xs
xsm
sm
md
lg

นั่งรถจักรไอน้ำ-ล่องเจ้าพระยา เจาะเวลาหาอดีตเมืองกรุงเก่าฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รถจักรไอน้ำ ขบวนรถไฟย้อนอดีต
"รถจักรไอน้ำ" จัดเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการคมนาคมของโลก ซึ่งทำให้การเดินทางและการขนส่งสะดวกมากยิ่งขึ้น(ในยุคหนึ่ง) อีกทั้งยังมีการพัฒนารูปแบบจนมาเป็นรถไฟที่ใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงดังในปัจจุบันนี้ แต่เดิมนั้นรถจักรไอน้ำใช้กำลังของไอน้ำ ที่เกิดจากน้ำเดือดให้เปลี่ยนเป็นพลังงานกล โดยใช้กลไกขับเคลื่อนล้อรถจักร จนกระทั่งทำงานได้

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม "ผู้จัดการท่องเที่ยว"ได้มีโอกาสนั่งรถจักรไอน้ำขบวนพิเศษ ที่วิ่งย้อนรอยไปตามเส้นทาง กรุงเทพ – บางปะอิน ที่ทางการรถไฟแห่งประเทศไทยจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในหนึ่งปีจะมีวันพิเศษ 3 วัน ที่เราจะมีโอกาสได้นั่งรถจักรไอน้ำ

คือวันที่26มีนาคม ซึ่งเป็นเส้นทางเดินรถไฟสายแรกของประเทศไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่5 ถือเป็นวันสถาปนากิจการรถไฟหลวง วันที่ 23 ตุลาคมวันเสด็จสวรรคตของล้นเกล้ารัชกาลที่5 และวันที่ 5 ธันวาคมวันเฉลิมพระชนมพรรษาในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดระยะทางรวม 71 กิโลเมตร ทำให้ ต้อง จินตนาการหวนคิดถึงอดีตในสมัยนั้นว่าที่มีภาพเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าภาพในปัจจุบันเส้นทางนี้ แม้จะมีท้องทุ่งคุ้งนาให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็เหลือรำไรเต็มทีเนื่องด้วยความเจริญที่ขยับขยายเข้าสู่ชุมชนอย่างรวดเร็ว ซึ่งในอดีตพื้นที่แถบนี้คงยังมีสภาพเป็นป่ารกทึบ และบ้านเรือนก็คงไม่หนาตาดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เสียงฉึกฉักของรถไฟ ผสมผสานเข้ากับไอควันที่ส่งกลิ่นฉุนโชยมาเป็นระยะ กลิ่นนี้เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงต้มน้ำ ที่ให้เดือดแล้วกลายสภาพเป็นไอ เพื่อไปดันลูกสูบให้ขับล้อหมุนเคลื่อน เห็นแล้วก็แอบยิ้มกับตัวเอง เมื่อคิดว่าในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ทุกคนจะดีใจแค่ไหนที่มีรถไฟเกิดขึ้นในประเทศเพราะยังเป็นสิ่งแปลกใหม่

"คลองแสนแสบ"เป็นหนึ่งในจุดที่รถจักรไอน้ำวิ่งผ่าน ก็ทำให้คิดอีกนั้นแหละว่าสมัยโน้นคลองแสนแสบ คงจะสวยใสสะอาด ก็อย่างน้อยไอ้ขวัญก็ว่ายน้ำข้ามคลองมาหาอีเรียมได้ล่ะน่า แต่ถ้าเป็นยุคนี้ไอ้ขวัญคงต้องคิดหนักหน่อย หรือไม่ก็นั่งรถข้ามมาง่ายกว่ากันเยอะ

นั่งรถไฟย้อนรอยตามเส้นทาง กรุงเทพ-บางปะอิน ก็ต้องแวะเยือนแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่อยู่ในยุคเดียวกันสักหน่อย เริ่มจาก "พระราชวังบางปะอิน" ที่มีความรักความหลังแห่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 อยู่มากมาย พระราชวังบางปะอิน ตามประวัติเล่าว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา

แต่มารกร้างเอาเมื่อคราวที่เสียกรุงครั้งที่2 จวบจนย่างเข้าสู่รัชกาลที่4แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชวังบางปะอินจึงได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง ต่อมาในรัชกาลที่5 พระองค์โปรดที่จะเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอินอยู่เสมอ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ปลูกสร้างสิ่งต่าง ๆ ดังที่ปรากฏให้เราเห็นเช่นในปัจจุบันนี้

พระราชวังบางปะอินแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ เขตพระราชฐานชั้นนอก และเขตพระราชฐานชั้นใน สิ่งสำคัญในเขตพระราชฐานชั้นนอก ก็ประกอบด้วย หอเหมมณเฑียรเทวราช สภาคารราชประยูร พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ และพระที่นั่งวโรภาสพิมาน ส่วนเขตพระราชฐานชั้นในซึ่งเชื่อมต่อกับเขตพระราชฐานชั้นนอกใช้ สะพานในการเชื่อมต่อ สะพานนี้จะมีแนวฉากกั้นคล้ายบานเกล็ดกั้นกลางตลอดแนวสะพาน เพื่อแบ่งเป็นทางเดินของฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ซึ่งฝ่ายในสามารถมองลอดออกมาโดยตัวเองไม่ถูกแลเห็นจุดเชื่อมของสะพานอยู่ระหว่างพระที่นั่งวโรภาษพิมานกับประตูเทวราชครรไล

ในเขตพระราชฐานชั้นใน ประกอบไปด้วย พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร หอวิฑูรทัศนา พระที่นั่งเวหาศจำรูญ พระตำหนักฝ่ายใน และอนุสาวรีย์2แห่ง ซึ่งทำด้วยหินอ่อนเพื่อระลึกถึงการสูญเสียสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งเสด็จทิวงคตเนื่องจากอุบัติเหตุเรือพระที่นั่งล่มลง ในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ขณะที่กำลังเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังบางปะอิน

และอนุสาวรีย์ราชานุสรณ์อีกแห่งหนึ่งนั้น ก็ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน สร้างขึ้นเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องทรงสูญเสียพระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ และพระราชโอรส2พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย และสมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง ในปีเดียวกัน

มาอยุธยาคราวนี้"ผู้จัดการท่องเที่ยว"ใช่เพียงนั่งรถจักรไอน้ำเจาะเวลาหาอดีตเท่านั้น

นอกจาก จะได้สัมผัสกับบรรยากาศทางบกแล้ว ยังมีโอกาสได้ล่องเรือชมทัศนียภาพเมืองกรุงเก่าทางน้ำอีกด้วย ได้มองกรุงศรีอยุธยาในวันนี้ก็คิดว่าถ้าหากเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่2 พม่ารบเยี่ยงกษัตริย์ความงดงามของกรุงศรีอยุธยา ณ วันนี้จะเป็นอย่างไร

เรือล่องผ่านมายัง "วัดพุทไธศวรรย์" วัดนี้สร้างขึ้นบริเวณตำหนักที่ประทับเดิมของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ซึ่งเรียกว่า "ตำหนักเวียงเหล็ก"หรือ "เวียงเล็ก" หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างพระราชวังใหม่ที่ตำบลหนองโสน จึงได้ยกเป็นวัด

แม้แสงแดดจะร้อนระอุ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของ "วัดนักบุญยอแซฟ"ลดน้อยลงด้วย ศิลปะแบบโรมันในยุคศตวรรษที่12 ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยคณะธรรมทูตรุ่นแรกแห่งปารีส คือ ท่านลังแบร์ต เดอ ลาม็อต กับพระสงฆ์อีก 2 รูป

แม้จะถูกทำลายลงไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่2 แต่ก็ได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ความงามอันโดดเด่นเลื่องลือของวัดนี้อยู่ที่ความสง่าของตัวโบสถ์ ความงามของกระจกสี เหนือช่องหน้าต่าง พระแท่นหินอ่อน สีของตัวโบสถ์ที่ดูสงบเย็นตา

ยิ่งเห็น "วัดไชยวัฒนาราม" สง่างามตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ก็เป็นการย้ำเตือนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของอยุธยา เพราะวัดนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ว่าสร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือกรุงละแวกหรือพนมเปญ โดยจำลองแบบมาจากปราสาทนครวัด

การท่องเที่ยวแบบล่องเรือนี่ก็ให้ความรู้สึกแตกต่าง จากการเดินชมทางบกอยู่ไม่น้อย มุมมองที่มองแม้จะเป็นสถานที่เดียวกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่าง ใครไม่เชื่อก็ขอแนะนำว่าต้องลองไปดู แล้วจะรู้ว่าที่พูดนะไม่ได้โม้ อย่างการที่ล่องลำน้ำผ่าน "เจดีย์ศรีสุริโยทัย" ก็ทำให้ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" คิดถึงคุณครูสมัยเรียนประถม ที่สอนให้ท่องจำชื่อบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ ส่งเสียงแจ้ว ๆ เป็นนกแก้วนกขุนทอง

พระเจดีย์แห่งนี้เป็นโบราณสถานที่สำคัญยิ่ง เพราะ เป็นอนุสรณ์สถานของวีรสตรีไทย สมเด็จพระสุริโยทัย ซึ่งสิ้นพระชนม์ในการทำสงครามยุทธหัตถี ระหว่างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับพระเจ้าแปร เมื่อช้างทรงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียท่า สมเด็จพระศรีสุริโยทัยเกรงว่าพระสวามีจะทรงได้รับอันตรายจึงทรงไสช้างเข้าขวางจนถูกพระแสงของ้าว ฟันพระอังสาขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง เจดีย์ศรีสุริโยทัยแห่งนี้ก็คือสถานที่ปลงพระศพของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยนั้นเอง เห็นได้ชัดว่าจะบุรุษหรือสตรี ก็สามารถรักและเสียสละเพื่อชาติได้อย่างเท่าเทียมกัน

ลอยลำมาสิ้นสุดที่ "วัดพนัญเชิงวรวิหาร" วัดที่สร้างมาตั้งแก่ก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยา และไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างแต่ก็มีตำนานเรื่อง "เจ้าชายสายน้ำผึ้ง"กับพระราชธิดาพระเจ้ากรุงจีน นามว่า "เจ้าหญิงสร้อยดอกหมาก"ที่น้อยพระทัยพระสวามีเลยประชดด้วยการเจาะเรือให้รั่วเพื่อฆ่าตัวตาย วัดนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ชาวจีนนับถือมาก เรียกว่า ซำปอกง คนไทยเรียกทั่วไปว่า หลวงพ่อโต หรือ หลวงพ่อพนัญเชิง อีกด้วย

ขากลับ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" ก็กลับด้วยขบวนรถจักรไอน้ำเช่นเคย ยามเย็นที่สถานีบางปะอินสวยจริง ๆ พระเอกอย่างรถจักรไอน้ำ ก็มีแต่คนแย่งกันถ่ายรูปเนื้อหอมทีเดียว หันไปเห็นคุณยายท่านหนึ่งเดินไปใกล้ๆ รถจักรไอน้ำแล้วบรรจงลูบไล้อย่างแผ่วเบา แกจับต้องหัวรถไฟราวกับมันมีชีวิต ก่อนจะพูดว่า
 
"ลาก่อนนะแล้วพบกับใหม่"
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ขอบคุณรายการบ้านเลขที่ 5
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์การท่องเที่ยวอยุธยา โทร. 0-3532-2730 ถึง 1 หรือ สำนักงาน ททท. ภาคกลางเขต 6 (อยุธยา) โทร. 0-3524-6076 ถึง 7

 
ท่องแดนดินแห่งความงามที่ “พระราชวังบางปะอิน” 
กำลังโหลดความคิดเห็น