xs
xsm
sm
md
lg

อรุณรุ่ง ที่ “เชียงรุ้ง”(จบ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย ลูกหว้า

ฉันสวัสดีเช้าวันใหม่ที่เมืองเชียงรุ้งด้วยน้ำเต้าหู้ร้อนๆกับหมั่นโถอุ่นๆจากตลาดเช้า อากาศรอบตัวเย็นจนควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากปากยามเอ่ยวลี ก่อนสองเท้าจะพาเราย่ำต๊อกๆเดินดูวิถีชีวิตและอาหารสด-แห้งที่วางขาย ที่นี่ผักดูสวยสดน่ากินเป็นยิ่งนัก จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าอาหารหลายมื้อที่ผ่านมาจะมีผัดผักที่แสนหวาน กรอบ อร่อย วางรวมกับอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ ถึงแม้ว่าจะผัดผักจะเป็นอาหารที่แสนธรรมดา แต่น่าแปลกที่มักจะหมดเร็วกว่าทุกจาน

หลังจากเติมพลังงานเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาไปประลองความเสียวกันที่เคเบิ้ลคาร์ข้ามน้ำโขงด้วยความสูงที่แม้มองลงไปขายังสั่น ทำให้ฉันผู้ซึ่งไม่เคยนั่งเคเบิ้ลคาร์มาก่อนรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก ใจหนึ่งก็สนุกแต่อีกใจก็หวั่นๆอยู่เหมือนกันว่าจะผ่านไปด้วยดีไหม อากาศเย็นๆพัดมาปะทะใบหน้า สายตาก็คอยมองลวดสลิงสลับกับทิวทัศน์เบื้องล่างแล้วใจมันออกอาการหวิวๆเหมือนจะเป็นลม แต่คนดีพระย่อมคุ้มครองฉันจึงไปถึงพระราชวังเวียงผาครางหรือปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์เจ้าชีวิต 12 ปันนาได้อย่างปลอดภัยหายกังวล

ฉันเดิมชมห้องจัดแสดงวิถีชีวิตและเครื่องใช้ไม้สอยรวมถึงเหรียญเงินตราต่างๆ ซึ่งถูกจัดแสดงแบ่งเป็นห้องๆทั้ง 8 ห้องด้วยความเพลิดเพลิน สังเกตว่าประเพณีบางอย่างก็คล้ายกับทางเหนือของไทยเรา อย่างเช่น สงกรานต์ การปล่อยโคม ฯลฯ เดินไปอีกหน่อยจะเจอกับห้องที่แสดงภาพชีวิตชาวไทลื้อในสมัยโบราณที่ชาวบ้านธรรมดาสามัญจะสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่กับหญ้าคา นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายผู้ชายไทลื้อในสมัยโบราณที่นิยมสักทั่วทั้งตัว ว่ากันว่าหากไม่สัก ผู้หญิงจะไม่ชายตามองเลยทีเดียว ฉันว่าเวลาเข้าชมพิพิธภัณฑ์หากเราจินตนาการย้อนอดีตไปถึงยุคนั้นๆด้วย ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มอรรถรสในการชมพิพิธภัณฑ์ไม่ให้น่าเบื่อ

หลังจากได้ทราบประวัติความเป็นมาของชาวไทลื้อพอหอมปากหอมคอแล้ว ฉันก็ออกเดิน เดิน และเดินไปเรื่อยๆ เห็นต้นไผ่น้อยใหญ่ที่ปลูกเรียงรายแล้วให้ความรู้สึกว่าเป็นเมืองจีนจริงๆ เดินมาได้ซักพักพอให้เหงื่อออกสักหน่อยก็จะเจอกับเจดีย์จอมทองตั้งตระหง่านท่ามกลางหมอกจางๆยามเช้า แต่ฉันก็ยังคงออกเดินต่อไปด้วยใจที่มุ่งมั่นจะไปบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในอดีตเวลาในพระราชวังมีพระราชพิธีอะไรก็จะนำน้ำจากที่นี่ไปประกอบพิธี

ฉันได้ยินเขาเล่ากันมาปากต่อปากถึงตำนานของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ว่า ย้อนไปในสมัย 2,500 ปีก่อนโน้น มีชาวบ้านมาร้องฎีกาพระพุทธเจ้าว่าไม่มีน้ำกิน พระองค์เลยทรงเอาเหล็กแทงลงไปในดินตรงจุดที่เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน ฉับพลันน้ำก็พวยพุ่งขึ้นมาและไม่มีวันเหือดแห้งอีกเลยนับแต่นั้น ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนและแล้งปานใด

“โอ้...น้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ช่างเย็นชื่นใจจริงๆ”ฉันคิดในใจ ความเหนื่อยที่เดินมาตลอดช่วงเช้าหายเป็นปลิดทิ้ง ฉันเห็นน้ำท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนพากันเทน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใส่ขวดน้ำที่พกติดตัวมา ฉันก็เลยทำตามบ้างและสังเกตว่าน้ำที่นี่ใสสะอาด ไม่มีตะกอน แถมยังมีแต่จิตศรัทธราของผู้คนที่เชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ของบ่อน้ำแห่งนี้เข้าไปอีก ทำให้ขวดน้ำที่อยู่ในมือของฉันตอนนี้ดูจะทวีความพิเศษขึ้นอีกโข

นั่งพักได้ซักครู่ก็ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินต่อไปยังเจดีย์จอมหมอกที่เชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเศียรของพระพุทธเจ้า(กระดูกส่วนศีรษะ) หลังจากที่สักการะเจดีย์จอมหมอกแล้ว ฉันรู้มาว่าอันที่จริงยังมีเจดีย์จอมสิงห์และจอมสักแต่ถูกทำลายไปแล้วทำให้เศร้าใจยิ่งนัก แต่ไม่เป็นไรเพราะยังมีสะพานเชือกให้ประลองความเสียวกันอีกแล้ว ฮ่า ฮ่า

ระหว่างทางที่จะไปสะพานเชือกนั้น ฉันก็คิดได้ว่าตั้งแต่เท้าเริ่มเหยียบแผ่นดินเมืองสิบสองปันนานี้ มีแต่เรื่องให้หวาดเสียวกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งเคเบิ้ลคาร์หรือกระเช้าลอยฟ้าครั้งแรกในชีวิต หรือจะเป็นการลุ้นระทึกกับสภาพห้องน้ำอันลือลั่นที่เมืองจีน ว่าหากย่างกรายเข้าไปแล้วจะเจอแจ็คพอตหรือไม่และถ้าหากเจอจะเป็นจำนวน(ก้อน)เท่าไร ยังไม่นับสะพานเชือกที่รอให้ลุ้นอยู่ข้างหน้าอีก แต่ไม่เป็นไรเพราะงานนี้สู้ตายอยู่แล้ว

จากความคิดว่าจะหวาดเสียว กลับกลายเป็นความสนุกและลุ้นให้แต่ละคนที่เดินตามๆกันมานั้น ทรงตัวได้ไม่เอนเอียงไปตามน้ำหนักที่ซ้ายที ขวาที หลังจากตั้งสติและจับทิศทางได้ฉันก็สามารถเดินทรงตัวให้อยู่ตรงกลางๆสะพานเชือกได้ แล้วหลังจากนั้นก็รีบเดินลิ่วไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วทำให้ไปยืนอยู่ตรงปลายสะพานได้อย่างไม่ยากเย็น

หลังจากที่ข้ามฟากมาได้แล้ว ฉันก็ได้ยินเสียงเจี๊ยก ๆ ดังระงมไปหมด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะอาณาบริเวณแห่งนี้เป็นสวนลิงที่รวบรวมลิงหลายสายพันธุ์จากทั่วโลกมาจัดแสดงไว้ตามมุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลิงตัวจ้อยที่หน้าตาประหลาดจากแอฟริกาหรือจะเป็นชะนีน้อยห้อยโหนไปมาภายในกรงส่งเสียงร้อง ปั๋ว..ปั๋วไม่หยุดปาก แต่ที่ถือว่าเป็นพระเอกของสวนลิงเห็นจะเป็นเจ้าลิงเผือกที่ทั่วทั้งแผ่นดินจีน มีอยู่เพียงตัวเดียวในประเทศ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องดูแลเป็นพิเศษ โดยให้มันอยู่ในกรงตัวเดียวเนื่องจากคู่ตะนาหงันของเจ้าลิงเผือกเพิ่งจะลาโลกไป ฉันเห็นมันนั่งเศร้าซึม โธ่..คงจะเหงา

ออกจากสวนลิงก็ต้องขึ้นเคเบิ้ลคาร์กลับเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ไม่กลัวเหมือนครั้งแรก ฉันจึงได้มีเวลาสัมผัสกับบรรยากาศมุมสูงอย่างเต็มตา ฉันรีบเก็บความประทับใจไว้ในความทรงจำ เพราะไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ถึงจะมีโอกาสออกมาท่องโลกกว้างอย่างนี้อีก อย่างน้อยเมื่อเวลาเหนื่อยหรือท้อใจกับการแข่งขันในเมืองใหญ่ จะได้ไม่ลืมว่าเคยมีช่วงเวลาดีๆอย่างนี้อยู่เหมือนกัน

สำหรับช่วงเย็นของวันเดียวกันนั้น หลังจากที่อิ่มอร่อยกับอาหารจีนที่หน้าตาคล้ายอาหารไทยบ้านเราแล้ว ฉันเลือกที่จะออกไปเดินเล่นในยามค่ำคืน ดูแสงสีของเมืองเชียงรุ้งก่อนที่จะอำลาในเช้าวันพรุ่งนี้ ตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่ในเมืองนั้นดูทันสมัย สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากตึกจะสวยแล้วของที่เมืองจีนยังถูกอีกต่างหาก ยิ่งพวกพุทราอบแห้ง ,สาหร่ายอบแห้งหรือเสื้อผ้าสีสันสวยงามยิ่งดูน่าซื้อไปซะหมด แต่ช้าก่อน..สหายเอ๋ย หากซื้อทั้งหมดมีหวังกับเมืองไทยไปต้องกินแกลบแน่ๆ คิดได้ดังนั้นจึงเพลาๆมือในการหยิบของลงตะกร้า พร้อมกับคิดไปด้วยว่านิสัยการชอปนี่ไม่สามารถรักษาให้หายได้เลยจริงๆ แต่ทำอย่างไรได้ ก็ฉันเป็นสาวนักชอปนี่นา

*    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    * 

เมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงของแคว้น 12 ปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ภาษาทางการคือภาษาจีนกลาง  สกุลเงิน 1 หยวนประมาณ 5.5 บาท(ควรตรวจสอบค่าเงินอีกครั้งก่อนการเดินทาง) เวลาจะเร็วกว่าที่เมืองไทย 1 ชั่วโมง


 

การเดินทางมีสายการบินที่ให้บริการจากกรุงเทพฯสู่เมืองเชียงรุ้ง ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ บินทุกวันอังคาร,พฤหัส,เสาร์ หรือหากเดินทางโดยเรือท่องเที่ยว ขึ้นที่ท่าเรือเชียงแสน จ.เชียงรายสู่เมืองเชียงรุ้ง ใช้เวลา 12 ชั่วโมง(ทวนน้ำ)แต่ให้บริการเฉพาะเช่าเหมาลำ ทั้งนี้ควรติดต่อบริษัททัวร์ที่ให้บริการ

กำลังโหลดความคิดเห็น