“สโตนเฮนจ์” ทุ่งหินประหลาดขนาดยักษ์ ในประเทศอังกฤษ(ห่างจากกรุงลอนดอนไปประมาณ 90 กม.) นับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง ซึ่งมีลักษณะเป็นทุ่งหินประหลาดขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงรายท่ามกลางท้องทุ่ง โดยมีกลุ่มหินลักษณะต่างๆทั้งตั้ง ทั้งนอน ให้จินตนาการมากมาย ที่ ณ วันนี้ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้สร้าง “สโตนเฮนจ์” ระหว่างธรรมชาติ หรือมนุษย์ หรือมนุษย์ต่างดาว
สำหรับที่เมืองไทย ในจังหวัดชัยภูมิที่ บ้านวังคำแคน ต.ท่าหินโงม อ.เมือง ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูแลนคาก็มีทุ่งหินประหลาดขนาดยักษ์ท่ามกลางท้องทุ่งมากมายหลายก้อนตั้งโดดเด่นอยู่
หลายๆคนยกให้ทุ่งหินยักษ์นี้เป็น“สโตนเฮนจ์เมืองไทย” ในขณะที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกขานทุ่งหินขนาดยักษ์ว่า “มอหินขาว”
“มอหินขาว” ชื่อนี้มีที่มา
“เดิมพื้นที่แถวนี้เป็นป่า ต่อมาได้มีคนมาบุกเบิกทำไร่ และก็เห็นมีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ทั่วไปแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ที่ไร่มันสำปะหลัง(ในสมัยนั้น)ของลุงก็มีก้อนหินใหญ่ขึ้นทั่วไป แต่ที่ลุงเห็นว่าแปลกประหลาดมากก็คือก้อนหินใหญ่ 5 ก้อน ที่ในทุกคืนวันพระ(15 ค่ำ, 8 ค่ำ) จะมีแสงสีขาวส่องขึ้นมา คนเฒ่าคนแก่สมัยนั้นเลยเรียกที่นี่ว่ามอหินขาว”
ลุงรันทม สูนสันเที๊ยะ คนเก่าแก่ของพื้นที่เล่าที่มาของชื่อมอหินขาวให้ฟัง ในขณะที่เจริญ เจสันเที๊ยะ ผู้ใหญ่บ้านวังคำแคนคนปัจจุบัน ผู้บุกเบิกทำมอหินขาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็เล่าทำนองเดียวกันกับลุงรันทมโดยสมทบว่าหลังฝนตกทุกครั้งก้อนหินที่นี่จะมีสะท้อนแสงเป็นสีขาวมองเห็นไปไกล
“ตอนนั้นยังเป็นไร่ของชาวบ้านอยู่ แต่ว่าช่วงประมาณ ปี 40 เริ่มมีคนขับรถขึ้นมาชมก้อนหิน ตอนแรกก็ยังงงอยู่ว่าเขามาทำอะไร แต่พอรู้ว่าเขามาเที่ยวดูก้อนหินก็เลยคิดว่าน่าจะพัฒนาพื้นที่มอหินขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะก้อนที่นี่มีขนาดใหญ่ มีรูปร่างแปลกประหลาดเมื่อมองแล้วสามารถจินตนาการเป็นได้หลายอย่าง”
หลังจากนั้นในปี 2544 ผู้ใหญ่เจริญและชาวบ้านในพื้นที่ก็ได้ร่วมมือกับโรงเรียนสตรีชัยภูมิทำการสำรวจพื้นที่ ก่อนยื่นเรื่อง ต่อป่าไม้จังหวัดชัยภูมิและทางอำเภอ
ต่อมาปี 2545 สุรพล สายพันธ์ นายอำเภอเมืองได้พากรมทรัพยากรธรณีมาสำรวจ ซึ่งก็มีความเห็นว่า พื้นที่มอหินขาวสมควรส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะโดดเด่นไปด้วยก้อนหิน เสาหิน รูปร่างแปลกตาขนาดใหญ่ ซึ่งหาดูได้ยากมากในประเทศไทย
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาพื้นที่มอหินขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดชัยภูมิ
มอหินขาว สโตนเฮนจ์ เมืองไทย
“เสาหินและแท่งหินที่มอหินขาวส่วนใหญ่เป็นหินทรายสีขาว นอกจากนี้ก็ยังมี หินทรายแป้ง หินโคลน หินทรายสีม่วง ซึ่งสันนิษฐานว่าก้อนหินขนาดยักษ์เหล่านี้มีอายุประมาณ 175-195 ล้านปีและเกิดจากการสะสมตัวของตะกอนทรายแป้งและดินเหนียว”
วันชัย อัครทวีทอง เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 7 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 ผู้ประสานงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศมอหินขาวเล่าลักษณะทางธรณีของก้อนหินในมอหินขาว ก่อนที่จะอธิบายถึงลักษณะการเกิดก้อนหินยักษ์ว่า
“เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลงจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ทำให้ชั้นหินเกิดการโค้งงอและแตกหักเมื่อผสมกับการกัดเซาะของน้ำฝนและการไหลของน้ำตามผิวดิน ลานหินที่นี่จึงค่อยเปลี่ยนลักษณะเป็นเสาหินและแท่งหินอย่างที่เห็นในปัจจุบัน”
สำหรับความโดดเด่นของสภาพพื้นที่ท่องเที่ยวมอหินขาวนั้นมีลักษณะเป็นเนินเขาเนื้อที่กว่า 200 ไร่ ซึ่งในพื้นที่มอหินขาวมีจุดเด่นชวนเที่ยวแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ประกอบด้วย
กลุ่มแรกเสาหิน 5 ต้น ซึ่งมีไฮไลท์อยู่ที่เสาหินขนาดยักษ์ 5 ต้น ที่มีความสูงจากผิวดินประมาณ 12 เมตร โดยเสาแต่ละต้นมีขนาดใหญ่รูปร่างแตกต่างกันออกไป เสาต้นที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดถึง 22 คนโอบ ในขณะที่เสาหินบางต้นมีชาวบ้านนำพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้ที่ด้านล่างเพื่อให้ผู้ที่ผ่านไป-มาสักการะบูชา
กลุ่มหินชุดต่อมามีชื่อว่า “ดงหิน” เพราะบริเวณนั้นโดดเด่นไปด้วยก้อนหินขนาดยักษ์รูปทรงต่างๆให้ผู้พบเห็นจินตนาการตาม อาทิ พอเอนปิซ่า กระดองเต่า เจดีย์ กระโจม ศีรษะคน ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าและต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นแซม โดยดงหินบางชุดเมื่อขึ้นไปยืนแล้วมองย้อนออกไปทางไหล่นอกจากจะเห็นกลุ่มหินรูปร่างแปลกตา ยังมองเห็นทิวทัศน์อันเวิ้งว้างของขุนเขาและหมู่บ้านด้านล่าง ซึ่งถือว่านี่คือหนึ่งในจุดชมวิวที่น่าสนใจไม่น้อย
กลุ่มหินชุดที่ 3 มีลักษณะเป็นลานหินขนาดใหญ่ ที่บางคนเรียกว่า“ผากล้วยไม้”เพราะลานหินแห่งนี้เป็นหน้าผาที่เต็มไปด้วยกล้วยไม้และดอกไม้ป่าขึ้นอยู่มากมาย อาทิ เอื้องหมายนา เอื้องม้าวิ่ง กระดุมเงิน โดยในช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนก.ย.-ต.ค. กล้วยไม้ที่นี่จะออกดอกบานสะพรั่งให้สีสันสดใสทั่วลานหิน
สำหรับบริเวณผากล้วยไม้นี้มีเสาหินค่อนน้อย แต่สิ่งที่โดดเด่นในบริเวณผากล้วยไม้ก็คือ ที่นี่คือจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทย ซึ่งในวันที่ฟ้าเป็นใจ(ช่วงหน้าหนาว)เมื่อมองลงไปจากจุดชมวิวผากล้วยไม้ก็จะเห็นทิวทัศน์ของหมู่บ้านและเขื่อนลำปะทาวท่ามกลางแวดล้อมของขุนเขา ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้าก็จะเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมแดงกลับแสงสีทองส่องต้องบริเวณไปทั่ว โดยในบางมุมจะมีฉากหน้าเป็นเงาของต้นไม้ผลิใบเหลือแต่กิ่งก้านขึ้นแทงฟ้าออกมาจากหน้าผาดูสวยงามไปอีกแบบ
จากจุดเด่นต่างๆของมอหินขาวทำให้ปัจจุบันมีคนเริ่มเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่แห่งนี้มากขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนเมื่อมาพบเห็นทุ่งหินประหลาดขนาดยักษ์ ต่างก็มักจะตั้งฉายามอหินขาวให้เป็น“สโตนเฮนจ์ เมืองไทย” เนื่องจากว่ามองดูแล้วมีลักษณะเหมือนกับเป็นน้องๆของสโตนเฮนจ์ อังกฤษ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกไม่น้อยทีเดียว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
มอหินขาว ตั้งอยู่ที่ บ้านวังคำแคน ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ถือเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูแลนคา จากตัวเมืองชัยภูมิเดินทางไปตามเส้นทางสู่น้ำตกตาดโตนประมาณ 18 กม. จากนั้นเจอทางแยกตาดโตน-ท่าหินโงม ให้เลี้ยวซ้ายไปในทางลาดยางขึ้นเขา(12 กม.) ก่อนจะเลี้ยวซ้ายอีกทีเข้าสู่เส้นทางแจ้งเจริญ-โสกเชือก แล้วไปตามถนนลูกรังอีก 6.5 กม. ก็จะถึงบ้านวังแคน จากนั้นต่อขึ้นเขาไปตามถนนลูกรังอีก 3.5 กม.ก็จะถึงยังมอหินขาว ซึ่งในเส้นทางถนนลูกรังจะมีฝุ่นเยอะมาก
พื้นที่มอหินขาวในปัจจุบันทางจังหวัดชัยภูมิยังไม่ได้เปิดพื้นที่มอหินขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เพราะว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับปรุงทางขึ้น การจัดภูมิทัศน์ การฝึกอบรมไกด์ท้องถิ่น การทำป้ายสื่อความหมาย การทำเส้นทางท่องเที่ยว และการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อมมากขึ้น
แต่มอหินขาวสามารถขับรถขึ้นไปเที่ยวและพักค้างแรมได้ เพราะลานกว้างไว้ให้กางเต็นท์พร้อมมีห้องน้ำอำนวยความสะดวก ซึ่งผู้สนใจควรสอบถามรายละเอียดก่อนออกเดินทางที่ วันชัย อัครทวีทอง 0-1976-0486 หรือที่ อุทยานแห่งชาติภูแลนคา 0-4481-0902-3