xs
xsm
sm
md
lg

ขุนพล "ขบวนเรือพระราชพิธี" เบื้องหลังความอลังการแห่งสายน้ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในค่ำวันที่ 12 มิ.ย. ขบวนเรือพระราชพิธี มรดกแห่งวัฒนธรรมทางน้ำอันล้ำค่าหนึ่งเดียวในโลก จะออกโลดแล่นไปตามลำน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ท่าวาสุกรีไปจนถึงบริเวณวัดอรุณ

นี่คือความวิจิตรงดงามแห่งสายน้ำ ที่กว่าจะเกิดเป็นริ้วขบวนเรืออันยิ่งใหญ่อลังการในค่ำวันที่ 12 มิถุนายน บรรดาฝีพายทั้งหมด 2,200 คน กับเรือ 52 ลำ ต้องฝึกฝนเคี่ยวกรำกันอย่างหนักยาวนานหลายเดือน เพื่อให้ขบวนเรือโลดแล่นไปตามลำน้ำเจ้าพระยาอย่างสง่างาม ซึ่งพวกเขาเหล่านี้คือบุคคลสำคัญเบื้องหลังความอลังการแห่งขบวนเรือ ที่จะขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้

"นายเรือ" มือวางอันดับหนึ่งในเรือพระราชพิธี

สำหรับผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในเรือนั้น ต้องยกให้กับ "นายเรือ" ซึ่งถือเป็นผู้ควบคุมดูแลความเรียบร้อยของทั้งลำเรือ โดยบนเรือพระที่นั่งจะมีนายเรือสองคนด้วยกัน คือนายเรือคนที่ 1 และนายเรือคนที่ 2 นายเรือคนแรกจะยืนอยู่ด้านหน้าของบัลลังก์กัญญา (ที่ประทับ) ส่วนนายเรืออีกคนหนึ่งจะยืนอยู่ด้านหลังบัลลังก์

นาวาโทประจวบ อยู่สบาย นายเรือประจำเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เล่าให้ฟังถึงหน้าที่ของนายเรือบนขบวนเรือพระราชพิธีว่า

"สำหรับนายเรือนั้นก็มีหน้าที่นำเรือให้ปลอดภัย ดูแลกำลังพลในเรือ ดูแลความปลอดภัยของเรือทั้งหมด แต่เรื่องสำคัญๆ ที่นายเรือต้องควบคุมดูแลก็คือเรื่องเกี่ยวกับฝีพาย คือต้องให้เขาพายพร้อมกัน แล้วก็ควบคุมให้เรืออยู่ในทิศทางที่กำหนด ให้อยู่ในตำแหน่ง อยู่ในสถานีที่กำหนด และต้องควบคุมเรื่องเวลาที่ทางคณะกรรมการเขากำหนดไว้ว่าจะต้องถึงจุดนั้นจุดนี้ เวลาเท่านั้นเท่านี้ เราก็ต้องดำเนินการให้ได้ตามที่เขากำหนดมา"

เมื่อเห็นว่า เรือของตนเองล้าหลัง ไม่ทันขบวน หรือฝีพายอาจพายเร็วเกินไปจนเรือล้ำหน้าขบวน นายเรือจะเป็นผู้สังเกตและสั่งฝีพายให้พายเร็วขึ้นหรือช้าลง โดยวิธีการสั่งจะต้องส่งคำสั่งด้วยสัญญาณมือผ่านไปยังพลสัญญาณที่อยู่หัวเรือ และให้พลสัญญาณโบกธงให้สัญญาณฝีพายอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากจะต้องคอยควบคุมลูกเรือแล้ว ตัวเรือก็เป็นส่วนสำคัญที่นายเรือต้องให้ความดูแลเป็นพิเศษเช่นกัน "เอาเฉพาะเรือพระที่นั่งอย่างเรือนารายณ์ทรงสุบรรณฯ เป็นเรือที่มีน้ำหนักมากที่สุดในขบวนเรือในครั้งนี้ หนักประมาณ 20 ตัน ขนาดก็ทั้งกว้าง ยาว และใหญ่มาก ลวดลายก็มีตลอดทั้งลำเรือ รวมทั้งโขนเรือก็มีลวดลายแกะสลักมากมาย เพราะฉะนั้นก็ต้องระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นการนำเรือเข้าจอด การนำออกไปซ้อมขบวนก็ดี หรือนำเข้าหลักระหว่างพักก็ดี อันนี้สำคัญที่สุดคือต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเรือ"

เมื่อถามถึงอุปสรรคในเรื่องของดินฟ้าอากาศที่อาจเกิดขึ้นระหว่างที่ขบวนเรือพระราชพิธีกำลังแล่น นาวาโทประจวบกล่าวว่า "ถ้าหากว่าฝนตกแบบไม่หนักมากจนเป็นหมอกมองไม่เห็นอย่างนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ในขบวนเรือพระที่นั่งสิ่งกลัวที่สุดคือ กลัวลม เพราะด้วยตัวเรือลำเรือที่ใหญ่ บัลลังก์กัญญาก็ใหญ่ ถ้าลมพัดมาแรงๆ ก็จะเหมือนเรือใบ คือกินลมไปเลย ถ้าลมแรงจะบังคับไม่ได้ ตรงนี้ต้องอาศัยฝีมือของฝีพายที่แข็งแรงมาก"

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้วที่นาวาโทประจวบได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในขบวนเรือพระราชพิธี โดยในครั้งก่อนๆ นั้นได้เคยอยู่ในตำแหน่งนายเรือของเรือรูปสัตว์ ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้มาเป็นนายเรือบนเรือพระที่นั่ง แม้จะผ่านประสบการณ์ในการร่วมขบวนเรือฯ มาหลายครั้งแล้ว แต่ความรู้สึกตื่นเต้นก็ยังคงอยู่ "ทุกครั้งที่นำเรือก็มีความรู้สึกตื่นเต้น ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกแล้วก็ตาม โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนเรือพระที่นั่ง ซึ่งเรือพระที่นั่ง 4 ลำ นี้ก็มักจะเป็นที่จับตามองของคนทั่วไป" นาวาโทประจวบกล่าว และปิดท้ายว่า...

"มีความรู้สึกภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนเรือพระราชพิธี ถึงแม้ว่าครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะไม่ได้เสด็จประทับบนเรือ แต่ก็รู้ว่าพระองค์ท่านทอดพระเนตรอยู่บนฝั่ง เราในฐานะที่เป็นนายเรือพระที่นั่ง ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้เสด็จแต่ก็จะทำหน้าที่เหมือนว่าท่านเสด็จอยู่ด้วย เรามีความภาคภูมิใจในเรื่องนี้"

"พลสัญญาณ" ผู้ส่งสารภายในเรือ

คำสั่งที่นายเรือต้องการส่งไปหาฝีพายนั้นคงไม่สามารถสื่อสารกันได้ หากว่าไม่มีคนกลางอย่าง "พลสัญญาณ"

นายเรือเอกทองดี รักกลั่น พลสัญญาณหัวเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เล่าถึงหน้าที่ของพลสัญญาณว่า "พลสัญญาณจะนั่งอยู่ที่หัวเรือหันหน้าเข้ามาด้านในเรือ รอดูคำสั่งจากสัญญาณมือของนายเรือที่จะส่งมาว่าจะให้ฝีพายทำอย่างไร คำสั่งส่วนมากก็เช่นให้ฝีพายพายท่านกบิน พายผสม หรือให้กราบขวาวาด กราบซ้ายวาด สมมติเรือจะเข้าเทียบ นายเรือก็จะสั่งซ้ายวาด ขวาคัด หรือถ้าเรือไม่ทันขบวน ต้องการให้ฝีพายเร่งเรือให้เร็ว เขาก็จะส่งสัญญาณมือมาตามแบบที่เราตกลงกันไว้ เช่นถ้าชูมือขึ้นลงๆ สามครั้งก็คือให้เร่งเร็ว หรือพายหนัก เพื่อให้เรือทันขบวน เราก็จะสั่งไปตามนั้น"

อุปกรณ์คู่มือของพลสัญญาณบนเรือพระที่นั่งก็คือพู่หางนกยูง ส่วนเรือประเภทอื่นๆ เช่นเรือรูปสัตว์ เรือดั้ง หรือเรือแซง พลสัญญาณจะใช้ธงธรรมดา แต่ในช่วงวันซ้อมนี้เรือทุกลำก็จะใช้ธงธรรมดาในการให้สัญญาณ ส่วนพู่หางนกยูงนี้จะใช้ในวันซ้อมใหญ่และวันแสดงจริงเท่านั้น นอกจากอุปกรณ์จะต่างกันแล้ว ลักษณะการนั่งในเรือของพลสัญญาณในเรือแต่ละลำก็ต่างกันด้วย โดยพลสัญญาณเรือพระที่นั่งทั้งสี่ลำจะนั่งหันหน้าเขาสู่ลำเรือ ขณะที่พลสัญญาณของเรือลำอื่นๆ จะยืนหันหน้าออกไปทางหัวเรือ

นาเรือเอกทองดี เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้เข้าร่วมกับกระบวนเรือพระราชพิธีมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งที่ประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นการมีส่วนร่วมครั้งแรกใน พ.ศ.2525 โดยรับหน้าที่เป็นฝีพายของเรือพระที่นั่งทรงสุพรรณหงส์ (คำว่า "ทรง" แสดงถึงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับในเรือลำนั้น)

"ครั้งแรกนั้นผมภูมิใจมาก เมื่อรู้ว่าจะมีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคก็รีบสมัครเลย เพราะเราเป็นคนสุพรรณ พายเรืออยู่กลางแม่น้ำสุพรรณบุรีมาตั้งแต่เล็กๆ แล้ว" นาวาทองดี ย้อนถึงความหลัง และเล่าให้ฟังถึงความประทับใจว่า

"ตอนนั้นผมเป็นฝีพายอยู่กราบซ้าย พอกระบวนเรือผ่านมาถึงตรงแบงก์ชาติก็มองเห็นประชาชนมาคอยชมอยู่ ตอนนั้นเขาสร้างเป็นอัฒจันทร์กี่ชั้นก็จำไม่ได้ แต่เห็นคนหลายพันคนรอชมอยู่ตรงนั้น แล้วทุกคนก็โบกธงชาติเล็กๆ ไปด้วย ผมยังจำภาพตอนนั้นได้แม่นเลย เห็นแล้วรู้สึกว่าประทับใจมากๆ จนน้ำตาแทบร่วง แล้วผมก็พยายามโยกศีรษะไปทางข้างหลัง ก็มองเห็นในหลวงท่านทรงยกกล้องถ่ายภาพถ่ายไปทางประชาชนที่อยู่ตรงนั้น"

"คราวนี้แม้ท่านไม่ได้ประทับในเรือด้วยแต่ก็ภูมิใจที่ท่านดูอยู่ ผมก็จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด" นายเรือเอกทองดีกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

"ฝีพาย" กำลังพลสำคัญ

ตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องอาศัยกำลังพลมากที่สุดในเรือแต่ละลำก็คือ "ฝีพาย" และฝีพายก็คือผู้ที่ต้องใช้พละกำลังมากที่สุดในลำเรือเช่นกัน

"เราฝึกซ้อมกันมาตั้งแต่ประมาณเดือนพฤศจิกายน ปี 2548 เริ่มตั้งแต่การฝึกซ้อมพายบนเขียงเรือบนบก แล้วก็ลงมาซ้อมในน้ำกับเรือภายในอู่ หลังจากแต่งท่าทางการพายแล้ว ก็มาพายซ้อมกับเรือที่วัดราชา จากนั้นจึงพายออกแม่น้ำจริงโดยใช้พวกเรือดั้ง เรือแซง มาซ้อมพายก่อน หลังจากที่ชำนาญแล้ว ท่าทางต่างๆ แต่งได้ดีแล้ว จึงมาลงเรือพระที่นั่ง" พันจ่าเอกสำเริง เฉยนิล ฝีพายเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เล่าถึงการฝึกซ้อมที่ผ่านมา กับการเข้าร่วมในขบวนเรือพระราชพิธีเป็นครั้งแรก

"ท่าพายของเรือพระที่นั่งจะเป็นท่านกบิน ไม่เหมือนเรือแซงเรือดั้งที่เป็นท่าพายธรรมดา หรือท่าพลราบ สำหรับท่านกบินจะมี 4 จังหวะ คือ พายลงไปในน้ำ 1 ดึงพายมา 2 แล้วก็ 3 แล้วก็ยกพายขึ้นเป็น 4 ในทั้งกระบวนเรือก็จะใช้ท่านี้ตลอด แต่ในเรือจะแบ่งเป็นภาคหัวเรือกับท้ายเรือ ภาคหัวเรือก็จะพายนกบินตลอด ภาคท้ายลำเรือก็อาจจะพายธรรมดาเป็นการแต่งเรือ เช่นมีการคัดวาดบ้าง หรือถ้าพายช้าไปก็ต้องมีการพายเสริมเข้าไปก็เปลี่ยนเป็นท่าธรรมดาบ้าง เพราะท่าพายนกบินจะลงพายไม่เต็มที่ ไม่เหมือนพายปกติ ก็จะทำให้เรือช้า ก็จะต้องสั่งพายแบบธรรมดาพายเสริมขึ้นไป ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันขบวน" พันจ่าเอกสำเริงเล่า

ฝีพายทุกคนจะต้องคอยมองสัญญาณจากพลสัญญาณหัวเรือ ที่ได้รับสัญญาณคำสั่งมาจากนายเรืออีกที นอกจากนั้นก็ยังต้องฟังเสียงเห่เรือด้วย เพราะต้องมีการร้องรับเป็นจังหวะ รวมทั้งต้องพายให้เข้ากับเสียงเห่ด้วย โดยพันจ่าเอกสำเริงเล่าว่า เสียงเห่นั้นจะไม่คร่อมกับการพาย แต่จะเห่เป็นจังหวะพร้อมกับการพายเรือ เช่นการเห่จังหวะนี้เป็นการลงพาย จังหวะนี้ต้องยกพายขึ้น คือถ้าเห่ไม่เข้าจังหวะก็พายไม่ได้ หรือพายไม่เข้าจังหวะก็เห่ไม่ได้เช่นกัน

ขาดไม่ได้ "นายท้ายเรือ"

สำหรับเรือทุกลำแล้ว "นายท้ายเรือ" ถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก เพราะหากขาดนายท้ายไป เรือย่อมไม่สามารถควบคุมซ้ายขวาได้อย่างใจนึก และยิ่งถ้าเป็นเรือในขบวนพระราชพิธีที่เป็นเรือขนาดใหญ่ ยาว และน้ำหนักมากเช่นนี้ จะอาศัยเฉพาะพละกำลังของฝีพายอย่างเดียวก็อาจจะลำบากมิใช่น้อย

สำหรับตำแหน่งนายท้ายนั้น เรือตรีจิรพงศ์ กลมดวง นายท้ายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เล่าให้ฟังว่า หน้าที่นายท้ายก็คือเป็นคนควบคุมเรือ คัดท้ายเรือให้ไปทางซ้ายหรือขวา โดยดูคำสั่งจากนายเรือ หรือบังคับเรือให้เลี้ยวไปตามจุดต่างที่ได้ตกลงกันไว้ โดยในเรือพระที่นั่งนั้นจะมีนายท้ายเรือ 2 คนด้วยกันคอยคัดท้ายคนละด้าน

เมื่อถามถึงความรู้สึกหลังจากการซ้อมขบวนเรือพระราชพิธีผ่านพ้นไปหลายครั้งด้วยกัน เรือตรีจิรพงศ์ บอกว่า เรื่องความเหนื่อยนั้นก็คงไม่มากนัก เพราะเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องปฏิบัติอยู่แล้ว และต้องพยายามให้งานนั้นออกมาดีที่สุด สวยที่สุด เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทอดพระเนตรดูพวกเราทุกคนอยู่

เรือตรีจิรพงศ์กล่าวปิดท้ายว่า "การได้มาร่วมในขบวนก็เป็นความภาคภูมิใจ และดีใจ เพราะทำงานมาก็อยู่กับเรือพระราชพิธีมาตลอด คราวนี้ได้ทำหน้าที่เป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ก็เป็นความภาคภูมิใจมาก"

กว่าจะเป็นขบวนเรือพระราชพิธี

ในภาพรวมของการฝึกซ้อมขบวนเรือพระราชพิธีนั้น พล.ร.ต.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ ประธานฝ่ายควบคุมและอำนวยการขบวนเรือ เปิดเผยว่า สำหรับการฝึก มีการจัดกำลังพลเข้าประจำดำเนินการ เพื่อเข้าเตรียมการต่าง ๆ ตั้งแต่ 25 พฤศจิกายน 2548 เป็นต้นมา ขั้นตอนการฝึก จะฝึกครูฝึกฝีพาย ในระหว่างตุลาคม – พฤศจิกายน 48 เพื่อไปฝึกฝีพายต่าง ๆ ใช้เวลา 15 วัน วันละ 6 ชั่วโมง การฝึกฝีพายบนเขียงฝึกบนพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 48 – มกราคม 49 รวม 40 วัน จากนั้นมาฝึกฝีพายในเรือเป็นกระบวนย่อย ตามพื้นที่หน่วยรับเรือ เริ่มตั้งแค่ กุมภาพันธ์ – 19 เมษายน 49 รวม 49 วัน จนกว่ากำลังพลต่าง ๆจะดำเนินการได้เรียบร้อยขึ้น เราก็จะดำเนินการฝึกซ้อมย่อยเช่นครั้งนี้เป็นต้น โดยแบ่งเป็น 6 ครั้ง เมษายน 2 ครั้ง คือ วันที่ 25 และ 28 เดือน พฤษภาคม 4 ครั้ง เป็นการซ้อมเวลากลางคืนทั้งหมด ในวันที่ 2, 16, 23 และ 30 สำหรับวันฝึกซ้อมใหญ่มี 2 วันคือ วันที่ 2 และวันที่ 6 มิถุนายน และใช้วันที่ 9 มิถุนายน ฝึกซ้อมเก็บรายละเอียดที่บกพร่อง

ในส่วนของการคัดเลือกฝีพายนั้น พล.ร.ต.อภิวัฒน์ กล่าวว่า

"เวลาคัดเลือกเราไม่จำเป็นต้องคัดเลือกคนเก่งมาก่อน เพราะเราสามารถฝึกได้ แต่เราคัดฝีพายจากทหารจากหลากหลายตำแหน่งที่มีแรง มีความมุ่งมั่นและสมัครใจ เพราะเราสามารถฝึกได้ โดยมีหลักสูตรฝึกอย่างมีขั้นตอน มันไม่ใช่แค่ฝึกพายเรืออย่างเดียว แต่ใน 2,200 คน ต้องทำให้พร้อมเพรียงกัน ต้องมีจังหวะ หูฟัง โน้มตัว จ้วงพาย พอถึงตอนขานเสียงเห่ ปากก็ต้องขานรับเสียงเห่ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฝึกซ้อม"

"การฝึกในลักษณะนี้ไม่ได้เป็นการฝึกร่างกายที่เน้นด้านความแข็งแรง หรือฝึกระเบียบวินัยที่เคร่งครัด แต่เป็นการฝึกให้ถูกต้องตามประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิม เพื่อสืบสานความเป็นไทย โดยเราต้องให้ความรู้ และให้เขามีความสมัครใจที่จะเรียนรู้ คนฝึกต้องรู้สึกว่าได้รับเกียรติ เป็นมงคลชีวิตที่ได้ทำภารกิจนี้ รวมถึงตัวผมด้วย"

สำหรับรายละเอียดการฝึกฝีพายนั้น พล.ร.ต.อภิวัฒน์ อธิบายว่า

"การฝึกช่วงแรกจะนำนายเรือทั้ง 52 ลำมาเข้าห้องเรียน เรียนทฤษฎีอย่างเดียวให้รู้จักประเพณีวัฒนธรรมประมาณ 1 เดือนครึ่งจนแตกฉาน จากนั้นนายเรือจะกลับไปสอนลูกเรือของตนเอง จะมี"เขียงฝึก"ซึ่งเป็นศัพท์ของผู้ใหญ่รุ่นก่อน มีลักษณะคล้ายกระทง แล้วให้เราขึ้นไปนั่งจับพาย พายลมอยู่บนบก พร้อมฝึกฟังเสียงเห่ โน้มตัว จ้วงพาย รับเสียงเห่ ทำอย่างนี้อยู่หลายเดือน"

"พอฝึกพายบนเขียงจนชำนาญ ต่อจากนั้นถึงลงฝึกพายในเรือ เพื่อจ้วงพายในน้ำและรับโหลด อีกประมาณ 3 – 4 เดือน การพายในน้ำแตกต่างจากการพายบนบกมาก เพราะการพายในน้ำ ตัวต้องใช้แรง ตากแดด ตากฝน ทนหิว จนฝีพายมีความชิน จึงเอาเรือที่แยกย้ายกันมารวมขบวนเรือ ซึ่งก็ทำให้ฝีพายได้รู้จักเพื่อนเพิ่ม โดยรู้จักไปเป็นขบวนเรือ ส่วนการพายกลางวันกับกลางคืนก็แตกต่างกัน เพราะต้องปรับสายตาในการรับแสง"

หากพูดถึงความยากลำบากของการฝึกซ้อมขบวนเรือพระราชพิธีในครั้งนี้ พล.ร.ต.อภิวัฒน์ สรุปเอาไว้ว่า ข้อแรก คือการนำเรือทั้ง 52 ลำมาอยู่รวมกันเป็นขบวนเรือ และเดินทางไปด้วยกันอย่างเรียบร้อยสวยงาม ตั้งแต่ท่าวาสุกรีไปจนถึงป้อมวิชัยประสิทธิ์ ส่วนความยากลำบากข้อสอง คือ การต่อสู้กับกระแสน้ำ กระแสลม ซึ่งกำลังพลฝีพายต้องมีความแข็งแรงพอที่จะเอาชนะทั้ง 2 อย่าง เพื่อให้เข้าสู่จุดมุ่งหมายได้ตรงตามเวลา กระบวนเรือไม่กลัวฝน แต่หากพายุมาแรงมาก เรือจะไม่สามารถรักษารูปกระบวนได้ เรืออาจจะต้องหยุด

"เรือพระราชพิธีเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ และสามารถใช้งานได้จริง ก่อนจะสืบทอดต่อมาจนถึงรุ่นเรา เราต้องเคารพนับถือ เวลาลงเรือเราต้องกราบไหว้แม่ย่านางเรือ ไม่พูดคำหยาบ ไม่ทำอะไรที่ไม่ดีในเรือ ต้องมีสัมมาคารวะในลำเรือ ตอนนี้เรือพระราชพิธีอยู่ในการดูแลของเรา เราต้องรักษาประเพณีนี้ไว้ รวมทั้งต้องรักษาเรือส่งทอดให้คนรุ่นหลัง"

********************************************************

เป็นเวลากว่าครึ่งปีทีเดียว ที่บรรดาฝีพาย นายท้าย นายเรือ และพนักงานทุกๆ ตำแหน่งในเรือต่างก็ทุ่มเทเวลา ฝึกฝน เคี่ยวกรำ ด้วยความยากลำบาก แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ย่นย่อท้อใจ เพราะทุกคนต่างภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนเรือพระราชพิธีครั้งนี้ นอกจากนั้นพวกเขายังภูมิใจที่ได้ทำเพื่อประเทศไทยและได้ทำถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

และนี่ก็คือหนึ่งในเกียรติประวัติอันสูงสุดในชีวิตของเหล่าฝีพายทุกคน

*    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    * 

การแสดงเรือพระราชพิธีจะมีขึ้นในค่ำวันที่ 12 มิถุนายน 2549 (16.00 น.เป็นต้นไป) ตั้งแต่ท่าวาสุกรีไปจนถึงบริเวณวัดอรุณฯ โดยในวันที่ 30 พ.ค.49 จะมีการซ้อมย่อยช่วงเย็นครั้งสุดท้าย และการซ้อมใหญ่ด้วยชุดการแต่งกายเหมือนจริง ในวันที่ 2,6 มิ.ย.49 (16.00 น.) รวมถึงการซ้อมปรับสภาพ ในวันที่ 9 มิ.ย.49 (16.00 น.) ก่อนจะแสดงจริงในค่ำวันที่ 12 มิ.ย. (16.00 น.) ซึ่งผู้สนใจสามารถรับชมได้บริเวณสถานที่สาธารณะหรือร้านอาหารในบริเวณที่ขบวนเรือผ่าน

สำหรับขบวนเรือพระราชพิธีในครั้งนี้ประกอบไปด้วยเรือทั้งหมด 52 ลำ โดยมีเรือพระที่นั่ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ นอกจากนี้ก็มี เรือรูปสัตว์ 14 ลำ เรือดั้ง 22 ลำ เรือแซง 7 ลำ เรืออีเหลืองและเรือแตงโม 2 ลำ และเรือตำรวจอีก 3 ลำ
 
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนขึ้นในช่วงการแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งทางสำนักพระราชวังให้เรียกว่า การแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ไม่ใช่กระบวนพยุหยาตราชลมารค เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้เสด็จประทับในเรือพระที่นั่ง แต่พระองค์ทรงเสด็จทอดพระเนตรร่วมกับพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศที่อาคารราชนาวิกสภา
 
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

คนเห่เรือ ผู้ขับขานภาษา ให้กังวานก้อง แห่งท้องน้ำเจ้าพระยา
นาวาเอกทองย้อย ผู้เรียงร้อยอักษรเป็น“กาพย์เห่เรือฯ"
"กาพย์เห่เรือฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี" ท่วงทำนองความงดงามแห่งภาษาไทย
รู้จักนักเห่เรือ 2 รุ่น 2 ยุค
"ขบวนเรือพระราชพิธี" มรดกทางวัฒนธรรมหนึ่งเดียวในโลก 
กำลังโหลดความคิดเห็น