xs
xsm
sm
md
lg

จับไก่ !!!/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
ตามต่างจังหวัดยังคงมีหลายๆบ้านนิยมเลี้ยงไก่เพื่อเอาไว้ชน เอาไว้กิน และเอาไว้ขาย
 
...ปีไก่จากลา ปีหมามาเยือน...

ในรอบ 1 ขวบปีไก่ ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่แบบคนหัวใจมีตีนที่เดินทางไปโน่นมานี่เป็นกิจวัตร ซึ่งก็ได้พานพบสารพัดเรื่องราวที่ชวนให้ สนุก สุข เศร้า เหงา แฮ้งก์ แตกต่างกันออกไป

ครั้นปีหมามาเยือนอนาคตข้างจะเป็นอย่างไร ไม่อาจฟันธงได้ แต่กับชีวิตที่ผ่านๆมาผมรู้สึกว่าจะไม่ค่อยถูกโฉลกกับหมาสักเท่าไหร่ ส่วนไก่นั้นถูกโฉลกมากกว่า เพราะผมกินไก่แต่ไม่กินหมา(แต่ก็มีเผลอกินเนื้อหมาบ้างเป็นบางครั้งคราวเนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์) ซึ่งก็มีการกินไก่อยู่ครั้งหนึ่งที่แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ว่าผมยังคงจำไม่มีวันลืม

เรื่องนี้เกิดขึ้นในครั้งที่ผมกับเพื่อนๆไปออกค่ายอาสาพัฒนาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อเกือบ 10 ที่แล้ว การออกค่ายครั้งนั้นพวกเราเลือกไปสร้างสุขศาลาหรืออาคารอนามัยให้กับหมู่บ้านโบอ่อง ต.ปิล๊อค อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

บ้านโบอ่อง เป็นหมู่บ้านที่มีลักษณะคล้ายเกาะกลางน้ำของเขื่อนเขาแหลมที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก สำหรับการสัญจรเข้า-ออก ที่สะดวกที่สุดก็คือทางเรือ

ชาวบ้านโบอ่องส่วนใหญ่เป็นชาวกระเหรี่ยงทำไร่ทำนากันตามอัตภาพ อาหารการกินก็มาจากการเลี้ยงหมู ไก่ เป็ด การจับปลาในทะเลสาบของเขื่อน

ช่วงที่พวกเราทำค่าย อาหารการกินส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร ปลากระป๋อง ไข่ บะหมี่ซอง น้ำพริก เครื่องปรุงรสต่างๆ รวมถึงเหล้า ล้วนนำมาจากกรุงเทพฯ ส่วนพวกผัก หมู 3-4 วันพอหมดทีก็จะนั่งเรือไปซื้อในตลาดกันที ส่วนปลานั้นซื้อสดๆจากชาวบ้าน

อาหารของชาวค่ายจึงวนเวียนอยู่กับหมู ปลา ผัก บะหมี่ซอง ปลากระป๋อง น้ำพริกสำเร็จรูปและน้ำพริกที่ชาวบ้านตำมาให้ แต่ว่ามีอยู่วันหนึ่งผมกับเพื่อนร่วมก๊วนสุรารู้สึกเบื่อเมนูเดิมๆ อยากกินไก่ขึ้นมาตะหงิดๆ จึงปรึกษากับพี่อู๋ คณะกรรมการหมู่บ้านที่มาคอยช่วยเหลือพวกเรา ว่าเย็นนี้อยากกินต้มยำไก่บ้าน(แกล้มเหล้า)ให้เพลินปากกันสักหน่อย

มื้อนี้พี่อู๋บอกไม่มีปัญหา...เดี๋ยวจัดให้

จากนั้นแกก็หายไปสักพักก่อนจะกลับมาด้วยเครื่องต้มยำ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก มะนาว แต่งานนี้ยังไม่มีไก่ให้มาลงหม้อ เพราะไก่ต้องไปซื้อที่บ้านขายไก่

ว่าแล้วพี่อู๋ก็ชวนผมซ้อนรถแมงกะไซค์บุโรทั่งรุ่นสงครามโลกที่เป็นมอเตอร์ไซค์หนึ่งเดียวในหมู่บ้าน ขับปุเลงๆไปตามทางลูกรังขึ้นๆลงๆ ก่อนจะมาหยุดยังที่หน้าบ้านขายไก่

“มาซื้อไก่เรอะ”

ลุงเจ้าของบ้านชะโงกหน้าจากหน้าต่างตะโกนถามพวกเรา ก่อนจะเดินลงมาเพื่อตกลงราคา

จังหวะนี้ผมยังจินตนาการไม่ออกว่าไก่ที่จะซื้อกลับไปเป็นแบบไหน...แต่รู้ว่าไม่ใช่ไก่ที่เชือดพร้อมถอนขนเสร็จสรรพอย่างในตลาดแน่นอน เพราะดูยังไงก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีไก่ชำแหละแล้วอยู่ที่บ้านลุงขายไก่เลย

เอ...หรือว่าลุงแกจะไปจับไก่ในสุ่มมาเชือดขายให้เรา...

เอ...หรือว่าลุงแกจะจับไก่ตัวเป็นๆในสุ่มให้เรากลับไปเชือดกันเอง

ก่อนที่ผมจะนึกไปไกลกว่านี้ ลุงขายไก่พาพวกเราเดินไปดูไก่ 4-5 ตัว ที่กำลังคุ้ยเขี่ยหากินอยู่หลังบ้าน พร้อมๆกับยืนยิ้มเผล่ฟันเปื้อนน้ำหมากแดงเถือกชี้ไปยังไก่ตัวโตที่สุดที่มีขนตรงคอเป็นสีแดงเข้ม

“ไอ้ตัวโตคอแดงนั่นแหละ”ลุงขายไก่บอก

พี่อู๋พอรู้ว่าเป็นไก่ตัวไหน แกบอกผมให้รอสักพักก่อนจะขับแมงกะไซค์คันเก่าหายไปประมาณ 10 นาที

การกลับมาครั้งนี้ พี่อู๋พาเพื่อนมาช่วยจับไก่อีกหนึ่งคน จากนั้นทั้งคู่พากันค่อยๆย่องกระดึ๊บๆเข้าไปแบบกลัวไก่ตื่นเต็มที่ พอเห็นจังหวะเหมาะ พี่ 2 คนต่างก็โถมพุ่งไปจับไก่สุดตัว

...กระต๊ากๆ กระโต๊กๆ กุ๊กๆ และ ตูม!!!...ฝูงไก่แตกฮือ ส่งเสียงร้องลั่นทุ่ง ส่วนคนชนกันโครมเบ้อเร่อคว้ามาได้แต่อากาศธาตุ ในขณะที่ไอ้คอแดงบินพรึ่บมาทางผม

“เอ้า ไอ้น้อง...ไก่มันวิ่งไปทางนั้นแล้ว ต้อนมันมาเร็ว” พี่อู๋บอกกับผม

หา!!! ผมงงเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่คิดว่าจะต้องมาร่วมวง(วิ่ง)จับไก่ตัวเป็นๆแบบนี้ด้วย

แต่งานนี้เมื่ออยากกินไก่ก็ต้องช่วยกันจับไก่ให้ได้ก่อน และก็ดูเหมือนว่าไอ้คอแดงจะรู้ตัวแล้ว มันวิ่งเตลิดหายเข้าไปในไร่มันสำปะหลัง ส่วนพวกเราก็กวดไล่หลังตามไปอย่างกระชั้นชิด

ไอ้คอแดง บินๆ วิ่งๆ ไปทางไหน 2 เราก็ทำสารพัดวิธีในการไล่ตาม ไม่ว่าจะเอาไม้เขวี้ยง วิ่งล้อมหน้า ล้อมหลัง วิ่งตามตูด แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังรอดพ้นเงื้อมมือไปอยู่ดี

เรา 3 คนวิ่งไล่ไก่เข้าๆออกๆ ก้มๆเงยๆในไร่มันร่วม 20 นาที ห่างออกมาจากบ้านขายไก่ไกลโข(น่าจะหลายกิโลเมตรอยู่) จนต้องขอเวลานอกพักเหนื่อย หอบแฮ่กๆ

คนเหนื่อย ไก่ก็เหนื่อยไม่แพ้กัน

คนหอบ ไก่ก็หอบไม่แพ้กัน

แต่ยามที่คนเจ้าเล่ห์ ไก่กลับไม่รู้เท่าทัน

“สงสัยต้องเปลี่ยนแผนใหม่” พี่อู๋บอก ก่อนที่พวกเราจะสุมหัววางแผนใหม่

จากนั้นเพื่อนพี่อู๋ทิ้งไม้เดินหายไป ส่วนผมกับพี่อู๋ไล่ต้อนไก่ออกมาจากไร่มัน จากนั้นก็ไล่กวดให้มันไปทางป่าละเมาะบริเวณเชิงเขา

ไอ้คอแดง วิ่งๆบินๆ ส่วนเรา 2 คน ก็วิ่งๆหอบๆ กวดตามไปห่างๆ

ต้องบอกงานนี้ไอ้คอแดงพลาดมหันต์เพราะมันดันวิ่งไปตามเส้นทางเดินขึ้นเขา และมันก็ดันวิ่งมาเข้าทางของพวกเราเสียด้วย

ระหว่างที่ไอ้คอแดงกำลังวิ่งหนีสุดชีวิตอยู่นั้น จู่ๆไม้ท่อนหนึ่งก็ถูกเหวี่ยงออกมาจากหลังพุ่มไม้กระทบกับร่างไอ้คอแดงดังตุ๊บ!!!ใหญ่ มันร่วงผล็อยทันที

เพื่อนพี่อู๋ที่ซุ่มโจมตีอยู่รีบโผพุ่งออกจากพุ่มไม้รวบขาไอ้คอแดงที่นอนสิ้นฤทธิ์อยู่ ก่อนที่พี่อู๋จะหิ้วไอ้คอแดงกลับมาบ้านขายไก่ พร้อมกับจ่ายเงินค่าไก่ให้กับลุงขายไก่ที่แกยังคงยืนยิ้มเผล่ฟันเห็นน้ำหมากแดงเถือกเหมือนเดิม เพราะเรื่องเช่นนี้ สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าคอนกรีตอย่างผมอาจจะไม่คุ้นเคย แต่สำหรับชาวบ้านโบอ่องนี่คือวิถีปกติของพวกเขา

ส่วนไอ้คอแดงวันนี้ถือเป็นวันจบสิ้นวิถีชีวิตตามปกติของมันแล้ว ช่วงเย็นมันถูกจับเชือดส่งลงหม้อ กลายเป็นต้มยำไก่บ้าน ที่เพื่อนผมหลายๆคนเมื่อได้ลิ้มลองต่างออกปากชมว่า รสแซ่บเหลือหลาย เนื้อไก่แน่นหนึบ

ส่วนผมมื้อเย็นของวันนั้นถือว่าไม่ปกติเช่นกัน เพราะจากคนที่กินไก่เป็นปกติ แต่มื้อนั้นผมกินไก่ไม่ลงจริงๆเพราะภาพไอ้คอแดงตอนถูกท่อนไม้ฟาดดิ้นกระแด่วๆ และภาพตอนมันถูกเชือดเลือดพุ่งลำคอเป็นสีแดงสมดังชื่อยังติดตาผมอยู่

สำหรับไอ้คอแดงนอกจากมันจะเป็นอาหารอันโอชะแล้ว มันยังให้อุทาหรณ์เตือนใจผมด้วยว่า เรื่องราวบางเรื่องที่มองผ่านเหมือนไม่มีอะไรยากเย็นนั้น แต่ว่าหากมองให้ลึกลงไปมันเต็มไปด้วยความยากลำบากและความเจ็บปวดยิ่งนัก

งานนี้นอกจากผมจะรู้สึกผิดที่ไปไล่จับไอ้คอแดงมาต้มยำกินแล้ว ผมยังเชื่อในคติ “บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน”อีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น