จับตาโครงการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จะออกหัวออกก้อย ท่ามกลางกระแสผลักดันให้สร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ของภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐในจังหวัด เชื่อเป็นกลไกสำคัญพัฒนาเศรษฐกิจ และด้านการท่องเที่ยวให้รุดหน้า ขณะที่ลูกหาบค้านสุดท้าย วอนทุกฝ่ายมองให้รอบด้าน ทั้งผลกระทบทางสังคมการทำลายสิ่งแวดล้อม ชี้ฝ่ายผลักดันจ้องแต่ให้เกิด กลับไม่เคยหาทางออกให้กลุ่มลูกหาบ
หลังจากนายกรัฐมนตรี มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาผลกระทบโครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง ในเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ทำให้เกิดเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่มนักอนุรักษ์ที่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากห่วงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการท่องเที่ยวบนยอดภูกระดึงนั้น
ยงยุทธ ติยะไพรัช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า จากการที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงนั้น ความจริงแล้ว ทางรัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนั้น
แต่ให้ความสำคัญเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชน และการสร้างอาชีพมากกว่า ส่วนการสร้างกระเช้า ยังไม่ได้มีการตกลงว่าจะสร้างหรือไม่ เพราะจะต้องมีการศึกษาผลกระทบก่อน ขณะนี้องค์การบริหารพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) กำลังศึกษาผลกระทบ คาดว่า จะใช้เวลา 4 เดือน จึงจะสรุปได้ และหากมีผลเสียมากกว่าผลดีก็จะไม่สร้าง แต่ถ้ามีผลดีมากกว่า ก็ต้องมาดูว่า ผลเสียที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร สามารถเยียวยาได้อย่างไร
ขณะที่ สุรพล ดวงแข เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง เนื่องจากหากพิจารณาตามหลักเกณฑ์แล้ว ผิดทั้งหลักกฎหมาย และหลักการ
"โดยกฎหมายอุทยาน ระบุไว้ชัดเจนว่า ไม่สามารถทำอะไรกับพื้นที่อุทยานได้ แม้กระทั่งตัดต้นไม้ แต่ยกเว้นการกระทำของเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลรักษาธรรมชาติให้คงอยู่ ซึ่งถ้าเราเคารพกฎหมาย และหลักวิชาการ ก็ไม่จำเป็นจะต้องสร้างกระเช้า และไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรที่นั่นเลย
แต่เรานิยมการใช้งบประมาณ และไม่มีการรักษาระเบียบวินัย อีกทั้งยังขาดการจัดการปัญหาที่ดี ยึดแต่หลักการด้านธุรกิจเป็นหลัก ซึ่งทำให้อุทยานแห่งชาติของประเทศไทยเสียหายมาแล้วหลายแห่ง อาทิ หมู่เกาะพีพี ซึ่งกลายเป็นสถานที่ที่ไร้ระเบียบวินัย"
สุรพล กล่าวต่อว่า ปัญหาของภูกระดึงขณะนี้ อยู่ที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป และขึ้นไปสร้างความสกปรกบนภูกระดึง จึงต้องไปแก้ปัญหาตรงจุดนั้น ด้วยการลดปริมาณนักท่องเที่ยว ซึ่งเสนอว่าควรใช้วิธีการแจกบัตรคิวสำหรับผู้ที่ต้องการขึ้นไปแทน ส่วนผู้สูงอายุก็อาจจะใช้วิธีการเปิดบริการกระบุงสำหรับหอบผู้สูงอายุ ซึ่งมีการเปิดบริการเช่นนี้ ที่เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งสูงกว่าภูกระดึงเสียอีก
ด้านประยงค์ อัฒจักร ผู้ประสานงานมูลนิธิเลยเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า ค่อนข้างห่วงขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของอุทยาน ซึ่งขณะนี้มีมากจนล้น ทำให้เกิดปัญหาขยะ ห้องน้ำ และน้ำ ไม่เพียงพอในช่วงฤดูท่องเที่ยว
ดังนั้น ควรต้องเอาตัวเลขตรงนี้มาดูให้ชัดเจนว่า ภูกระดึงควรจำกัด หรือรับนักท่องเที่ยวเท่าใด ส่วนที่รัฐบอกว่าสร้างกระเช้าแล้วจะได้เอาขยะลงมาทิ้งข้างล่างนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ควรควบคุมโดยให้นักท่องเที่ยวรับผิดชอบ เช่น ชั่งน้ำหนักขยะทั้งตอนขึ้นและตอนลง ใช้ระบบมัดจำหรือปรับคนที่ไม่ปฏิบัติ เป็นต้น
ส่วนอดุลย์เดช ติยะบุตร แกนนำเครือข่ายองค์กรประชาชนเพื่อสาธารณประโยชน์จังหวัดเลย เปิดเผยว่า ส่วนตัวรู้สึกดีใจที่ผู้ว่าฯเลยออกมาให้สัมภาษณ์ ในทำนอง ว่า จะไม่ผลักดันโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ภูกระดึงเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในวันนี้ (10 ม.ค.)
เพราะส่วนตัวเห็นว่า โครงการดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การให้ความรู้ประชาชนในพื้นที่ยังไม่เพียงพอ ไม่มีการจัดทำประชาพิจารณ์จากสถาบันที่เป็นกลาง รวมทั้งการดูแลกลุ่มลูกหาบและผู้ค้าในเขตอุทยาน ที่จะได้รับผลกระทบก็ยังไม่มีความชัดเจน
ด้านสุเครื่อง บุรินทร์กุล ประธานหอการค้าจังหวัดเลย เปิดเผยว่า ภาคเอกชนกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 4 จังหวัด คือ เลย อุดรธานี หนองคาย และหนองบัวลำภู จะร่วมหารือกับ นายกรัฐมนตรี เตรียมเสนอยุทธศาสตร์พัฒนากลุ่มจังหวัด มุ่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ยกคุณค่ามาตรฐานสินค้าการเกษตร การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว โครงการสร้างถนน 4 เลน รองรับการพัฒนาการค้าตามแนวชายแดน
นอกจากนี้ จะเสนอเร่งรัดรัฐบาลผลักดันโครงการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เพราะจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จ.เลย เพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวจากปีละ 70,000-100,000 คน เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเพียง 700 ล้านบาทต่อปี เพิ่มเป็น 2 ล้านคน และมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี
สุเครื่อง กล่าวว่า การสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งการก่อสร้างไม่กระทบสิ่งแวดล้อม จากการสำรวจออกแบบก่อสร้างใช้เสา 16 ต้น แต่ละฐานใช้พื้นที่ไม่เกิน 100 ตารางวา ใช้พื้นที่เพียง 4 ไร่ และเสาที่ใช้ติดตั้งสูงกว่ายอดไม้ ไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่า อีกทั้งไม่กระทบกลุ่มอาชีพลูกหาบเดิม เพราะจะก่อสร้างคนละจุดกับทางเดินเท้าขึ้นภูกระดึง และเรื่องนี้คนในท้องถิ่นไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
สำหรับโครงการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง เป็นโครงการที่ภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเลย ร่วมกันผลักดันมากว่า 20 ปี ท่ามกลางกระแสคัดค้านของกลุ่มลูกหาบ และองค์กรเอกชนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งโครงการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง เห็นรูปเห็นร่างในรัฐบาลชุดนี้
โดยคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบตามโครงการเบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งเรื่องทั้งหมดอยู่ที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (อพท.) ที่จะผลักดันสำเร็จต่อไป
การผลักดันสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ถือเป็นประเด็นหลักที่ภาคเอกชนโดยหอการค้าจังหวัดเลย นำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม.นอกสถานที่ ณ จังหวัดเลย เพื่อนำเสนอให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พิจารณาเห็นชอบอนุมัติให้ดำเนินตามโครงการ เพราะที่ผ่านมาผลการศึกษาด้านต่างๆ รวมถึงประมาณการค่าก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หาก ครม.พิจารณา ก็จะสามารถดำเนินการได้ทันที
อีกเสียงหนึ่งของ ฉลอง ทรัพย์อุดม อายุ 39 ปี ประกอบอาชีพลูกหาบ ที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง มาตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปัจจุบัน กล่าวถึงโครงการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ว่า กลุ่มผู้ประกอบอาชีพลูกหาบ ไม่เห็นด้วยที่จะให้ก่อสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง เพราะเกิดผลกระทบในหลายด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ต้องตัดไม้ทำลายป่า ปัญหาขยะ และปัญหาสังคมของกลุ่มลูกหาบ บางรายตกงาน หรือรายได้ลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
การสร้างกระเช้าภูกระดึง ทั้งตัวฐาน จุดพัก จะต้องตัดไม้จำนวนไม่น้อย เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็ยอมรับว่า มีคนมาเที่ยวสูงขึ้นแน่ แต่การที่คนมาเที่ยวจำนวนมาก ก็เป็นสาเหตุหลักของการทำลายสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างน่ากลัว เพราะจะเกิดการทิ้งขยะจำนวนมาก ปัญหาไฟป่า และปัญหาอื่นๆ ตามมา
“การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวมาภูกระดึง ไม่ส่งผลดีต่อกลุ่มผู้ประกอบอาชีพลูกหาบ แม้ว่าการเดินเท้าขึ้นภูกระดึงทางฝ่ายผลักดันให้สร้าง จะเสนอว่า ยังคงเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ความสะดวกของกระเช้าไฟฟ้าที่สามารถไป-กลับได้ใน 1 วัน จะทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่พักบนภูกระดึง กระเป๋า หรือสัมภาระติดตัวน้อย การใช้บริการลูกหาบจะน้อยลงไปด้วย หากสร้างกระเช้าไฟฟ้าจริง กลุ่มลูกหาบทั้ง 400 คน ได้รับผลกระทบแน่” นายฉลอง กล่าวและว่า
อาชีพลูกหาบ ถือเป็นแหล่งรายได้หลักของประชาชนในพื้นที่ อ.ภูกระดึง ที่สามารถเลี้ยงครอบครัวมายาวนาน ประกอบกับลูกหาบส่วนใหญ่ มีวุฒิการศึกษาค่อนข้างต่ำ เพียงแค่ ป.4 – ป.6 เท่านั้น หากต้องหางานทำใหม่ คงต้องไปเป็นคนงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ ซึ่งรายได้ต่ำกว่าอาชีพลูกหาบมาก ไม่พอเลี้ยงคนในครอบครัวแน่ หนำซ้ำยังต้องทิ้งครอบครัวไปเป็นระยะเวลานาน
“ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เคยเข้ามาชี้แจงถึงโครงการ โดยยกเหตุแต่ด้านดีมาบอกกับกลุ่มลูกหาบ ว่า จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของคนในพื้นที่ มีคนมาเที่ยวเพิ่ม รายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาสู่ท้องถิ่นจะสูงขึ้น
ส่วนรายได้ขอลูกหาบลดลง เจ้าหน้าที่รัฐกลับยังไม่มีแนวทางที่จะมาช่วยแก้ปัญหาที่ชัดเจนออกมา โดยกลุ่มลูกหาบจะพยายามต่อสู้ เพื่ออนุรักษ์อาชีพลูกหาบไว้คู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงตลอดไป เพราะอาชีพลูกหาบถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของการมาท่องเที่ยวที่ภูกระดึง" ฉลอง ทรัพย์อุดม กล่าว


