิเศษ สำหรับความเป็นมาของเรือพระที่นั่งกิ่งนั้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยา กษัตริย์พระองค์หนึ่งได้รับชัยชนะกลับจากสงคราม และก็มีผู้หักกิ่งไม้มาปักไว้ที่หัวเรือ นับแต่นั้นมา ก็มีการเขียนลายกิ่งไม้ประดับที่หัวเรือ และโปรดให้เรียกว่า เรือพระที่นั่งกิ่ง
เรือพระที่นั่งเอกไชย เป็นเรือพระที่นั่งเกือบเทียบเท่าเรือพระที่นั่งกิ่ง มักโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ประทับร่วมไปกับกระบวนพยุหยาตราชลมารค แต่ในยุครัตนโกสินทร์ก็แทบจะไม่มีการแบ่งแยกระหว่างเรือพระที่นั่งกิ่งและเรือพระที่นั่งเอกไชยอีกเลย
สำหรับพระที่นั่งที่ใช้ในขบวนเรือพระราชพิธีครั้งนี้มี 4 ลำ คือ (ไล่ตามลำดับการจัดขบวนในครั้งนี้)
เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช หรือเรือพระที่นั่งบัลลังก์นาค 7 เศียร เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 และสร้างลำใหม่แทนลำเดิมในรัชกาลที่ 6 โขนเรือปิดทองประดับกระจก เป็นรูปพญานาค 7 เศียร พื้นเรือสีเขียว น้ำหนัก 15.36 ตัน กว้าง 2.95 เมตร ยาว 42.95 เมตร ลึก 0.76 เมตร กินน้ำลึก 0.31 เมตร ฝีพาย 54 นาย นายท้าย 2 นาย
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือพระที่นั่งกิ่งที่ถือเป็นมรดกโลก สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ตอนนั้นใช้ชื่อว่า“เรือศรีสุพรรณหงส์”ก่อนที่จะทำการปรับปรุงซ่อมแซมครั้งใหญ่ ในช่วงปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ถึงสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยได้คงไว้ในส่วนที่เป็นของดั้งเดิมก็คือส่วนของโขนเรือ หัวเรือ และท้ายเรือ ส่วนลำเรือและลวดลายได้ทำขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ได้เปลี่ยนชื่อจากเรือศรีสุพรรณหงส์ เป็น “เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์” ซึ่งรัชกาลที่ 6 ได้ประกอบพิธีลงน้ำเมื่อ วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2454
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ มีโขนเรือเป็นรูปหงส์ ลงรักปิดทองประดับกระจก พื้นเรือสีดำน้ำหนัก 15.6 ตัน กว้าง 3.15 เมตร ยาว 44.70 เมตร ลึก 0.90 เมตร กินน้ำลึก 0.41 เมตร ฝีพาย 50 นาย นายท้าย 2 นาย นายเรือ 2 นาย พายที่ใช้เป็นพายทอง พลพายจะพายในท่านกบิน และถือเป็นธรรมเนียมว่าถ้าจะเปลี่ยนท่าพายธรรมดาจะต้องรับพระบรมราชานุญาตเสียก่อน
เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เดิมเป็นเรือพระที่นั่งกิ่งประเภทเรือรูปสัตว์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีนามว่า “เรือมงคลสุบรรณ” มีโขนเรือเป็นรูปพญาครุฑเพียงอย่างเดียว ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดให้เสริมรูปพระนารายณ์ประทับยืนบนหลังพญาสุบรรณเพื่อความสง่างาม พร้อมทั้งพระราชทางนามใหม่ว่า “เรือนารายณ์ทรงสุบรรณ”
ส่วนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 นี้ กองทัพเรือ ร่วมกับ กรมศิลปากร และสำนักพระราชวัง ได้ดำเนินการจัดสร้าง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องใน วโรกาสพระราชพิธีในปีกาญจนาภิเษก มีฐานะเป็นเรือพระที่นั่งรอง ทอดบัลลังก์กัญญา เทียบเท่า เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ พื้นเรือสีแดงชาด น้ำหนัก 20 ตัน กว้าง 3.20 เมตร ยาว 44.30 เมตร ลึก 1.10 เมตร ฝีพายจำนวน 50 นาย นายท้าย 2 นาย (เพื่อให้สอดคล้องกับ วโรกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)
เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือพระที่นั่งศรี สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หัวเรือจำหลักปิดทองเป็นรูปพญานาคเล็กๆ จำนวนมาก พื้นเรือสีชมพู น้ำหนัก 7.7 ตัน กว้าง 3.15 เมตร ยาว 45.40 เมตร ลึก 1.11 เมตร กินน้ำลึก 1.46 เมตร ฝีพาย 61 นาย นายเรือ 2 นาย นายท้าย 2 นาย
และนี่ก็คือเรือพระที่นั่งทั้ง 4 ลำ ที่ใช้ในการแสดงขบวนเรือพระราชพิธีครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า และยังถือเป็นสุดยอดของเรือแห่งสยามประเทศอีกด้วย
********************************
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนขึ้นในช่วงการแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งทางสำนักพระราชวังให้เรียกว่า การแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ไม่ใช่กระบวนพยุหยาตราชลมารค เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้เสด็จประทับในเรือพระที่นั่ง แต่พระองค์ทรงเสด็จทอดพระเนตรร่วมกับพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศที่อาคารราชนาวิกสภา


