ขนมหมากฝรั่งมวนบุหรี่ตราแมวสีดำ ลูกอมรสโคล่า หรือขนมโก๋แถมแหวน สิ่งเหล่านี้เป็นอดีตแห่งวัยเยา ที่หลายๆคนยังจำได้ดี
แต่เด็กสมัยนี้คงแทบไม่รู้จักไม่เคยเห็นขนมเหล่านี้กันเลย เพราะหาแทบไม่ได้แล้วตามร้านโชว์ห่วยในปัจจุบัน ยิ่งตามห้างสรรพสินค้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง
วันและคืนที่ล่วงเลยผ่านไปได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น จากร้านขายโชว์ห่วยเล็กๆรวมถึงตลาดที่เป็นศูนย์รวมของร้านรวงต่างๆที่ทำมาค้าขายด้วยน้ำใจและจิตวิญญาณ ถูกแทนที่ด้วยร้านสะดวกซื้อ มินิมาร์ท ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือกลายเป็นห้างสรรพสินค้า ที่ตั้งขึ้นเพื่อขาย ขาย ขาย และก็ขายเพียงอย่างเดียว
กระนั้นในซอกหลืบการค้าแห่งโลกทุนนิยมที่ถือคติการทำกำไรสูงสุด ก็ยังมีแง่งามแห่งวิถีอดีตสอดแทรกตัวอยู่(บ้าง) เป็นวิถีแห่งตลาดเก่าแก่ที่หลายๆคนมักเรียกขานว่า"ตลาดโบราณ" ที่หากใครได้ไปสัมผัส บางทีอาจจะมีคำถามตามมาว่า "ทำไมเราถึงไม่เกิดในยุคนั้น???"
"ตลาดคลองสวน 100 ปี" ตลาดไม้ควบ 2 จังหวัด
ตลาดคลองสวน มีลักษณะเป็นห้องแถวเรือนไม้ 2 ชั้น อายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ที่ปกคลุมด้วยหลังคาสังกะสี มีระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร ตั้งขนานไปตามริมคลองที่ตลบอบอวลด้วยกลิ่นอายของบรรยากาศเก่าๆ แห่งการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ณ ริมคลองประเวศน์บุรีรมย์ ที่ครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัดคือ จังหวัดฉะเชิงเทรา(อ.บ้านโพธิ์ ต.เทพราช) และ จังหวัดสมุทรปราการ (อ.บางบ่อ ต.คลองสวน)
เดิมนั้นชาวบ้านในบริเวณนี้ต่างใช้ชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำ โดยการเดินทางจากฉะเชิงเทราเข้ากรุงเทพฯต้องใช้เรือเมล์ขาวของนายเลิศที่มีเพียงลำเดียวรับคนจากประตูน้ำท่าถั่ว(ฉะเชิงเทรา) ผ่านตลาดคลองสวน ก่อนจะแล่นเข้าสู่กรุงเทพฯ(วังสระปทุม)
ตลาดคลองสวนจึงเป็นจุดแวะพักและเป็นศูนย์รวมของชุมชน ดังจะเห็นได้จากสิ่งปลูกสร้างต่างๆ อาทิ โรงเจ วัดสุเหร่า และร้านรวงต่างๆ โดยมีร้านกาแฟเป็นศูนย์รวมของการพบปะและแลกเปลี่ยนข่าวสาร
หลี แซ่แต้ อายุ 83 ปี หรือแป๊ะหลี เจ้าของร้าน "กาแฟแป๊ะหลี" ในตลาดคลองสวนที่ขายกาแฟมานานถึง 67 ปี เล่าว่า อยู่ที่ตลาดแห่งนี้มาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน แต่ก่อนเคยขายน้ำแข็งใสใส่น้ำหวาน พอมาช่วงวัยรุ่นก็เปลี่ยนมาขายกาแฟ
"สมัยนั้นยังไม่มีรถยนต์ใช้จึงต้องนั่งเรือเมล์ขาวของนายเลิศใช้เวลาเดินทางเกือบทั้งวันเพื่อไปซื้อเม็ดกาแฟดิบที่กรุงเทพฯมาคั่ว ตอนนั้นยังคั่วกาแฟไม่เป็น เลยคั่วออกมาคั่วดิบบ้างสุกเกินไปบ้าง แต่ก็ต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ลุงขายกาแฟมาตั้งแต่แก้วละ 3 สตางค์ ช่วงนั้นถือว่าแพงเหมือนกัน เพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และก็ขายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันแก้วละ 10 บาท"
แป๊ะหลีรำลึกอดีต ก่อนจะเล่าถึงวิธีการชงกาแฟในสมัยก่อนว่า จะใช้มือบดเม็ดกาแฟเพราะยังไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นใช้มอเตอร์บด แต่ร้านของลุงยังคงใช้วิธีชงกาแฟแบบโบราณที่ใช้ถุงผ้าชงอยู่
"สภากาแฟตอนเช้าๆมีตั้งแต่สมัยก่อนมาจนถึงปัจจุบัน แม้เวลาจะทำให้จำนวนคนที่มาพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลข่าวสารลดน้อยลงตามวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปก็ตาม แต่ก็ยังมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่เป็นคนเก่าคนแก่ในละแวกนั้นแวะเวียนมาเป็นลูกค้าประจำตอนเช้าๆ ชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ต้องสั่งเลยแค่เห็นหน้าก็รู้ว่าจะสั่งอะไรแล้ว"แป๊ะหลีเล่าอย่างอารมณ์ดี
นอกจากนี้แป๊ะหลียังเล่าถึงตลาดคลองสวนว่า ปัจจุบันตลาดแห่งนี้มีอายุ 106 ปี ตัวตลาดเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นบนไว้อยู่อาศัย ชั้นล่างเอาไว้ค้าขาย คนที่นี่เป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ยึดอาชีพค้าขายตามแต่จะถนัด แต่ก่อนตลาดแห่งนี้เคยคึกคัก ผู้คนที่มาซื้อหาของต้องสัญจรด้วยเรือพายหรือเรือแจว และคนจะยิ่งเยอะหากวันไหนในตลาดมีลิเก มีการละเล่นต่างๆ หรือมีหนังมาฉายให้ดู แต่เดี๋ยวนี้คนไปมาตลาดแห่งนี้น้อย อาจเพราะการเดินตลาดเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกสบายอีกแล้วก็เป็นได้
ขึ้น-แรม 2, 7, 12 ค่ำ คึกคักกับตลาดน้ำท่าคา
ตลาดน้ำท่าคา หมู่ที่ 2 ต.ท่าคา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นตลาดน้ำที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างแท้จริง จนหลายๆคนยกให้เป็นตลาดน้ำของแท้ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ตลาดแห่งนี้มีวิธีการนัดขายของที่ไม่เหมือนใคร เพราะเหล่าพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านจะพากันมาซื้อขายตามนัด เฉพาะในวันขึ้นและแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำของทุกเดือน ตั้งแต่เวลา 08.00 -12.00 น.
"ที่เป็นเช่นนั้นก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านตำบลท่าคาปฏิบัติสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว สมัยก่อนชาวบ้านไม่นิยมนับวันเป็นวันจันทร์-อาทิตย์ แต่จะนับกันเป็นข้างขึ้นข้างแรม จึงเป็นที่มาของตลาดนัดตลาดน้ำท่าคา"
ป้าลัดดา บริบูรณ์ วัย 52 ปีชาวบ้านที่ยึดอาชีพค้าขาย และเรือพาเที่ยวของตำบลท่าคา ท้าวความถึงที่มาของตลาดท่าคา ก่อนจะเล่าต่อว่า สมัยก่อนคนทะเลเอาของทะเลพวกกุ้ง หอย ปู ปลา มาแลกเปลี่ยนกับพวกผัก ผลไม้ จากสวนของชาวบ้านในตำบล จนกลายเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าบริโภคซึ่งกันและกันของชาวบ้านท่าคา บ้านไหนมีมะพร้าว บ้านไหนมีส้มโอ มีข้าวสาร หรือมีหอยมีปลา ก็สามารถแลกเปลี่ยนกันได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินตราใดๆ
เช่นเดียวกับ อุไร สีเหลือง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลท่าคา เล่าว่า สมัยก่อนมีเรือมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเป็นจำนวนมาก ทั้งจากคนในละแวก และจากจังหวัดต่างๆใกล้เคียง เช่น สมุทรสาคร สุพรรณฯ ราชบุรี ทำให้การจราจรทางเรือเนืองแน่นถึงขนาดติดขัด
แต่เมื่อประมาณปี 2525 เริ่มมีถนนตัดผ่าน ทำให้วิถีชีวิตเหล่านั้นเปลี่ยนไปบ้าง ตลาดน้ำท่าคาที่เคยคึกคักมานานกว่า 100 ปี ตลาดน้ำที่เป็นเสมือนสายธารแห่งชีวิต บัดนี้ลดจำนวนลงมาก ผู้คนหันไปค้าขายที่ตลาดทางบก หลงเหลืออยู่แต่เพียงคนที่เคยดำรงชีวิตและผูกพันกับสายน้ำแห่งนี้อย่างแท้จริงเท่านั้น
ผู้ใหญ่กล่าวอีกว่า ตอนนี้คิดว่าจะไม่ยุบตลาดท่าคาในรูปแบบเดิม แต่จะจัดนัดเพิ่มในวันเสาร์-อาทิตย์เพื่อเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมวิถีชีวิตไทยแบบดั้งเดิม ส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้ และยังส่งเสริมในด้านการท่องเที่ยวให้ชาวไทยและต่างชาติได้ตระหนักและรับรู้ถึงความเป็นไทยที่ทั่วโลกไม่มี
"ที่นี่ยังมีบริการบ้านพักแบบ Home Stay ที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสบรรยากาศและการดำรงชีวิตจริงๆของชาวบ้านท่าคาได้อย่างเต็มรูปแบบ และยังมีบริการเรือพายพานักท่องเที่ยวล่องน้ำชมวิถีชีวิต เที่ยวสวนผลไม้ ดูการทำน้ำตาลมะพร้าว ยลโฉมเสน่ห์บ้านทรงไทย ตลอดสองฝั่งทาง" ผู้ใหญ่อุไรเล่า
ถึงแม้วันนี้ ความคึกคักของตลาดท่าคาจะลดน้อยลงมาก เหลือแต่เพียงผู้เฒ่าผู้แก่เท่านั้นที่ยังคงดำรงชีวิตในรูปแบบเดิมที่ยึดถือและปฏิบัติกันมากว่า 100 ปี แต่ทางหมู่บ้านและทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ก็ได้สนับสนุนและส่งเสริมให้ชาวบ้านรักษาวิถีชีวิตรูปแบบเดิมๆไว้ และพัฒนาตลาดน้ำท่าคามาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อสงเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้และชูความเป็นไทยในสายตานักท่องเที่ยวอีกด้วย จะเห็นได้จากหากวันนัดวันใดตรงกับวันเสาร์หรือ อาทิตย์ จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาแวะเยี่ยมชมพอสมควร
ตลาดวิเศษชัยชาญ สืบสานวิถีคนอ่างทอง
ตลาดวิเศษชัยชาญ อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง นับเป็นหนึ่งในตลาดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ที่ถึงแม้ว่าบางส่วนของตนลาดแห่งนี้จะถูกไฟไหม้ไปเมื่อปลายปี 2548 แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มนต์เสน่ห์แห่งวิถีไทยในตลาดวิเศษชัยชาญลดลงแต่อย่างใด
วิบูลย์ สงวนพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เล่าว่า ตลาดวิเศษชัยชาญเกิดขึ้นมาคู่กับเมืองวิเศษชัยชาญเมื่อประมาณร้อยกว่าปีมาแล้ว เป็นชุมชนที่มีชาวจีนอาศัยอยู่เยอะ แต่ก่อนการเดินทางต้องสัญจรไปมาทางเรือเท่านั้น ต่อมมามีถนนตัดผ่าน ตลาดที่เคยอาศัยน้ำก็ลดน้อยลง ตอนนี้ตลาดมี 2 ส่วนเชื่อมต่อกัน คือส่วนที่เป็นอาคารใหม่อยู่ริมถนน และส่วนที่เป็นแบบเก่าอยู่ริมน้ำ
สำหรับตลาดส่วนที่เป็นแบบเก่านั้น เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง มีโต๊ะ เก้าอี้ หรือรูปแบบอาคารเป็นไม้ฉลุแบบโบราณสวยงามมาก แต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้เกิดเหตุไฟไหม้ตลาดแห่งนี้ ทำให้บ้านเรือนที่เป็นเสมือนมรดกทางวัฒนธรรมเสียหายไปบ้างบางส่วน ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก แต่ถึงบ้านเรือนจะวอดวายไป สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือภูมิปัญญาและจิตวิญญาณของชาวบ้านที่ไม่วายวอดตามไปด้วย
ในปัจจุบันตลาดวิเศษชัยชาญตลาดที่มีจุดเด่นในเรื่องขนมไทยหายาก ยังคงมีการดำเนินชีวิตค้าขายตามเดิม ไม่ได้ปิดร้างไป เนื่องจากไฟไหม้ทำให้เสียหายเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนเรื่องการฟื้นฟู ได้วางแผนและประสานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้วอย่างต่อเนื่อง ทำให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว คาดว่าแม้การปรับปรุงหรือสร้างบ้านเรือนใหม่จะไม่เหมือนเก่าสักทีเดียว แต่จะทำให้ดีที่สุด จะปลูกเรือนก็ต้องตามใจผู้อยู่ด้วย
ด้านอาทร จุลโลบล ที่ปรึกษาบริษัทกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชันแนล จำกัด และประธานบริษัทAutovision & Travel ได้เล่าถึงความรู้สึกที่ได้ไปสัมผัสกับตลาดวิเศษชัยชาญมา ว่า "ตลาดวิเศษชัยชาญเป็นตลาดที่น่าที่จะอนุรักษ์ไว้ เป็นตลาดที่คนกลุ่มหนึ่งย้ายมาอยู่อาศัย ส่วนใหญ่เป็นญาติกัน เมื่อเข้าไปจะได้รับการต้อนรับอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ทุกคนในตลาดช่วยกันทำมาค้าขายไม่ใช่คิดแต่จะขายเฉพาะร้านของตนเอง"
ตลาดชุมชนนานกว่า 100 ปี มีรูปร่างคล้ายตัว ที (T) ในภาษาอังกฤษ มีซอยเล็กๆหลายซอย ศูนย์กลางของตลาดอยู่บริเวณตรงกลาง ลักษณะเป็นบ้านไม้เก่าที่มีลายฉลุด้วยฝีมือคนไทย มีความผูกพันกันในลักษณะพี่น้อง มีร้านขายของมากมาย เรียกได้ว่ามีขายหมดทุกอย่าง ทั้งตลาดสด ร้านขายขนมไทยโบราณที่หายาก เช่น ขนมกง ขนมสามเกลอ ขนมจ่ามงกุฎ ขนมเสน่ห์จันทร์ ขนมทองเอก ขนมเกสรลำเจียก หรือแม้แต่ร้านทอง ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีอยู่ในตลาดแห่งนี้
"ตลาดเป็นที่ท่องเที่ยวอยู่แล้ว ที่ตลาดวิเศษชัยชาญนี้คนชอบไปซื้อขนมเก่าๆที่อาจหาที่อื่นไม่ได้ วิถีชีวิตของตลาดจึงคึกคักอยู่เสมอ" อาทรเล่า
แต่ปัจจุบันตลาดวิเศษชัยชาญเหลือเพียงความทรงจำที่ยังคงสนุกสนานและครุกรุ่นอยู่ในใจเท่านั้น เนื่องจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้เกิดเหตุไฟไม้ ทำให้ตลาดได้รับความเสียหายไปบางส่วน โดยทางจังหวัดอ่างทองกำลังดำเนินการวางนโยบายปรับปรุงฟื้นฟูให้เป็นแบบเดิมเหมือนเมื่อครั้งยังไม่ถูกไฟไหม้ เพื่อให้ตลาดวิเศษชัยชาญกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
ตลาดน้ำดำเนินสะดวก คึกคักไม่ว่างเว้น
สำหรับตลาดน้ำที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด และกลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ไทยที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดี ก็คือ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ซึ่งด้วยความมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกทำให้มีผู้คนแวะเวียนมาตลาดน้ำดำเนินฯปีละหลายแสนคน
ในอดีตตลาดน้ำดำเนินสะดวกเป็นเพียงตลาดน้ำเล็กๆ ที่ชาวบ้านนำผลผลิตในสวนของตนออกมาแลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายแก่กันและกัน ก่อนจะขยายเป็นตลาดน้ำที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ปัจจุบันตลาดน้ำดำเนินสะดวกแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตลาดน้ำท่าคา เพราะตลาดแห่งนี้เมื่อเปลี่ยนเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก จึงมีการปรับตัวจากการค้าขายอย่างเรียบง่ายตามวิถีชาวบ้าน มาเป็นการค้าขายเชิงพาณิชย์ เน้นสินค้าที่หลากหลายเพื่อเอาใจนักท่องเที่ยว
ณี รุ่งแจ้งเจริญ อายุ 42 ปี แม่ค้าในตลาดน้ำดำเนินสะดวก เล่าว่า ตนขายขนมเบื้องที่ตลาดแห่งนี้มา 10 ปีแล้ว แต่ก่อนชาวบ้านจะเอาข้าวของมาขายกันเอง แต่พอตลาดแห่งนี้บูมขึ้นก็มีทัวร์มาลงเยอะ โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ โดยปกติตนจะพายเรือขายขนมเบื้องไปมาแถวๆตลาด ช่วงตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงของวันจันทร์-ศุกร์จะมีนักท่องเที่ยวมาเรื่อยๆ แต่จะเยอะช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะเป็นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
“ฝรั่งเยอะ แต่ป้าก็พูดภาษาต่างชาติไม่ค่อยได้หรอก ก็อาศัยฟังๆไปเรื่อยๆก็พอซื้อขายกับชาวต่างชาติได้” แม่ค้าขนมเบื้องเล่าแบบขำๆแล้วก็ชูนิ้วขายขนมเบื้องต่อ
ด้านจำรัส สอนศิริวงศ์ อายุ 49 ปี แม่ค้าผลไม้ กล่าวในทำนองเดียวกันว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
และจะมาเยอะมากในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ ส่วนตนขายผลไม้มากว่า 20 ปี ตอนเช้าจะไปซื้อผลไม้จากในสวนแล้วเอามาขายนักท่องเที่ยว
แม่ค้าผลไม้เล่าต่อไปว่า “ชาวต่างชาติมักจะซื้อส้ม น้อยหน่า เงาะ และมังคุด ส่วนละมุด ชมพู่ ฝรั่งเขาไม่ชอบ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ป้าก็ยังงๆ”
ตลาดดำเนินสะดวก เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับการขุดคลองดำเนินสะดวกเมื่อปี พ.ศ. 2409 ซึ่งเดิมนั้นทำการค้าขายกันอย่างเรียบง่ายระหว่างชาวบ้านด้วยกัน จนต่อมาช่วงปี พ.ศ.2510 เริ่มมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวชมวิถีชีวิตและการค้าขายในตลาดแห่งนี้ ก่อนจะโด่งดังๆไปทั่วโลกหลังหน่วยงานรัฐโปรโมทตลาดน้ำดำเนินเพื่อการท่องเที่ยวเมื่อราว 20 กว่าปี ที่แล้ว
ตลาดสามชุก ปลุกชีวิต ชุบชีวา ให้กลับคืนมาอีกครั้ง
ตลาดสามชุก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี นับเป็นอีกหนึ่งตลาดโบราณอายุกว่า 100 ปี ที่มีลักษณะเป็นตลาดห้องแถวไม้ 2 ชั้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรีหรือแม่น้ำท่าจีน
หากย้อนกลับไปสู่อดีต สมัยที่ตลาดสามชุกยังคงเฟื่องฟู ผู้คนใช้แม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมหลัก แม่น้ำสุพรรณจึงเป็นเสมือนเส้นทางเชื่อมสามชุกกับโลกภายนอกเพียงหนทางเดียว ยุคนั้นชาวบ้านจะนำของพื้นเมือง รวมทั้ง เกลือ ฝ้าย แร่ สมุนไพร มาแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน และด้วยพื้นที่ลุ่มภาคกลางแถบนี้เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญ ตลาดสามชุกจึงกลายเป็นตลาดข้าวที่สำคัญมีการค้าขายกันอย่างคึกคัก ทำให้ตลาดสามชุกไม่จำกัดบริเวณอยู่เฉพาะริมน้ำ แต่ได้ขยายมาถึงริมฝั่ง
วินิจ รังผึ้ง เล่าถึงประสบการณ์และความประทับใจในตลาดแห่งอำเภอสามชุกว่า ตลาดสามชุกนั้นเคยรุ่งเรืองมากกว่าร้อยปีในสมัยที่เมืองไทยยังใช้สายน้ำเป็นเส้นทางสัญจรหลัก ตลาดสามชุกยังเป็นท่าเรือที่ชาวกะเหรี่ยง ลาว ละว้า ตามแนวชายแดนไทย-พม่าที่สมัยนั้นถูกเรียกว่าเป็นชาวป่า นำสินค้าของป่า นำกองเกวียนเดินทางมากันเป็นคาราวาน ออกมาขายสินค้าหรือแลกเปลี่ยนกับข้าวสาร เกลือ ปูน และของใช้ที่จำเป็น ตลาดสามชุกจึงคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
แต่ความเป็นไปของสรรพสิ่งไม่จีรังยั่งยืน เมื่อถนนหนทางตัดผ่าน การเดินทางขนส่งหันมาใช้ทางบกกันมากขึ้น ตลาดริมแม่น้ำอย่างตลาดสามชุกก็ซบเซา เงียบเหงาลง จนแทบจะกลายเป็นตลาดร้าง จนกระทั้งปี 2543 ประชาคมชาวสามชุกเลือกที่จะเก็บรักษาตลาดเก่าของพวกเขาไว้ แต่ร่วมมือร่วมใจกันปลุกชีวิตชุบชีวาตลาดสามชุกให้กลับมาฟื้นคืนมาอีกครั้ง
ชาวบ้านร่วมมือร่วมใจกันปรับปรุงร้าน โดยยังคงยึดถือแนวทางของความเป็นตลาดเก่าที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ใครมีข้าวของเครื่องใช้ ป้ายชื่อร้านโบราณ ที่เก่าเก็บก็นำมาปัดฝุ่นทำความสะอาด ขึ้นป้ายประดับหน้าร้านอีกครั้งอย่างภาคภูมิใจ และเริ่มบอกเล่ากับผู้คนภายนอกให้รับรู้ด้วยการจัดงาน "อร่อยดีที่สามชุก" ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะตลาดสามชุกนั้นเป็นแหล่งรวมของอาหารอร่อย สนนราคาก็เป็นกันเองแบบชาวบ้าน ไม่ใช่พอดังหน่อยก็ขึ้นราคาเหมือนเมืองท่องเที่ยวแห่งอื่นๆ ที่สำคัญพ่อค้าแม่ค้าชาวตลาดสามชุกนั้นล้วนแต่มีอัธยาศัยไมตรีดียิ่ง ยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับผู้มาเยือนอย่างจริงใจ ไม่ได้มุ่งหวังแต่จะขายสินค้าเหมือนตลาดแห่งอื่นๆ
และที่ดูจะเป็นสีสันของตลาดสามชุก เห็นจะเป็นบรรดาของกินที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนเป็นต้องหันมองและสูดกลิ่นความน่าอร่อยชวนลิ้มรส ไม่ว่าจะเป็น ร้านบะหมี่หมูแดงเครื่องทำเอง ร้านข้าวห่อใบบัว ร้านเป็ดย่างแบบไทยๆรสเด็ด ร้านกาแฟ ขนมหวาน และอีกสารพัดร้านที่ทำให้ตลาดสามชุกกลับมาเติมเต็มอีกครั้ง
อีกทั้งภาพอาคารบ้านเรือนที่สร้างด้วยไม้อายุนับร้อย ถึงแม้จะเก่าแก่ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยงานศิลปะสถาปัตยกรรมที่หาดูได้ยาก จึงเป็นความเก่าที่ดูไม่น่าเบื่อ และยิ่งผู้คนในตลาดยังคงใช้ชีวิตในตลาดตามปกติยิ่งทำให้ตลาดแห่งนี้ดูมีเสน่ห์มากขึ้น
.....................................................................
ท่ามกลางวิถีการค้าแห่งโลกทุนนิยมที่เน้นกำไรสูงสุด ใครที่อยากรู้ว่าการค้าตามวิถีไทยๆแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยและไม่เน้นกำไรสูงสุดเป็นอย่างไร ตลาดโบราณหลายๆแห่งในเมืองไทยมีคำตอบรอผู้สนใจให้เดินทางไปค้นหา