ในเดือนที่อากาศบัดเดี๋ยวร้อน บัดเดี๋ยวฝน แถมผู้คน(ส่วนหนึ่ง)ยังมึนงงกับการเมืองที่ตกอยู่ในสภาวะบรรยากาศมาคุอึมครึม วังเวง ไม่รู้ว่าจะเปิดสภาได้เมื่อไหร่ เมื่อไหร่ ใครจะมาเป็นนายกฯคนต่อไป และจะมีใครคอยชักใยอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า
บรรยากาศเช่นนี้ใครที่หมกมุ่นและอินกับการเมืองมากไปคงต้องระวังโรคโพลิติคอลสเตรส ซินโดรม หรือ โรคเครียดทางการเมืองถามหา ส่วนใครที่เคร่งเครียดไม่ว่าจะในเรื่องใดๆ หนึ่งในตัวช่วยพิฆาตความเครียดชั้นดีก็คือการออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ
ไม่ว่าจะเที่ยวใกล้หรือเที่ยวไกล หากเปิดหัวใจ ปลดปล่อยจินตนาการ ความเครียดยากที่จะแพ้วพานมาเยือน อย่างกับการไปตะลุยเที่ยวแบบเรื่อยๆไม่รีบร้อนในจังหวัด "สมุทรปราการ" หรือ "เมืองปากน้ำ" ของ "ผู้จัดท่องเที่ยว" ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่เราได้ค้นพบแง่งามของเมืองใกล้กรุงฯ ซึ่งคนส่วนหนึ่งอาจมองผ่านเลยไป
สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวในเมืองปากน้ำครั้งนี้ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" เลือกเที่ยวในบริเวณเขตเมืองแบบไปเช้า-เย็นกลับ โดยจุดแรกที่เราไปเยือนนั้น คือ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ หนึ่งในผลงานอันยิ่งใหญ่ ของชายชื่อ "เล็ก วิริยะพันธุ์"
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จัดแสดงโบราณวัตถุที่สะสมไว้ให้เป็นมรดกของแผ่นดินไทยที่น่าสนใจมากมาย เพราะไม่ต้องการให้ตกไปเป็นของคนต่างชาติ โดยอาคารแห่งนี้
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ตัวสถาปัตยกรรมถูกออกแบบเป็นช้างเอราวัณยืนอยู่บนตัวอาคาร มีความสูงจากพื้นดินถึงหัวโหนกช้าง 43.60 เมตรเทียบเท่าถึงสูง 14 – 17 ชั้น กว้าง 12 เมตร ยาว 39 เมตร สูง 29 เมตร ภายในเป็นโครงเหล็ก โดยพื้นผิวช้างด้านนอกทำจากแผ่นทองแดงมาประกอบกันนับแสนแผ่น รอบบริเวณร่มรื่นไปด้วยไม้นานาพันธุ์ ด้านหน้าอาคารมีนางรำแก้บนอย่างแช่มช้อยอ่อนหวาน
ภายในอาคารช้างแบ่งออกเป็น 3 ชั้น เราเริ่มเที่ยวไล่ไปจากชั้นล่างสุด (คล้ายชั้นใต้ดิน) ที่เปรียบดังนครบาดาล จัดแสดงนิทรรศการและวัตถุโบราณต่างๆ ที่คุณเล็กเก็บสะสมไว้ ไม่ว่าจะเป็นถ้วยชามเบญจรงค์ลายต่าง ๆ ที่มีอายุมานานหลายสมัยทั้งของไทยและจีน โต๊ะ เก้าอี้สมัยรัชกาลที่ 2 และรูปปั้นต่างๆ
ออกจากชั้นล่างสู่ภายนอกเราเดินขึ้นไปยังชั้น 2 หรือ ชั้นโลกมนุษย์ ที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ภายในจัดแสดงเครื่องถ้วยของไทยและจีน เครื่องกระเบื้องแบบต่างๆ เพดานห้องเป็นภาพแผนที่โลกทำจากกระจกหลากสี วาดและออกแบบโดยศิลปินชาวเยอรมัน ถัดจากเพดานลงมา มีเสา 4 เสาที่หุ้มด้วยงานแกะสลักดุนบนแผ่นดีบุกเป็นรูปภาพศาสนาต่าง ๆ เพื่อสื่อให้เห็นว่า ศาสนาเป็นเสาหลักคอยค้ำจุนโลก นอกจากนี้รูปปั้นบริเวณซุ้มทางเข้า มีการนำถ้วยเบญจรงค์มาประดับให้มีลวดลายต่างๆ บนตัวรูปปั้น
และเมื่อขึ้นบันไดวนบริเวณขาหลังด้านขวาของตัวช้าง(หรือเลือกขึ้นลิฟต์ที่ขาหลังข้างด้านซ้าย) เดินขึ้นไปเป็นชั้นที่ 3 คือ ที่เปรียบดังชั้นสวรรค์ดาวดึงส์ บนนี้เพดานตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังสีฝุ่นที่เขียนขึ้นเป็นภาพสุริยจักรวาล ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปยุคสมัยต่าง ๆ และพระประธานที่เป็นพุทธรูปปางลีลาดูเคร่งขรึมสำรวมชวนกราบไหว้
จากพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" ออกเดินทางต่อไปยัง ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ซึ่งเป็นฟาร์มจระเข้แห่งแรกของเมืองไทย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2493 นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เมื่อเข้าไปในฟาร์มเราแวะดูโชว์ลิงที่ออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยว ถัดจากนั้นเมื่อเดินไปเรื่อยๆ จะเจอกับสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิงโต เสือ อูฐ ม้า งู นก และจระเข้ โดยเมื่อถึงเวลาโชว์จระเข้ที่ถือเป็นไฮไลท์แห่งนี้ ที่เป็นการแสดงที่สนุกปนเสียวจนทำเอาเราแอบลุ้นอยู่ในหลายๆ ช็อต โดยเฉพาะช่วงที่นักแสดงเอามือ เอาหัวยื่นเข้าไปในปากจระเข้ที่อ้าปากกว้างเหมือนรอจะงับคนแสดงอยู่ งานนี้ไม่รู้ว่าหัวคนแสดงกับปากของจระเข้ใครจะกลิ่นแรงกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ โชว์ประเภทนี้เรียกเสียงปรบมือจากนักท่องเที่ยวได้อย่างท่วมท้นในทุกๆ รอบ
ใช่จะมีแต่ความหวาดเสียวระทึกใจ ความน่ารักน่าเอ็นดูในฟาร์มแห่งนี้ก็มีเช่นกัน ซึ่งหลังจากการแสดงจระเข้จบลง เรานั่งรถรางไปชมการแสดงความสามารถของช้างไทย ที่มีเจ้าตัวเด่นคือ สมรักษ์ และ บุญมี ที่ออกมาวาดลวดลายอวดความน่ารักน่าเอ็นดูด้วยการ เดินสองขา ปั่นจักรยาน เล่นสเก็ตบอร์ด เดินไต่ลวด และปิดท้ายด้วยการยักย้ายส่ายสะโพกตามจังหวะเพลง ก่อนจะบ๊ายบายลาเรากลับไปพักผ่อน ซึ่งก็เรียกเสียงปรบมือได้กึกก้องเช่นกัน
ช่วงบ่ายหลังมื้อเที่ยงผ่านพ้นเราไปตามถนนสุขุมวิทสู่ เมืองโบราณ ที่เป็นอีกหนึ่งในผลงานอันยอดเยี่ยมและทรงคุณค่าของชายชื่อเล็ก วิริยะพันธุ์ คนเดิม
เมืองโบราณ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราว 800 ไร่ ภายในนั้นมากมายไปด้วยงานสถาปัตยกรรมจำลอง ทั้ง โบราณสถาน วัดวาอาราม อาคารน่าสนใจ และงานประติมากรรม งานศิลปกรรมอันน่ามองอีกมากมายที่จัดแสดงไว้ ภายในเนื้อที่ของเมืองโบราณที่มีลักษณะคล้ายแผนที่ประเทศไทยกลับทิศ (คือภาคใต้อยู่ด้านหน้า)
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้สร้างเมืองโบราณแบ่งการแสดงสิ่งน่าสนใจเป็นภาคต่าง เหนือ ใต้ กลาง อีสาน และภาคตะวันออก โดยมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจ อาทิ มณฑปพระพุทธบาท จ.สระบุรี พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท กทม. ตลาดน้ำ ในภาคกลาง, หมู่บ้านไทยภาคเหนือ และวิหารวัดภูมินทร์ จ.น่าน ในภาคเหนือ, ตึกแดง จ.จันทบุรี ในภาคตะวันออก,พระธาตุพนม จ.นครพนม ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา ในภาคอีสาน และพระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฏร์ธานี ในภาคใต้
ส่วนที่ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" ถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของเมืองโบราณก็คือ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ที่ของจริงต้นฉบับนั้นหาดูไม่ได้แล้ว ส่วนพระที่นั่งสรรเพชญฯแห่งเมืองโบราณเป็นการถอดแบบจากหลักฐานต่างๆที่หลงเหลือ มาสร้างย่อส่วนลง 3 ใน 4 ซึ่งนั่งสรรเพชญฯหลังนี้งามวิจิตรทั้งภายในและภายนอก
"ผู้จัดการท่องเที่ยว" เที่ยวชมโน่นชมนี่ในเมืองโบราณอยู่นานพอดูจนเวลาล่วงเลยมาสู่เพลาเย็น เราจึงอำลาเมืองโบราณจรลีต่อไปแบบชิลล์ ชิลล์ สู่ สถานตากอากาศบางปู อดีตที่ตากอากาศใกล้กรุงฯที่วันนี้ยังคงความคลาสสิคอยู่ไม่เสื่อมคลาย เมื่อไปตากอากาศบางปูในยามเย็น ก็ไม่ควรพลาดการดูนกนางนวลบินฉวัดเฉวียนด้วยประการทั้งปวง
นกนางนวลเหล่านี้เดินทางไกลมาเป็นระยะทางกว่า 3,000 ไมล์ จากแหล่งสร้างรังบริเวณที่ราบสูงตอนในของทวีปเอเชีย แถบทิเบต จีนตอนเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย อพยพลงใต้ในฤดูหนาว มาอาศัยตามแนวชายฝั่งทะเล ตั้งแต่อิหร่าน ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ ไปจรดคาบสมุทรเกาหลี ในประเทศไทยพบทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย
จนย่างเข้าเดือนเมษายน นกนางนวลจึงเริ่มทยอยเดินทางกลับไปวางไข่ให้ทันในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเราสามารถมาดูนกนางนวลได้อีกครั้งในปีหน้า เนื่องจากมันจะจดจำจุดหมายปลายทาง และเดินทางพาลูกๆ กลับมาที่เดิมเป็นประจำทุกปี
มวลหมู่นกนางนวลโฉบบินไป-มา ท่ามกลางองค์ประกอบของท้องทะเลยามเย็นที่แสงแดดสีทองส่องเรืองรองต้องผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ
สายลมเย็นๆพัดเอื่อย ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลอยต่ำก่อนจะค่อยๆเลือนลาลับหายไปจากฟากฟ้า
"ผู้จัดการท่องเที่ยว" มองนกนางนวลโฉบบินร่อนไป-มาหลังตะวันหลับฟ้า จิตใจก็พลอยฝันไปไกลว่า ถ้าหากเราบินได้เช่นนกนางนวลก็คงจะดีไม่น้อย แต่พอคิดมาคิดไป ภาพของนกนางนวลถูกยิงสอยร่วงผล็อยหล่นจากฟากฟ้าดันปรากฏแวบสู่สมอง สุดท้ายก็กลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ขอเป็นแค่คนดูนกนางนวลโผบินก็สุขใจแล้ว
...คนเราบางครั้งหากดำรงวิถีอยู่ในโลกแห่งความจริงอย่างคนมีความฝัน ชีวิตก็คงจะมีรสชาติมากขึ้น...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ อยู่ ต.บางเมืองใหม่ อ. เมือง เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 – 18.00 น. ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็ก 50 บาท สอบถามเพิ่มเติมที่ 0-2371-3135-6
เมืองโบราณ ตั้งอยู่เลยจากสามแยกสมุทรปราการเลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุขุมวิท(ไปทางบางปู) ประมาณ กม.ที่ 33เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ราคาค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท สอบถามเพิ่มเติมที่ 0-2371-3135-6
ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ อยู่ห่างจากตัวเมืองสมุทรปราการไปประมาณ 3 กม. เปิดให้เข้าชมเวลา 07.00-18.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 50 บาท เด็ก 25 บาท ชาวต่างประเทศคนละ 200 บาท
การการแสดงจระเข้ มีให้ทุกๆ 1 ชั่วโมง เวลา 09.00-16.00 น. (พักเที่ยง 1 ชม.) ส่วนวันหยุดเพิ่มรอบ 12.00 น. และ 17.00 น. เวลาการให้อาหารจระเข้ 16.30-17.30 น. การแสดงช้างไทย มีการแสดงทุก 1 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 09.30-16.30 น. สอบถามเพิ่มเติมที่ 0-2703-4891, 0-2703-5144-8
ที่พัก ร้านอาหาร
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ยล(ประติมากรรม)ช้างเอราวัณ ใหญ่ที่สุดในโลก
ไหว้พระสมุทรเจดีย์ที่เมืองปากน้ำ...สมุทรปราการ