ในประวัติศาสตร์ชาติไทย มีคำจารึกในพงศาวดารสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงเมื่อคราวที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินโดยชลมารคจากกรุงศรีอยุธยาไปตีเมืองเมาะตะมะ
และมีหลักฐานปรากฏในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในเรื่องการเสด็จแปรพระราชฐานไปยังหัวเมืองต่างๆ โดยการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่เรียกว่า "ขบวนเพชรพวง"
และมาถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2549 ก็ได้มีการจัดแสดงขบวนเรือพระราชพิธีขึ้นอีกครั้ง โดยในครั้งนี้เป็นการจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รูปแบบของกระบวนเรือก็ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างตามยุคสมัย โดยในครั้งนี้ได้จัดกระบวนเรือที่ประกอบไปด้วยริ้วกระบวน 5 ริ้วด้วยกัน ใช้เรือรวมทั้งสิ้น 52 ลำ ระยะต่อระหว่างลำ 40 เมตร เว้นเรือพระที่นั่ง 80 เมตร ระยะเคียงระหว่างริ้ว 20 เมตร ความยาวของกระบวน 1,200 เมตร กว้าง 90 เมตร
ในส่วนของเรือประเภทต่างๆ ที่ใช้ในขบวนเรือพระราชพิธีนั้น มีดังนี้ เรือประตูหน้า คือเรือทองขวานฟ้า และเรือทองบ้าบิ่น เป็นเรือคู่แรกของขบวน ตามด้วยเรือพิฆาต เป็นเรือรบที่อยู่ในริ้วที่ 2 และริ้วที่ 4 ถัดจากเรือประตูหน้าเข้ามาในกระบวน หัวเรือเป็นรูปเสือ มีปืนจ่ารงตั้งที่หัวเรือ ได้แก่เรือเสือทยานชล และเรือเสือคำรณสินธุ์
เรือดั้ง เป็นเรือไม้ทาน้ำมัน บางลำทาสีทอง (เรือดั้ง 21 และเรือดั้ง 22) ไม่มีลวดลาย ใช้สำหรับเป็นเรือรอบนอกของกระบวนโดยอยู่ในริ้วขวาสุดและริ้วซ้ายสุด ริ้วนอกด้านหน้าของกระบวนมี 11 คู่ หรือ 22 ลำ ได้แก่เรือดั้ง 1-22 โดยเลขคี่อยู่ด้านขวา และเลขคู่อยู่ด้านซ้าย
เรือกลองใน-เรือกลองนอก เป็นเรือกราบ อยู่ในริ้วกลางหรือริ้วที่ 3 มีปี่ชวาและกลองแขกสำหรับบรรเลง มี 2 ลำ ได้แก่เรือกลองใน (เรือแตงโม) อยู่บริเวณกลางกระบวนข้างหน้าเรือพระที่นั่ง เป็นเรือสำหรับผู้บัญชาการกระบวนเรือ และเรือกลองนอก (เรืออีเหลือง) อยู่หน้าสุดของริ้วกลาง เป็นเรือสำหรับรองผู้บัญชาการกระบวนเรือ
เรือตำรวจใน-เรือตำรวจนอก เป็นเรือกราบ มีพระตรวจหลวงชั้นปลัดกรมนั่งคฤห มี 2 ลำ ได้แก่เรือตำรวจใน อยู่ในริ้วกลางหน้าเอพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือตำรวจนอก อยู่ถัดจากตำรวจใน
เรือรูปสัตว์ เป็นเรือแกะสลัก หัวเรือเป็นรูปขุนกระบี่ รูปอสูร รูปพญาวานร และรูปครุฑ ปัจจุบันมีอยู่ 8 ลำ หรือ 4 คู่ จัดให้อยู่มนริ้วกระบวนที่ 2 และริ้วกระบวนที่ 4 อยู่ถัดระดับเรือตำรวจนอกเข้ามา โดยมีตำแหน่งเรือคือริ้วที่ 2 เรืออสุรปักษี เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรือสุครีพครองเมือง และเรือครุฑเตร็จไตรจักร ริ้วที่ 4 เรืออสุรวายุภักษ์ เรือกระบี่ราญรอนราพย์ เรือพาลีรั้งทวีป และเรือครุฑเหินเห็จ
เรือพระที่นั่ง จัดว่าเป็นเรือที่สำคัญที่สุดและสง่างามที่สุดในกระบวน ประกอบด้วยเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช
เรือคู่ชัก เป็นเรือที่ทำหน้าที่นำเรือพระที่นั่ง โดยอยู่ทางเบื้องขวาเฉียงไปทางซ้าย คือเรือเอกชัยเหินหาว และอยู่ทางเบื้องซ้ายเฉียงไปทางข้างท้าย คือเรือเอกไชยหลาวทอง
เรือตำรวจตาม ใช้เรือกราบกัญญา เป็นพาหนะของพระตำรวจรักษาพระองค์ที่ตามเสด็จในกระบวน มีตำแหน่งเรืออยู่ในริ้วกลางต่อจากเรือพระที่นั่งรอง (เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์)
เรือแซง ใช้เรือกราบกัญญา เป็นเรือทหาร เรือแซงเสด็จทั้งสองข้างของเรือพระที่นั่ง โดยอยู่ในริ้วกระบวนนอกสุดของกระบวน มี 6 ลำ หรือ 3 คู่ โดยแซงด้านขวา 3 ลำ ได้แก่เรือแซง 1 เรือแซง 3 เรือแซง 5 และแซงด้านซ้าย 3 ลำ ได้แก่ เรือแซง 2 เรือแซง 4 เรือแซง 6 นอกจากนั้นยังจัดเรือแซงปิดท้ายริ้วกลางของกระบวน ต่อจากเรือตำรวจตามอีก 1 ลำ คือเรืองแซง 7 และปิดท้ายขบวนด้วย เรือประตูหลัง ใช้เรือกราบกัญญา คือเรือแซง 5 และเรือแซง 6
**************
สำหรับผู้ที่เฝ้ารอชมการแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ทางกองทัพเรือจะมีการซ้อมย่อยช่วงเย็นอีกครั้งในวันที่ 30 พ.ค.49 และการซ้อมใหญ่ ด้วยชุดการแต่งกายเหมือนจริง เวลาจริง ในวันที่ 2,6 มิ.ย.49 (16.00 น.) รวมถึงการซ้อมปรับสภาพ ในวันที่ 9 มิ.ย.49 (16.00 น.) ก่อนจะแสดงจริงในค่ำวันที่ 12 มิ.ย. (16.00 น.) ซึ่งผู้สนใจสามารถรับชมได้บริเวณสถานที่สาธารณะหรือร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ ท่าวาสุกรี – วัดอรุณราชวราราม
**********************************************************
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนขึ้นในช่วงการแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งทางสำนักพระราชวังให้เรียกว่า การแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ไม่ใช่กระบวนพยุหยาตราชลมารค เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้เสด็จประทับในเรือพระที่นั่ง แต่พระองค์ทรงเสด็จทอดพระเนตรร่วมกับพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศที่อาคารราชนาวิกสภา
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ผังการจัดรูปขบวนเรือพระราชพิธี