xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยว“เขาคิชฌกูฏ”ไหว้รอยพระบาทสูงสุดแห่งสยาม ชมน้ำตกงามกลางธรรมชาติพิสุทธิ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในขณะที่เมืองหลวงและหลายๆเมืองทั่วไทยคึกคักไปด้วยพลังบริสุทธิ์ของมวลชนที่ออกมาขับไล่นายกฯหน้าเหลี่ยม ที่ยอดเขาพระบาทแห่งอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ก็คึกคักไปด้วยพลังแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่ดั้นด้นเดินทางขึ้นไปสักการะรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ

เพราะช่วงนี้เขาคิชฌกูฏได้มีการจัดงานนมัสการรอยพระพุทธบาทขึ้นบนยอดเขาพระบาท ที่ในทุกๆปีจะมีการจัดงานกันเป็นระยะเวลา 2 เดือน ในช่วง ขึ้น 1 ค่ำเดือน 3 ถึง แรม 15 ค่ำ เดือน 4 โดยปีนี้ตรงกับวันที่ 29 มกราคม ถึงวันที่ 29 มีนาคม 49

รอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ ถูกค้นพบในราว พ.ศ.2397 หรือประมาณ 152 ปีมาแล้ว ต่อมาในปี พ.ศ.2515 พระพ่อเขียน หรือพระครูธรรมสรคุณ เจ้าอาวาสวัดกระทิง เจ้าคณะอำเภอมะขาม และกิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ ได้บุกเบิกทางขึ้น และนำรถยนต์ขึ้นเขาเป็นครั้งแรก และค่อยๆ พัฒนาเส้นทางขึ้นยอดเขาให้ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้น มาจนถึงปัจจุบัน

รอยพระพุทธบาทแห่งนี้มีความพิเศษตรงที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,050 เมตร นับเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งปรากฏอยู่บนก้อนหินใหญ่ โดยใกล้กันนั้นมีหินลูกพระบาทหรือหินลูกบาตร ที่เป็นหินก้อนใหญ่มากตั้งตระหง่านอยู่ลักษณะเหมือนหินเรือใบที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา

นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงกับรอยพระพุทธบาทยังมีประติมากรรมหินรูปร่างแปลกตาที่สอดคล้องกับตำนานทางพุทธศาสนา อาทิ หินพระนอน ลานแข่งรถพระอินทร์ ถ้ำฤาษี หินรูปร่างคล้ายเต่าและช้างใหญ่ รวมถึงรอยเท้าพญามารปรากฏให้เห็นด้วย

ส่วนบนยอดเขาพระบาทนั้นถือเป็นจุดชมวิวชั้นดีที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ในหลายมุม ซึ่งชาวบ้านเล่าต่อๆกันมาว่า ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองจันทบุรี พวกทหารได้ใช้ยอดเขาแห่งนี้เป็นที่ส่องกล้องดูข้าศึกที่เข้ามาทางอ่าวไทย

พูดถึงอุทยานฯเขาคิชฌกูฏ นอกจากจะมีรอยพระพุทธบาทอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว “ผู้จัดการท่องเที่ยว”ถือว่านี่เป็นอีกหนึ่งอุทยานแห่งชาติที่น่าเที่ยวชมไม่น้อย เพราะอุทยานฯเขาคิชฌกูฏโดดเด่นไปด้วยธรรมชาติอันพิสุทธิ์ที่สงบงาม มีน้ำตกใหญ่ให้ความชุ่มฉ่ำ แถมในพื้นที่อุทยานฯก็มีการจัดวางผังอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูสะอาดตาน่าพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง

ว่าแล้วก็อย่ารอช้าไปเที่ยวชมธรรมชาติอันสงบงามที่อุทยานแห่งนี้กันดีกว่า

จุดแรกที่ถือเป็นไฮไลท์ของเขาคิชฌกูฏที่ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือ“น้ำตกกระทิง” น้ำตกใหญ่ที่ในช่วงหน้าน้ำชาวบ้านแถวนั้นบอกว่ามีน้ำไหลแรงเหมืองดังกระทิงกระโจน

น้ำตกกระทิงมีต้นกำเนิดจากยอดเขาคิชฌกูฏ อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 500 เมตร ประกอบไปด้วยลำธารไหลลดหลั่นกันมาทั้งหมด 13 ชั้น โดยน้ำตกชั้นที่คนนิยมไปเที่ยวมากที่สุดก็เห็นจะเป็นชั้นที่ 3 เพราะว่าเป็นชั้นที่มีความชุ่มฉ่ำน่าชมไม่น้อย แถมยังเดินไปง่าย เพราะพอเดินไปสุดทางปูนบริเวณศาลเจ้าพ่อนารายณ์(ควรแวะสักการบูชาเพื่อสิริมงคล) จะมีทางแยกไปน้ำตกชั้นที่ 3 ที่ทางอุทยานฯได้ทำสะพานแขวนเล็กๆให้นักท่องเที่ยวเดินถ่ายรูปเล่นบริเวณนั้น

ส่วนใครที่อยากนั่งแช่น้ำเติมความเปียกปอนให้กับร่างกายก็สามารถทำได้ตามสะดวก เพราะน้ำตกชั้นที่ 3 มีแอ่งน้ำเย็นๆให้ลงนั่งแช่ได้อย่างสบายอารมณ์ แต่ถ้าใครอยากชมน้ำตกชั้น 1 ชั้น 2 ที่เป็นน้ำตกเล็กๆก็ให้เดินตามน้ำย้อนลงไป

ไหนๆเมื่อ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” มาเยือนน้ำตกกระทิงแล้ว การจะไม่เดินขึ้นไปเที่ยวชมชั้นไฮไลท์ที่สวยงามที่สุดอย่างชั้น ที่ 8 มันก็กระไรอยู่ เดี๋ยวเพื่อนๆที่เมืองกรุงจะหาว่าเรามาไม่ถึงน้ำตกกระทิง

จากชั้น 4 เดินต่อไปตามทางที่อุทยานฯจัด(สร้าง)ให้ แต่ว่าทางในช่วงนี้ต้องออกแรงกันหน่อยเพราะค่อนข้างชัน สำหรับน้ำตกชั้น 4,5,6 เป็นน้ำตกย่อมที่บางช่วงเป็นแอ่งสามารถลงเล่นน้ำได้

ส่วนชั้นที่ 7 สมัยก่อนเรียกวังมัจฉา เพราะเคยมีปลาพลวงอยู่มาก แต่เดี๋ยวนี้ปลาพลวงหายไปเยอะทีเดียว

สำหรับทางเดินเลาะน้ำตกตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไปจะเป็นป่าไผ่ที่ลำต้นของมันช่วยให้เรายึดเหนี่ยวโน้มตัวในการเดินได้เป็นอย่างดี และเพียงอีกชั่วไม่กี่อึดใจเราก็มาถึงชั้นน้ำตกกระทิงชั้น ที่ 8 ที่เป็นชั้นที่สวยที่สุด เพราะมีลักษณะเป็นน้ำตกใหญ่ไหลซู่ลงสู่แอ่งน้ำ ซึ่งพอพ้นจากแอ่งน้ำมาก็จะเต็มไปด้วยโขดหินในนักท่องเที่ยวไปเลือกหามุมนั่งชมน้ำตกได้อย่างสบายใจ แต่น่าเสียดายว่าช่วงที่เราไปมีน้ำน้อยไปหน่อย ปริมาณน้ำที่ไหลลงมาจึงไม่แผ่สยายเต็มโขดหินก้อนโตที่อยู่ช่วงล่างสุด

นอกจากนี้ที่น้ำตกชั้น 8 เมื่อ หันหลังกลับไปก็จะพบกับจุดชมวิวที่เมื่อ มองลงไปเห็นป่าเขาและทิวทัศน์เบื้องล่าง ส่วนเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปก็จะเห็นน้ำตกชั้นที่ 9 ไหลเป็นสายขาวลงมา ว่าแล้วเราก็ขอไปต่ออีกหน่อยยังน้ำตกชั้นที่ 9

น้ำตกชั้นที่ 9 นับเป็นอีกหนึ่งชั้นที่สวยงามไม่น้อย เพราะเป็นน้ำตกสูงใหญ่ดูสวยงาม สูงประมาณ 20 เมตรเห็นจะได้ แถมสายน้ำที่ถั่งโถมลงมาก็มากมาย ส่วนจนเป็นสายขาวฟ่องฟูตกลงมาสู่แอ่งเบื้องล่าง ที่ช่วงต้นของแอ่งน่าลงเล่นน้ำยิ่งนักเพราะน้ำใสแจ๋วแถมค่อนยังตื้นและพื้นเป็นทรายอีกต่างหาก

สำหรับการเที่ยวน้ำตกกระทิงของ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” คงต้องสิ้นสุดเพียงเท่านี้ เพราะทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯแนะนำมาว่า ตั้งแต่ชั้นที่ 10 ถึง 13 ต้องเดินเข้าไปในป่าลึกและไม่สวยงามเท่าชั้น 8 ชั้น 9 แต่ว่าการเที่ยวในอุทยานฯเขาคิชฌกูฏยังไม่หมดเท่านี้ เพราะเราใช้เวลาที่เหลือไปเดินเที่ยวในเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกกระทิง 2 ซึ่งหากว่าไปเดินเที่ยวเองคนเดียว หรือไปเดินกลับกลุ่มเพื่อนๆในทางเส้นนี้ก็ดูงั้นๆ เพราะระยะทางราว 1 กิโลเมตรเดินจีบกันแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว

แต่ที่เราไปเดินศึกษาธรรมชาตินี่ถือว่าไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะเราได้ “พี่อ็อด : ทนงศักดิ์ แป้นอ้อย” เจ้าหน้าที่สื่อความหมายกูรูป่าเขาคิชฌกูฏมาเป็นคนนำเที่ยว ทำให้บรรดาต้นไม้และพืชพันธุ์ที่ดูไม่มีอะไร กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมาทันตาเห็น

ในเส้นทางสายนี้เราได้รู้จักเรื่องราวของกฤษณาหรือไม้หอมที่ถือเป็นนางเอกของป่าแห่งนี้ มีลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อนสีขาวนวล มีแก่นที่นำไปเผาแล้วจะเกิดกลิ่นหอมทำให้ถูกลักลอบตัดไปขายเพื่อทำน้ำหอมกันเป็นจำนวนมาก

รู้จักกับต้นสำรองหรือพุงทะลาย ที่ทางอุทยานฯยกให้เป็นพระเอกนักบิน เป็นไม้ยืนต้นมีลูกกลมมีปีกบางๆ(คล้ายลูกยาง)หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “สำเภา” ลูกสำรองเมื่อนำไปแช่น้ำจะพองตัวฟูนุ่มดื่มแก้ร้อนในดีนักแล นอกจากนี้ยังมีคนนำลูกสำรองไปฟอกสีทำเป็นรังนกเทียมอีกด้วย

และที่ถือเป็นการแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาสในเส้นทางศึกษาธรรมชาติสายนี้ก็คือ หาดกระทิง ที่เกิดจากการพังทลายของดินบนภูเขาครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2542 โดยทางอุทยานฯได้ทำการปรับปรุงพื้นที่ตรงนั้นเป็นหาดทรายน้ำจืดให้นักท่องเที่ยวไปนั่งพักผ่อน เล่นน้ำ เล่นวอลเลย์บอล เตะตระกร้อกันตามใจชอบ

นั่นเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้นเพราะจริงๆแล้วในเส้นทางศึกษาธรรมชาติสายนี้ ที่แม้จะมีระยะทางแค่ 1 กิโลเมตร แต่หากใครได้ไปเดินกับพี่อ็อดก็จะได้รับความสนุกควบคู่ไปกับความรู้อย่างเพลิดเพลินจนไม่รู้ตัวว่าเดินมาสิ้นสุดเส้นทางเมื่อไหร่

สำหรับจุดสิ้นสุดเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกกระทิง 2 ไปสิ้นสุดที่สระน้ำธรรมชาติขนาดย่อมที่น้ำนิ่งใส จนทำให้หลายๆคนอดใจไม่ไหวลงไปพายเรือแคนูหรือพายเรือถีบที่ทางอุทยานฯมีไว้บริการอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีสะพานไม้เก๋ๆทอดยาวข้ามผ่านทำให้หลายๆคนอดใจไม่ไหวอีกเช่นกันต้องมายืนโพสต์ท่าถ่ายรูปบนสะพานแห่งนี้โดยใช้สระน้ำและผืนป่าเป็นองค์ประกอบ

เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของอุทยานฯแห่งนี้ก็คือความเป็นระเบียบของการจัดพื้นที่และความสะอาด รวมถึง
ที่พักที่สะดวกสบายน่าพักยิ่งนัก ซึ่งถึงแม้ว่าอุทยานฯเขาคิชฌกูฏจะเป็นอุทยานฯเล็กๆที่โด่งดังสู้อุทยานฯใหญ่ๆไม่ได้ แต่ว่าในเรื่องของความสงบ ความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่เป็นรองอุทยานฯไหนๆเลย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ อยู่ในเขตอำเภอมะขาม และ กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ ที่นอกจากจะมีน้ำตกกระทิงเป็นไฮไลท์แล้ว อุทยานฯนี้ยังมีน้ำตกคลองช้างเซ เป็นน้ำตก 3 ชั้นไหลแรงจากหน้าผาสูงชันระหว่างทางขึ้นเขาพระบาท ที่อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 12 กม. โดยสามารถไปทางรถยนต์ 10 กม. และเดินเท้าในป่าต่ออีก 2 กม.

นอกจากนี้ยังมีน้ำตกคลองไพบูลย์ที่เป็นลำธารกว้างเหมาะแก่การเล่นน้ำ อยู่ห่างจากอุทยานฯ 8 กม. มีรถยนต์เข้าถึง

สำหรับการเดินทางไปสู่อุทยานฯเขาคิชฌกูฏ จากกรุงเทพฯไปตามทางหลวงสายบางนา-ตราด ถึงหลักกม.ที่ 324 (สี่แยกเขาไร่ยา ก่อนถึงตัวเมืองจันทบุรี 6 กม.) จากนั้นให้แยกซ้ายไปทางกิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏอีก 22 กม. ก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯและน้ำตกกระทิง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ 0-3945-2074

กำลังโหลดความคิดเห็น