อำเภอน้ำหนาว ในจังหวัดเพชรบูรณ์นั้น เป็นอำเภอที่มีอุทยานล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติภูหลวง อุทยานแห่งชาติภูเรือ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน และอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว พื้นที่ป่ามากมายนี้ทำให้อำเภอน้ำหนาวมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี รวมทั้งยังมีสภาพภูมิทัศน์ที่สวยงามมากอีกด้วย
และด้วยอากาศที่เหมาะแก่การปลูกพืชผักเมืองหนาว หรือแม้แต่พืชจากเมืองร้อนก็ยังสามารถปลูกได้ดีในพื้นที่นี้ ทำให้อำเภอน้ำหนาวนี้เกิดแหล่งท่องเที่ยวที่เรียกว่าเป็น "การท่องเที่ยวเชิงเกษตร" ขึ้น
ธวัฒชัย ทัตทวี หรือต้อย เจ้าของ "สวนเนินไผ่" แหล่งผลิตผักเมืองหนาวปลอดสารพิษ ที่เรียนจบมาทางด้านนิติศาสตร์ แต่ด้วยความชอบส่วนตัว จึงได้เบนเข็มมาทำสวนผักอยู่ที่อำเภอน้ำหนาวเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว เล่าถึงผลผลิตในสวนเนินไผ่ให้ฟังว่า
"ตอนนี้เราปลูกผักคะน้าฮ่องกง กับขึ้นฉ่าย หลังจากนั้นถึงจะปลูกตังโอ๋ ผักที่เราปลูกเป็นผักไฮโดรโพนิคส์ โดยปลูกบนโต๊ะยาวประมาณ 14-15 เมตร มีระบบไหลเวียนน้ำ แล้วก็เป็นผักกางมุ้งเพื่อไม่ให้มีแมลงมารบกวน รวมทั้งหมดแล้วก็ประมาณ 120 โต๊ะด้วยกัน"
ผักไฮโดรโพนิคส์ที่คุณต้อยพูดถึงนั้น ก็คือผักที่ปลูกโดยไม่ใช้ดิน แต่จะปลูกพืชลงบนสารละลายธาตุอาหาร โดยให้รากพืชสัมผัสกับสารอาหารโดยตรง ซึ่งวิธีการปลูกผักเช่นนี้จะมีข้อดีกว่าการปลูกในดินตรงที่ ในดินนั้นจะไม่มีความอุดมสมบูรณ์ตามแบบที่พืชต้องการ เพราะดินจะแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ แต่การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินนั้น พืชจะได้รับสารละลายที่มีธาตุอาซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทันที
สำหรับการปลูกผักทั้งคะน้าฮ่องกง และขึ้นฉ่ายนั้น จะเริ่มจากการเพาะเมล็ดในฟองน้ำเสียก่อน เมื่อเมล็ดเติบโตเป็นต้นอ่อนแล้วจึงย้ายขึ้นโต๊ะปลูก สำหรับผักคะน้าใช้เวลาเพาะ 7-10 วันก็ย้ายขึ้นโต๊ะปลูกได้ และอีกประมาณ 3 วันแล้วก็ตัดขายได้ แต่ขึ้นฉ่ายงอกช้ากว่าหน่อย รวมเวลาเพาะกล้าจนถึงตัดขายก็อยู่ที่ประมาณ 40-45 วัน
"ข้อดีของผักไฮโดรโพนิคส์คือสะอาด ไม่ต้องใช้สารฆ่าแมลงเพราะมีมุ้งกางอยู่แล้ว แล้วรสชาติก็จะหวานอร่อยกรอบกว่าผักที่ปลูกในดิน เพราะได้รับสารอาหารเต็มที่ ถ้าปลูกในดินอาจจะโตไม่เท่ากัน" ต้อยบอก ซึ่งผักคะน้า ขึ้นฉ่ายและผักอื่นๆ ในสวนเนินไผ่นั้น ได้ออกวางจำหน่ายในแบรนด์ "ผักดอกเตอร์" และส่งขายตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ โดยในแต่ละวัน ผักคะน้ากว่า 60 กิโลกรัม และขึ้นฉ่ายกว่า 100-150 กิโลกรัม จะถูกส่งตรงไปยังผู้บริโภคแบบสดๆ ใหม่ๆ
นอกจากนั้น ที่สวนเนินไผ่นี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงสวนผักอย่างเดียวเท่านั้น แต่ที่นี่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่คุณต้อยบอกว่าถือเป็นแหล่งเรียนรู้ด้วย หากใครที่ต้องการความรู้ในเรื่องของการปลูกผักไฮโดรโพนิคส์ก็สามารถมาขอความรู้ได้ตลอดเวลาแบบไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้สอนไปหลายคนแล้ว โดยต้อยแนะนำว่าน่าจะมีเวลาอย่างน้อยๆ ประมาณสองเดือน เพื่อจะได้เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มแรก ทั้งการเพาะเมล็ด เรื่องระบบ การดูแลต่างๆ ถ้ามาอยู่นานก็ยิ่งได้ความรู้เยอะ
"การปลูกผักมันดูแค่แป๊บเดียวไม่ได้ ต้องอยู่ดูนานๆ คนที่มาบางคนก็มาอยู่สองเดือน หรือคนที่ไม่มีเวลาจริงๆ ก็จะมาเสาร์อาทิตย์ ขยันขับรถมาจากกรุงเทพเลย เพราะเราก็พอมีที่พักให้โดยไม่คิดเงิน เพียงแต่ว่าก็ให้เขาดูแลตัวเอง ถ้าเราสอนแล้วเขาได้เอาไว้เป็นอาชีพ เราก็ได้บุญ ตอนนี้ก็มีคนที่มาเรียนแล้วก็ไปทำสวนผักอยู่ที่ปราจีนก็มี ที่หล่มสักก็มี รุ่นแรกๆ ที่สอนไปตอนนี้ก็บอกว่าผักไม่พอขาย"
นอกจากสวนผักแล้ว ในอำเภอน้ำหนาวก็ยังมีสวนดอกไม้ อย่างเช่น "สวนภูพนา" ของพนา สวัสดิบุตร ซึ่งเป็นแหล่งผลิตดอกหน้าวัวทั้งพันธุ์ไทยโบราณ พันธุ์ต่างประเทศ และพันธุ์ลูกผสมระหว่างพันธุ์ไทยกับพันธุ์ต่างประเทศ รวมทั้งไม้ประดับอื่นๆ อีกด้วย
ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับดอกหน้าวัวมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทำให้พนาคุ้นเคยกับการขยายพันธุ์ ตลอดจนการดูแลดอกหน้าวัว จนกลายมาเป็นอาชีพในวันนี้
"มาทำสวนดอกหน้าวัวที่อำเภอน้ำหนาวได้ประมาณสิบปีแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นก็เคยปลูกอยู่ที่กรุงเทพตั้งแต่เด็กๆ เป็นงานอดิเรก ดอกหน้าวัวนั้นเป็นดอกไม้จากถิ่นอเมริกาใต้ที่รัชกาลที่ 5 นำเข้ามาเมื่อเสด็จประพาสยุโรป เมื่อก่อนนี้ส่วนมากจะเล่นกันในหมู่ข้าราชบริพารและคหบดี สมัยก่อนแพง ต้นหนึ่งแพงมาก แต่ที่บ้านนั้นเมื่อก่อนคุณปู่ (ขุนประดิษฐ์อักษร) เคยปลูก แล้วก็มารุ่นอา ก็เลยมีพันธุ์ไทยเก่าๆ ดั้งเดิมตกทอดมาเยอะ" พนา เล่า
สำหรับที่สวนภูพนานี้มีดอกหน้าวัวหลายพันธุ์ด้วยกัน เช่นพันธุ์พลายชุมพล มีดอกสีแดงสด ดอกกลม ปลูกง่ายและทนทานต่อโรค ส่วนพันธุ์เก่าแก่ ก็เช่น พันธุ์โพธิ์ทอง ผกาทอง ผกามาศ บุษบา นอกจากนั้นก็ยังมีการเอาพันธุ์เก่าๆ มาผสมกับพันธุ์นอก ให้ได้ต้นที่แข็งแรงแล้วก็ให้ดอกดก เช่น พันธุ์ทองคำ เป็นต้น
แม้ดอกหน้าวัวจะเป็นดอกไม้ของเมืองร้อน แต่เมื่อมาทำสวนดอกหน้าวัวในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวตลอดปีอย่างอำเภอน้ำหนาวนี้ก็กลับเป็นผลดี เพราะพนาบอกว่า หากปลูกอยู่ในพื้นราบดอกหน้าวัวจะเกิดเกสรแค่ช่วงฤดูหนาว แต่เมื่อมาปลูกบนอำเภอน้ำหนาวก็ทำให้มีเกสรตัวผู้ตัวเมียตลอดทั้งปี สามารถปรับปรุงพันธุ์ได้ตลอด โดยตอนนี้ส่วนใหญ่ที่สวนจะเน้นเรื่องปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ทนโรคแล้วก็ดอกดก
แน่นอนว่า ที่สวนภูพนาได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรด้วยเช่นกัน โดยมีแนวความคิดเดียวกับสวนเนินไผ่ คือเปิดให้คนที่ต้องการจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับการปลูกดอกหน้าวัวได้เข้ามาชมและมาหาความรู้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งยังรับนักศึกษาที่ต้องการฝึกงานเกี่ยวกับการเกษตรด้วย และหากนักท่องเที่ยวต้องการจะมาชมดอกหน้าวัวก็สามารถมาได้ตลอดทั้งปี ถ้ามาในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ว่านสี่ทิศก็กำลังออกดอกสวย หรือในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. ก็จะมีลิ้นจี่ออกผล อากาศที่นี่ก็ดีตลอดทั้งปีอีกด้วย
นอกจากทั้งสองสวนนี้แล้ว ในอำเภอน้ำหนาวก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกมาก เช่น สวนน้ำหนาวฟลาวเวอร์ ซึ่งเป็นสวนเกษตรที่มีการสาธิตการผลิตไม้ดอก ไม้ประดับไทย โดยเฉพาะดอกกุหลาบหิน และดอกเบญจมาศสายพันธุ์ต่างๆ มากมาย หรือที่สวนจันทร์เพ็ญ ซึ่งจะมีจุดสาธิตการผลิตไม้ผล เช่นลิ้นจี่ หมากเม่า หรือจะเป็นสวนเกษตรผสมผสานของสำนักงานเกษตรอำเภอน้ำหนาว ที่มีการจัดระบบการปรับปรุงดินและน้ำในเชิงอนุรักษ์ และมีการปลูกพืชอย่างเป็นระบบ เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย เป็นต้น ใครที่สนใจในเรื่องของการเกษตร หรือต้องการท่องเที่ยวในสวนเกษตรละก็ อำเภอน้ำหนาวเป็นจุดหมายที่น่าจะตรงกับความต้องการมากที่สุด
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สวนเนินไผ่ โทร. 0-1929-2192, 0-5004-3535 และ สวนภูพนา โทร. 0-5677-9129, 0-6027-3121 หรือททท.ภาคกลางเขต 3 โทร.0-5525-2743