โดย : ปิ่น บุตรี

ขอบอกว่าในชีวิตการเดินป่ามาหลายต่อหลายครั้ง ผมไม่เคยเจอช้างป่าตัวเป็นๆแบบจั๋งหนับบุเรงนองสักครั้ง
แม้ว่าจะไปนอนเฝ้าซุ่มดูช้างป่าลงมากินโป่ง กินน้ำ ในป่ากุยบุรี จ.ประจวบฯ ที่คนแถวนั้นบอกว่า“เจอช้างป่าแน่ๆ”แต่รอจนแล้วจนรอด รอแล้วรอเล่า เจ้าช้างป่าก็ไม่ยอมโผล่หน้าโผล่ตัวออกมาให้เห็น มีเพียงแค่เสียง“แปร๋นๆ”ร้องยั่วอารมณ์ให้อยากเจอเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีวันที่ฟ้าเป็นใจประทานช้างป่าตัวเป็นๆมาให้เห็นกันแบบจะจะครั้งหนึ่งบนเขาใหญ่ ในครั้งนั้นผมไม่ได้อยู่ในป่าแต่อยู่บนถนนที่จู่ๆก็มีช้างป่า 3 ตัวโผล่ออกมาจากป่าข้างๆก่อนจะเดินข้ามถนนผ่านหน้ารถไปอย่างเนิบๆ
โอว...ได้เห็นเท่านี้ก็เป็นบุญตาแล้ว เพราะจะว่าไปดวงผมกับดวงช้างป่านี่ไม่ค่อยสมพงษ์กันเท่าไหร่ ผิดกับขี้ช้างป่าที่ผมมักพบเห็นเป็นประจำในการเที่ยวป่าหลายๆครั้ง
สมัยก่อนนั้นพอเจอขี้ช้างก็มักจะหลบลี้หนีไปให้ไกล เพราะผมถือคติ“เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง” แต่ว่าเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วได้มีโอกาสไปเที่ยวป่าเขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี แล้วได้ไปพบเจอกับขี้ช้างแห้งๆกองหนึ่ง ที่ในขี้ช้างแห้งกองนี้มีต้นระกำป่ากอหนึ่งเติบโตขึ้นมา
พี่อ็อด : ทนงศักดิ์ แป้นอ้อย เจ้าหน้าที่สื่อความหมายที่พาผมเดินป่าได้อธิบายให้ผมฟังว่า นี่เป็นระกำป่าที่ถือกำเนิดมาจากกองขี้ช้าง ไอ้เจ้าระกำป่านี่แม้รสมันเปรี้ยว(จี๊ด)นักสำหรับคน แต่ยามที่มันออกผลสุกเต็มต้นจะมีสีแดงสดและส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วป่า ช้างป่าพอได้กลิ่นผลระกำสุกก็จะตามมากลิ่นกินลูกระกำอย่างเอร็ดอร่อย เพราะนี่คือของโปรดของมัน พอกินแล้วถ่ายออกมา ขี้ช้างบางกองที่ยังย่อยไม่หมดก็จะมีเม็ดระกำป่าหลงเหลืออยู่ในนั้น
เมื่อฝนตกลงมา กองขี้ช้างได้รับความชุ่มชื้น เม็ดระกำเม็ดสมบูรณ์ๆที่อยู่ในนั้นก็จะแตกยอดงอกเงยขึ้นมาเกิดเป็นระกำป่าต้นใหม่ ก่อนจะเติบโตเป็นระกำป่ากอใหญ่ต่อไป พอมันโตได้ที่ก็จะออกผลสีแดงสุกเต็มต้นส่งกลิ่นหอมทั่วป่าครั้นพอช้างป่ามากินของโปรดก็จะถ่ายทุกข์ทิ้งไว้ เกิดเป็นวัฏจักรของขี้ช้างกับระกำป่าขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับบทเพลง “Where have all the Flower gone?” ของ Pete Seeger ที่พูดถึงวัฏจักรดอกไม้บนหลุมฝังศพ
จากการได้รับรู้เรื่องราวของชีวิตใหม่ในกองขี้ช้างที่ป่าเขาคิชฌกูฏ ทำให้การประสบพบเจอขี้ช้างครั้งต่อๆมาผมเริ่มให้ความสนใจมันมากขึ้น ซึ่งก็ได้พบว่าในกองขี้ช้างไม่ใช่แค่ให้กำเนิดต้นระกำป่าเท่านั้น แต่กองขี้ช้างหลายๆกองยังให้กำเนิดผลไม้และต้นไม้ใบหญ้าที่มันกินลงไป
ในขณะที่อีกหลายๆกองก็เป็นแหล่งอาหารแมลง และสัตว์อื่นๆ เพราะช้างนับเป็นสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่กินต้นไม้ใบหญ้าเป็นอาหารโดยเฉพาะผลไม้สุกนี้ช้างชอบกินมาก วันๆช้างจะกินอาหารเฉลี่ยประมาณวันละ 250 กิโลกรัม กินน้ำประมาณวันละ 60 แกลลอน พอกินแล้วก็จะขี้ออกมาเป็นระยะๆเฉลี่ยวันละ 50 กิโลกรัม
ขี้ช้างบางกองที่ยังย่อยไม่หมดก็จะมีซากต้นไม้ใบหญ้าหลงเหลืออยู่ และกลายเป็นแหล่งอาหารของสัตว์กินซากต้นไม้ใบหญ้าต่อไป
นั่นเป็นคุณค่าของขี้ช้างตามระบบนิเวศ แต่สำหรับมนุษย์หัวใสหลายๆคน ขี้ช้างถือเป็นขี้ชั้นดีที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นทุนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขี้ช้างได้อย่างไม่ยากเย็น

ปางช้างหลายๆแห่งจึงมีการนำขี้ช้างที่แต่เดิมปล่อยทิ้งไปตามยถากรรมกลับมารีไซเคิล ก่อนจะนำไปใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะที่“สถาบันคชบาลแห่งชาติ”หรือ“ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย” จังหวัดลำปางนี่มีโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขี้ช้างอย่างค่อนข้างชัดเจน
สำหรับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขี้ช้างอย่างง่ายๆธรรมดาๆก็คือ การนำขี้ช้างไปทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ บำรุงดินและใส่ต้นไม้ ที่มีการนำขี้ช้างไปผสมกับวัตถุดิบสำคัญๆอย่างเช่น ตะกรันอ้อย หินฟอสเฟต โดโลไมท์ ขี้ไก่ แล้วนำไปหมักรวมกองเป็นชั้นๆแล้วราดด้วยน้ำจุลินทรีย์ ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 เดือน จากนั้นจึงนำมาตรวจสอบคุณภาพ พร้อมผสมเชื้อรา แบคทีเรียและฮอร์โมนเข้าไป ก่อนจะนำไปบรรจุถุงขายในขนาดบรรจุที่แตกต่างกัน ( 5 กก. ถุงละ 40 บาท, 12.5 กก. ถุงละ 70 บาท, 40 กก. ถุงละ 170 บาท) ซึ่งนี่คือปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพจากขี้ช้างแบบง่ายๆ ที่เหมาะสำหรับคนรักช้างและรักต้นไม้เป็นอย่างยิ่ง
อีกโครงการต่อมาเป็นนำขี้ช้างไปผลิตเป็นก๊าซชีวภาพเพื่อใช้ในการหุงต้มอาหาร ขับเคลื่อนเครื่องยนต์ สูบน้ำเพื่อการเกษตร และการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยขี้ช้างประมาณ 1,500-2,000 กิโลกรัม สามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้ประมาณวันละ 100-200 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งปัจจุบันในศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยมีบ่อผลิตก๊าซชีวภาพอยู่ 3 บ่อ
และสุดท้ายคือกระดาษมูลช้าง ผลิตภัณฑ์จากขี้ช้างที่หลายๆคนเคยใช้ ส่วนหลายๆคนไม่คาดคิดว่าจะทำได้
กระดาษมูลช้างหรือกระดาษขี้ช้างนับเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นสูงของขี้ช้างที่มีให้เห็นตามปางช้างหลายๆแห่ง ซึ่งทางผู้ผลิตจะนำขี้ช้างที่เต็มไปด้วยเส้นใยของกากอาหารอย่างพวก อ้อย หญ้า ใบไม้ มาผ่านกระบวนการแบบเดียวกับการทำกระดาษสา ก่อนที่จะเพิ่มสีสันลวดลายและประดิษฐ์เป็นสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมุดบันทึกเล่มเก๋ กรอบรูปเท่ๆ โคมไฟ กล่องใส่นามบัตร กล่องใส่ของเล็กๆน้อยๆ และของที่ระลึกอีกสารพัดอย่างขายให้กับนักท่องเที่ยว สำหรับผลิตภัณฑ์ประยุกต์ต่างๆจากกระดาษขี้ช้าง คนทั่วไปมองยังไงก็ไม่รู้ว่าทำมาจากขี้ช้างกองโตถ้าคนขายไม่เอ่ยปากบอก
เรียกได้ว่าสัตว์บกใหญ่ที่สุดในโลกที่อยู่ในสภาวะน่าเป็นห่วงอย่าง“ช้าง”นอกจากจะมีความผูกพันกับคนไทยมาช้านานและมีคุณประโยชน์ต่อสยามประเทศแล้ว “ขี้ช้าง” ที่ดูเหมือนไร้คุณค่านั้นกลับมีประโยชน์ซ่อนเร้นอยู่มากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งอาหารของสัตว์และแมลงที่กินซากต้นไม้ใบหญ้า เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตใหม่อย่าง ต้นระกำป่าและต้นไม้อื่นๆที่ช้างทิ้งเมล็ดเอาไว้ในกองขี้ เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เป็นก๊าซชีวภาพ เป็นกระดาษมูลช้างที่นำไปประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์สวยๆงามๆได้มากมาย
สำหรับผม ขี้ช้าง 1 กอง ดูจะมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อเมืองไทยมากกว่าเงิน 73,000 ล้านบาท ของเศรษฐีขี้งกบางคนเสียอีก เพราะเงิน 73,000 ล้านบาท(อ่านว่าเจ็ดหมื่นสามพันล้านบาท)นอกจากจะใช้ข้อกฎหมายขายหุ้นเลี่ยงการเสียภาษีแล้ว สมบัติของชาติไทยส่วนหนึ่งยังต้องตกเป็นของต่างชาติไปก็เพราะเงินจากการขายหุ้น 73,000 ล้านบาทนี่แหละ
ขอบอกว่าในชีวิตการเดินป่ามาหลายต่อหลายครั้ง ผมไม่เคยเจอช้างป่าตัวเป็นๆแบบจั๋งหนับบุเรงนองสักครั้ง
แม้ว่าจะไปนอนเฝ้าซุ่มดูช้างป่าลงมากินโป่ง กินน้ำ ในป่ากุยบุรี จ.ประจวบฯ ที่คนแถวนั้นบอกว่า“เจอช้างป่าแน่ๆ”แต่รอจนแล้วจนรอด รอแล้วรอเล่า เจ้าช้างป่าก็ไม่ยอมโผล่หน้าโผล่ตัวออกมาให้เห็น มีเพียงแค่เสียง“แปร๋นๆ”ร้องยั่วอารมณ์ให้อยากเจอเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีวันที่ฟ้าเป็นใจประทานช้างป่าตัวเป็นๆมาให้เห็นกันแบบจะจะครั้งหนึ่งบนเขาใหญ่ ในครั้งนั้นผมไม่ได้อยู่ในป่าแต่อยู่บนถนนที่จู่ๆก็มีช้างป่า 3 ตัวโผล่ออกมาจากป่าข้างๆก่อนจะเดินข้ามถนนผ่านหน้ารถไปอย่างเนิบๆ
โอว...ได้เห็นเท่านี้ก็เป็นบุญตาแล้ว เพราะจะว่าไปดวงผมกับดวงช้างป่านี่ไม่ค่อยสมพงษ์กันเท่าไหร่ ผิดกับขี้ช้างป่าที่ผมมักพบเห็นเป็นประจำในการเที่ยวป่าหลายๆครั้ง
สมัยก่อนนั้นพอเจอขี้ช้างก็มักจะหลบลี้หนีไปให้ไกล เพราะผมถือคติ“เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง” แต่ว่าเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วได้มีโอกาสไปเที่ยวป่าเขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี แล้วได้ไปพบเจอกับขี้ช้างแห้งๆกองหนึ่ง ที่ในขี้ช้างแห้งกองนี้มีต้นระกำป่ากอหนึ่งเติบโตขึ้นมา
พี่อ็อด : ทนงศักดิ์ แป้นอ้อย เจ้าหน้าที่สื่อความหมายที่พาผมเดินป่าได้อธิบายให้ผมฟังว่า นี่เป็นระกำป่าที่ถือกำเนิดมาจากกองขี้ช้าง ไอ้เจ้าระกำป่านี่แม้รสมันเปรี้ยว(จี๊ด)นักสำหรับคน แต่ยามที่มันออกผลสุกเต็มต้นจะมีสีแดงสดและส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วป่า ช้างป่าพอได้กลิ่นผลระกำสุกก็จะตามมากลิ่นกินลูกระกำอย่างเอร็ดอร่อย เพราะนี่คือของโปรดของมัน พอกินแล้วถ่ายออกมา ขี้ช้างบางกองที่ยังย่อยไม่หมดก็จะมีเม็ดระกำป่าหลงเหลืออยู่ในนั้น
เมื่อฝนตกลงมา กองขี้ช้างได้รับความชุ่มชื้น เม็ดระกำเม็ดสมบูรณ์ๆที่อยู่ในนั้นก็จะแตกยอดงอกเงยขึ้นมาเกิดเป็นระกำป่าต้นใหม่ ก่อนจะเติบโตเป็นระกำป่ากอใหญ่ต่อไป พอมันโตได้ที่ก็จะออกผลสีแดงสุกเต็มต้นส่งกลิ่นหอมทั่วป่าครั้นพอช้างป่ามากินของโปรดก็จะถ่ายทุกข์ทิ้งไว้ เกิดเป็นวัฏจักรของขี้ช้างกับระกำป่าขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับบทเพลง “Where have all the Flower gone?” ของ Pete Seeger ที่พูดถึงวัฏจักรดอกไม้บนหลุมฝังศพ
จากการได้รับรู้เรื่องราวของชีวิตใหม่ในกองขี้ช้างที่ป่าเขาคิชฌกูฏ ทำให้การประสบพบเจอขี้ช้างครั้งต่อๆมาผมเริ่มให้ความสนใจมันมากขึ้น ซึ่งก็ได้พบว่าในกองขี้ช้างไม่ใช่แค่ให้กำเนิดต้นระกำป่าเท่านั้น แต่กองขี้ช้างหลายๆกองยังให้กำเนิดผลไม้และต้นไม้ใบหญ้าที่มันกินลงไป
ในขณะที่อีกหลายๆกองก็เป็นแหล่งอาหารแมลง และสัตว์อื่นๆ เพราะช้างนับเป็นสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่กินต้นไม้ใบหญ้าเป็นอาหารโดยเฉพาะผลไม้สุกนี้ช้างชอบกินมาก วันๆช้างจะกินอาหารเฉลี่ยประมาณวันละ 250 กิโลกรัม กินน้ำประมาณวันละ 60 แกลลอน พอกินแล้วก็จะขี้ออกมาเป็นระยะๆเฉลี่ยวันละ 50 กิโลกรัม
ขี้ช้างบางกองที่ยังย่อยไม่หมดก็จะมีซากต้นไม้ใบหญ้าหลงเหลืออยู่ และกลายเป็นแหล่งอาหารของสัตว์กินซากต้นไม้ใบหญ้าต่อไป
นั่นเป็นคุณค่าของขี้ช้างตามระบบนิเวศ แต่สำหรับมนุษย์หัวใสหลายๆคน ขี้ช้างถือเป็นขี้ชั้นดีที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นทุนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขี้ช้างได้อย่างไม่ยากเย็น
ปางช้างหลายๆแห่งจึงมีการนำขี้ช้างที่แต่เดิมปล่อยทิ้งไปตามยถากรรมกลับมารีไซเคิล ก่อนจะนำไปใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะที่“สถาบันคชบาลแห่งชาติ”หรือ“ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย” จังหวัดลำปางนี่มีโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขี้ช้างอย่างค่อนข้างชัดเจน
สำหรับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขี้ช้างอย่างง่ายๆธรรมดาๆก็คือ การนำขี้ช้างไปทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ บำรุงดินและใส่ต้นไม้ ที่มีการนำขี้ช้างไปผสมกับวัตถุดิบสำคัญๆอย่างเช่น ตะกรันอ้อย หินฟอสเฟต โดโลไมท์ ขี้ไก่ แล้วนำไปหมักรวมกองเป็นชั้นๆแล้วราดด้วยน้ำจุลินทรีย์ ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 เดือน จากนั้นจึงนำมาตรวจสอบคุณภาพ พร้อมผสมเชื้อรา แบคทีเรียและฮอร์โมนเข้าไป ก่อนจะนำไปบรรจุถุงขายในขนาดบรรจุที่แตกต่างกัน ( 5 กก. ถุงละ 40 บาท, 12.5 กก. ถุงละ 70 บาท, 40 กก. ถุงละ 170 บาท) ซึ่งนี่คือปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพจากขี้ช้างแบบง่ายๆ ที่เหมาะสำหรับคนรักช้างและรักต้นไม้เป็นอย่างยิ่ง
อีกโครงการต่อมาเป็นนำขี้ช้างไปผลิตเป็นก๊าซชีวภาพเพื่อใช้ในการหุงต้มอาหาร ขับเคลื่อนเครื่องยนต์ สูบน้ำเพื่อการเกษตร และการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยขี้ช้างประมาณ 1,500-2,000 กิโลกรัม สามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้ประมาณวันละ 100-200 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งปัจจุบันในศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยมีบ่อผลิตก๊าซชีวภาพอยู่ 3 บ่อ
และสุดท้ายคือกระดาษมูลช้าง ผลิตภัณฑ์จากขี้ช้างที่หลายๆคนเคยใช้ ส่วนหลายๆคนไม่คาดคิดว่าจะทำได้
กระดาษมูลช้างหรือกระดาษขี้ช้างนับเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นสูงของขี้ช้างที่มีให้เห็นตามปางช้างหลายๆแห่ง ซึ่งทางผู้ผลิตจะนำขี้ช้างที่เต็มไปด้วยเส้นใยของกากอาหารอย่างพวก อ้อย หญ้า ใบไม้ มาผ่านกระบวนการแบบเดียวกับการทำกระดาษสา ก่อนที่จะเพิ่มสีสันลวดลายและประดิษฐ์เป็นสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมุดบันทึกเล่มเก๋ กรอบรูปเท่ๆ โคมไฟ กล่องใส่นามบัตร กล่องใส่ของเล็กๆน้อยๆ และของที่ระลึกอีกสารพัดอย่างขายให้กับนักท่องเที่ยว สำหรับผลิตภัณฑ์ประยุกต์ต่างๆจากกระดาษขี้ช้าง คนทั่วไปมองยังไงก็ไม่รู้ว่าทำมาจากขี้ช้างกองโตถ้าคนขายไม่เอ่ยปากบอก
เรียกได้ว่าสัตว์บกใหญ่ที่สุดในโลกที่อยู่ในสภาวะน่าเป็นห่วงอย่าง“ช้าง”นอกจากจะมีความผูกพันกับคนไทยมาช้านานและมีคุณประโยชน์ต่อสยามประเทศแล้ว “ขี้ช้าง” ที่ดูเหมือนไร้คุณค่านั้นกลับมีประโยชน์ซ่อนเร้นอยู่มากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งอาหารของสัตว์และแมลงที่กินซากต้นไม้ใบหญ้า เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตใหม่อย่าง ต้นระกำป่าและต้นไม้อื่นๆที่ช้างทิ้งเมล็ดเอาไว้ในกองขี้ เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เป็นก๊าซชีวภาพ เป็นกระดาษมูลช้างที่นำไปประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์สวยๆงามๆได้มากมาย
สำหรับผม ขี้ช้าง 1 กอง ดูจะมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อเมืองไทยมากกว่าเงิน 73,000 ล้านบาท ของเศรษฐีขี้งกบางคนเสียอีก เพราะเงิน 73,000 ล้านบาท(อ่านว่าเจ็ดหมื่นสามพันล้านบาท)นอกจากจะใช้ข้อกฎหมายขายหุ้นเลี่ยงการเสียภาษีแล้ว สมบัติของชาติไทยส่วนหนึ่งยังต้องตกเป็นของต่างชาติไปก็เพราะเงินจากการขายหุ้น 73,000 ล้านบาทนี่แหละ