โดย : ปิ่น บุตรี

1...
คืนเปลี่ยน วันผ่าน
เผลอแผล็บเดียวกาลเวลาเดินทางเข้ามาสู่ปลายปี(อีก)แล้ว
อีกไม่นานวันเวลาก็จะเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ พ.ศ.ใหม่(อีกครั้ง) และการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆสำหรับใครหลายๆคน
สำหรับผมสิ่งใหม่ๆที่พบได้เป็นรูปธรรมชัดเจน นั่นก็คือ ปฏิทิน(ใหม่)และตัวเลขอายุที่เปลี่ยนใหม่(เพิ่มมากขึ้น)ซึ่งใจเราไม่อยากให้มันเปลี่ยนเลย เพราะนั่นหมายถึงเรา“แก่ขึ้น” (อีกหนึ่งปี)
แต่นี่คือสัจธรรมของทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง(ตามกาลเวลา)
ที่ถนนพระอาทิตย์ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน เพราะนับตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. เป็นต้นไปถนนพระอาทิตย์จะไม่มี“ร้านหนังสือเดินทาง”ให้เห็นอีกแล้ว เพราะร้านนี้จะย้ายไปอยู่ที่ใหม่(แถวผ่านฟ้า)ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ใกล้ๆกัน แต่สำหรับผมแล้วรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างได้ขาดหายไปจากถนนพระอาทิตย์และหายไปจากความคุ้นเคยของชีวิต
2...
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว“อำนาจ รัตนมณี” หรือ“หนุ่ม” เลือกใช้ชีวิตตามความฝันของตัวเองด้วยการมาเปิดร้านขายหนังสือเล็กๆ บนถนนพระอาทิตย์เยื้องๆกับป้อมพระสุเมรุ ในชื่อ “ร้านหนังสือเดินทาง”(Passport)
(หนุ่ม : ตอนนั้นผมรู้สึกว่าจะไปด้วยกันไม่ค่อยดีกับการทำงาน และเมื่อใจคิดอยู่ตลอดว่าอยากจะหาอะไรทำในแบบของตัวเอง ประจวบเหมาะกับที่ได้ข่าวว่ามีห้องว่างให้เช่า จึงไปขอเช่ามาทั้งๆที่มองไม่ออกเลยว่าธุรกิจหนังสือเป็นอย่างไร แต่ด้วยความคุ้นเคยกับแถวนี้(หนุ่มเรียนรัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์) เลยทำให้เราอยากไปผจญกับชีวิต หากมันไม่ประสบความสำเร็จก็ถือเป็นบทเรียน)
เมื่อ 4 ปีที่แล้วผมได้รู้จักกับร้านหนังสือเล็กๆชื่อ “ร้านหนังสือเดินทาง”บนถนนพระอาทิตย์หลังจากที่หนุ่มเปิดร้านได้ไม่กี่วัน
(หนุ่ม : คำว่าหนังสือเดินทาง ถ้ามองในแง่ของคนที่จัดหลักภาษา หนังสือเป็นประธาน เดินทางเป็นกริยา มันก็มีความหมายว่าหนังสือมันเดินทางได้ หรือหมายถึงหนังสือที่เกี่ยวกับการเดินทางก็ได้อีก หรือหนังสือเดินทางที่หมายถึงสิ่งจำเป็น(มาก)ต้องพกพาขณะเดินทางไปไหนมาไหน ซึ่งเปรียบเทียบก็หมายถึง ใครมาร้านนี้ที่ก็จะได้อะไรบางอย่างที่จำเป็นมากสำหรับเดินทาง นอกจากนี้หนังสือเดินทางยังหมายถึงพาสปอร์ต คนยังเข้ามาถามเลยว่า ร้านนี้รับทำพาสปอร์ตบ้างไหม)
4 ปีที่ผ่านมาผมเดินเข้าเดินออกร้านหนังสือเดินทางอยู่บ่อยครั้ง(นับเป็นร้านหนังสือที่ผมเข้าๆออกๆมาที่สุดในรอบ 4 ปี) เพราะร้านนี้อยู่ใกล้ออฟฟิศมากที่สุด(ขี้เกียจไปหาซื้อหนังสือที่ไกลๆ) ร้านนี้เต็มไปด้วยหนังสือที่น่าสนใจ(สำหรับผมเพราะชอบเดินทางท่องเที่ยว) เป็นดังโลกกว้างในร้านแคบ
(หนุ่ม : การเดินทางไม่จำเป็นต้องเดินทางแบบไปไหนมาไหน แค่อ่านหนังสือสักเล่มหนึ่งมันก็คือการเดินทางในโลกของหนังสือ มันก็เลยแบ่งประเภทหนังสือในร้านว่า มีพวกสารคดี มีพวกข้อมูลไกด์บุ๊ค และมีพวกความคิดจินตนาการของนักเดินทาง)
นอกจากนี้การที่ผมเที่ยวเข้าๆออกๆร้านนี้บ่อยๆก็เพราะความเหมือนของเลขที่ร้าน(142)ที่บังเอิญไปเหมือนกับเลขที่ร้านหนังสือของ ฮิว แกรนด์ ในหนังเรื่อง“น้อตติ้งฮิลล์”แบบไม่ได้ตั้งใจ(แต่ผมเข้าร้านนี้แบบตั้งใจ เพราะกะฟลุ๊คว่าอาจจะได้เจอผู้หญิงแบบจูเลีย โรเบิร์ต เข้าร้านมาบ้าง)
3...
แน่นอนว่าเมื่อเปิดร้านมา 4 ปี นอกจากกำไร ขาดทุน ผู้คนที่เวียนเข้า-ออกร้านหนังสือเดินทางที่ระคนความ สนุก สุข เศร้า เหงา ขำ(คนละแบบกับอัลบั้มสุข เศร้า เหงา แฮงก์ ของน้าแอ๊ด ไก่ชน เอ๊ย!!! ไม่ใช่ น้าแอ๊ด คาราบาว) ก็นับเป็นอีกหนึ่งสีสันของชีวิตที่เกิดขึ้นในร้านหนังสือเดินทาง
สนุก
หนุ่มเล่าให้ผมฟังว่า ลูกค้ากลุ่มหนึ่งของร้านหนังสือเดินทางไม่ใช่มาเพื่อซื้อหนังสือ แต่ว่ามาเพราะคาดหวังว่าจะได้เจอใครบางคน(อย่างกับผมที่หวังฟลุ๊คว่าจะเจอผู้หญิงอย่างจูเลีย โรเบิร์ต) เจอเพื่อนที่คุยกันได้ หลายคนจึงมาที่นี่เพื่อที่จะมาหาแรงบันดาลใจ หรือบางทีมาเพื่ออยากระบายอะไรสักอย่างให้หนุ่มฟัง
“หลังๆมาที่กลายเป็นชุมชนเล็กๆ บางคนมาได้งานทำจากที่นี่ ถือเป็นเสน่ห์ของร้านนี้ที่ทำให้คนที่เข้ามามีส่วนร่วมมากกว่าเป็นลูกค้าอย่างเดียว”
ขำๆ
หนุ่มเล่าว่า ไม่ได้มีคนดีเสมอไปที่เข้ามาในร้านนี้ เพราะร้านนี้มีขโมยเข้ามาบ่อย ฝรั่งก็มี ทำให้คนในร้านต้องหูไวตาไว(แต่กระนั้นก็ไม่วายโดนจนได้)
“มีคนเข้ามาขโมยหนังสือในสารพัดรูปแบบที่เห็นกันจะจะก็คือ มากัน 3 คน คนนึงถือหนังสือพิมพ์ แล้วขโมยหนังสือสอดไส้เข้าข้างในเราเห็นแล้วอึ้งเลย ไม่ใช่แค่หนังสือ กล้องผมก็เคยโดน เป็นกล้องที่มีคนมาฝากขาย(ในร้านหนังสือเดินทาง) มีคนมาเผลอแป๊บเดียว เขาฉกกล้องหายไปเลย เรื่องนี้เราไม่ได้อะไรแต่ต้องชดใช้ แต่เรื่องที่น่าแปลกใจก็คือ หลังจากโดนขโมยกล้องไม่กี่วัน จู่ๆก็มีคนมาขอถ่ายหนัง แล้วผมก็ได้เงินกลับมาก้อนหนึ่ง”(ไม่เพียงแค่กรรมเท่านั้นที่ติดจรวดบุญก็ติดจรวดได้เช่นกัน)
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านหนังสือเดินทางซึ่งหนุ่มบอกว่า “เวลาเจอขโมยหรือเจอกลโกงต่างๆ ถ้าเรามองให้มันแง่ตลกมันก็ตลก มองให้ขำมันก็ขำ แต่ช่วงเวลาที่เราสูญเสียตรงนั้นมันอาจจะไม่เข้าใจ แต่พอผ่านไปก็ไม่เป็นไร”(เรื่องนี้ผมฟังแล้วรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น(ในการลุ้นจับขโมย)และน่าหงุดหงิดใจมากกว่า)
สุข(ระคนเหงา)
แม้ว่าในแต่ละวันหนุ่มจะเจอคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้า-ออกร้านอยู่ไม่ได้ขาด (ร้านหนังสือเดินทางเปิดขายทุกวัน ในช่วงประมาณ เที่ยงไปถึงประมาณ 2 ทุ่ม)แต่ว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของหนุ่มกับเป็นช่วงที่เขาปิดร้าน
“ช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดก็คือช่วงเวลาที่ปิดร้าน เพราะเจอคนมาทั้งวันแล้ว พอปิดร้านผมจะนั่งอย่างมีความสุขบนเก้าอี้ การได้อยู่คนเดียวเป็นอะไรที่ผมโหยหา แต่สิ่งนี้ไม่มีมานาน(มาก)แล้ว”
หนุ่มเล่าความสุขกับการที่ได้อยู่คนเดียวให้ฟัง(สำหรับผมนี่คือความสุขที่มีเงาเป็นเพื่อน)
เศร้า
เรื่องที่อาจจะฟังดูเศร้าสำหรับบางคนและสำหรับหนุ่ม(ในช่วงนี้) เกี่ยวกับร้านหนังสือเดินทาง การที่ร้านหนังสือเดินทางต้องเดินทาง(ย้าย)จากถนนพระอาทิตย์ไปในที่ใหม่แถวผ่านฟ้า(เหตุที่หนุ่มต้องย้ายร้านเพราะค่าเช่าร้าน ขึ้นราคาไปอยู่ที่ 40,000 กว่าต่อเดือนทำให้เขาสู้ราคาไม่ไหว)
“ผมคิดว่าร้านหนังสือเดินทางวันหนึ่งก็คงมีวันปิด แต่ว่าปิดแล้วมันก็เปิดใหม่ได้ แต่ในแง่หนึ่งมันเสียดาย เพราะว่านี่คือสิ่งที่เราสร้างมากับมือ มันมีความทรงจำ มีเพื่อนฝูงและมิตรภาพ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นบนร้านเล็กๆ ตรงนี้ คงนึกถึงมัน คนอื่นอาจจะไม่จำ แต่สำหรับผมมันลืมไม่ได้”
สำหรับปรากฏการณ์ร้านหนังสือเดินทางบนถนนพระอาทิตย์ดูๆไปคล้ายกับวงเล็บในสวนอักษรที่หากว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ ฉันใดก็ฉันเพล ที่ร้านหนังสือเดินทางจะมีอยู่ก็ได้ ไม่มีอยู่ก็ได้ บนถนนพระอาทิตย์ แต่ว่าเมื่อมีแล้วนับเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ถนนพระอาทิตย์ดูมีเสน่ห์และสีสันมากขึ้น...
1...
คืนเปลี่ยน วันผ่าน
เผลอแผล็บเดียวกาลเวลาเดินทางเข้ามาสู่ปลายปี(อีก)แล้ว
อีกไม่นานวันเวลาก็จะเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ พ.ศ.ใหม่(อีกครั้ง) และการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆสำหรับใครหลายๆคน
สำหรับผมสิ่งใหม่ๆที่พบได้เป็นรูปธรรมชัดเจน นั่นก็คือ ปฏิทิน(ใหม่)และตัวเลขอายุที่เปลี่ยนใหม่(เพิ่มมากขึ้น)ซึ่งใจเราไม่อยากให้มันเปลี่ยนเลย เพราะนั่นหมายถึงเรา“แก่ขึ้น” (อีกหนึ่งปี)
แต่นี่คือสัจธรรมของทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง(ตามกาลเวลา)
ที่ถนนพระอาทิตย์ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน เพราะนับตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. เป็นต้นไปถนนพระอาทิตย์จะไม่มี“ร้านหนังสือเดินทาง”ให้เห็นอีกแล้ว เพราะร้านนี้จะย้ายไปอยู่ที่ใหม่(แถวผ่านฟ้า)ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ใกล้ๆกัน แต่สำหรับผมแล้วรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างได้ขาดหายไปจากถนนพระอาทิตย์และหายไปจากความคุ้นเคยของชีวิต
2...
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว“อำนาจ รัตนมณี” หรือ“หนุ่ม” เลือกใช้ชีวิตตามความฝันของตัวเองด้วยการมาเปิดร้านขายหนังสือเล็กๆ บนถนนพระอาทิตย์เยื้องๆกับป้อมพระสุเมรุ ในชื่อ “ร้านหนังสือเดินทาง”(Passport)
(หนุ่ม : ตอนนั้นผมรู้สึกว่าจะไปด้วยกันไม่ค่อยดีกับการทำงาน และเมื่อใจคิดอยู่ตลอดว่าอยากจะหาอะไรทำในแบบของตัวเอง ประจวบเหมาะกับที่ได้ข่าวว่ามีห้องว่างให้เช่า จึงไปขอเช่ามาทั้งๆที่มองไม่ออกเลยว่าธุรกิจหนังสือเป็นอย่างไร แต่ด้วยความคุ้นเคยกับแถวนี้(หนุ่มเรียนรัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์) เลยทำให้เราอยากไปผจญกับชีวิต หากมันไม่ประสบความสำเร็จก็ถือเป็นบทเรียน)
เมื่อ 4 ปีที่แล้วผมได้รู้จักกับร้านหนังสือเล็กๆชื่อ “ร้านหนังสือเดินทาง”บนถนนพระอาทิตย์หลังจากที่หนุ่มเปิดร้านได้ไม่กี่วัน
(หนุ่ม : คำว่าหนังสือเดินทาง ถ้ามองในแง่ของคนที่จัดหลักภาษา หนังสือเป็นประธาน เดินทางเป็นกริยา มันก็มีความหมายว่าหนังสือมันเดินทางได้ หรือหมายถึงหนังสือที่เกี่ยวกับการเดินทางก็ได้อีก หรือหนังสือเดินทางที่หมายถึงสิ่งจำเป็น(มาก)ต้องพกพาขณะเดินทางไปไหนมาไหน ซึ่งเปรียบเทียบก็หมายถึง ใครมาร้านนี้ที่ก็จะได้อะไรบางอย่างที่จำเป็นมากสำหรับเดินทาง นอกจากนี้หนังสือเดินทางยังหมายถึงพาสปอร์ต คนยังเข้ามาถามเลยว่า ร้านนี้รับทำพาสปอร์ตบ้างไหม)
4 ปีที่ผ่านมาผมเดินเข้าเดินออกร้านหนังสือเดินทางอยู่บ่อยครั้ง(นับเป็นร้านหนังสือที่ผมเข้าๆออกๆมาที่สุดในรอบ 4 ปี) เพราะร้านนี้อยู่ใกล้ออฟฟิศมากที่สุด(ขี้เกียจไปหาซื้อหนังสือที่ไกลๆ) ร้านนี้เต็มไปด้วยหนังสือที่น่าสนใจ(สำหรับผมเพราะชอบเดินทางท่องเที่ยว) เป็นดังโลกกว้างในร้านแคบ
(หนุ่ม : การเดินทางไม่จำเป็นต้องเดินทางแบบไปไหนมาไหน แค่อ่านหนังสือสักเล่มหนึ่งมันก็คือการเดินทางในโลกของหนังสือ มันก็เลยแบ่งประเภทหนังสือในร้านว่า มีพวกสารคดี มีพวกข้อมูลไกด์บุ๊ค และมีพวกความคิดจินตนาการของนักเดินทาง)
นอกจากนี้การที่ผมเที่ยวเข้าๆออกๆร้านนี้บ่อยๆก็เพราะความเหมือนของเลขที่ร้าน(142)ที่บังเอิญไปเหมือนกับเลขที่ร้านหนังสือของ ฮิว แกรนด์ ในหนังเรื่อง“น้อตติ้งฮิลล์”แบบไม่ได้ตั้งใจ(แต่ผมเข้าร้านนี้แบบตั้งใจ เพราะกะฟลุ๊คว่าอาจจะได้เจอผู้หญิงแบบจูเลีย โรเบิร์ต เข้าร้านมาบ้าง)
3...
แน่นอนว่าเมื่อเปิดร้านมา 4 ปี นอกจากกำไร ขาดทุน ผู้คนที่เวียนเข้า-ออกร้านหนังสือเดินทางที่ระคนความ สนุก สุข เศร้า เหงา ขำ(คนละแบบกับอัลบั้มสุข เศร้า เหงา แฮงก์ ของน้าแอ๊ด ไก่ชน เอ๊ย!!! ไม่ใช่ น้าแอ๊ด คาราบาว) ก็นับเป็นอีกหนึ่งสีสันของชีวิตที่เกิดขึ้นในร้านหนังสือเดินทาง
สนุก
หนุ่มเล่าให้ผมฟังว่า ลูกค้ากลุ่มหนึ่งของร้านหนังสือเดินทางไม่ใช่มาเพื่อซื้อหนังสือ แต่ว่ามาเพราะคาดหวังว่าจะได้เจอใครบางคน(อย่างกับผมที่หวังฟลุ๊คว่าจะเจอผู้หญิงอย่างจูเลีย โรเบิร์ต) เจอเพื่อนที่คุยกันได้ หลายคนจึงมาที่นี่เพื่อที่จะมาหาแรงบันดาลใจ หรือบางทีมาเพื่ออยากระบายอะไรสักอย่างให้หนุ่มฟัง
“หลังๆมาที่กลายเป็นชุมชนเล็กๆ บางคนมาได้งานทำจากที่นี่ ถือเป็นเสน่ห์ของร้านนี้ที่ทำให้คนที่เข้ามามีส่วนร่วมมากกว่าเป็นลูกค้าอย่างเดียว”
ขำๆ
หนุ่มเล่าว่า ไม่ได้มีคนดีเสมอไปที่เข้ามาในร้านนี้ เพราะร้านนี้มีขโมยเข้ามาบ่อย ฝรั่งก็มี ทำให้คนในร้านต้องหูไวตาไว(แต่กระนั้นก็ไม่วายโดนจนได้)
“มีคนเข้ามาขโมยหนังสือในสารพัดรูปแบบที่เห็นกันจะจะก็คือ มากัน 3 คน คนนึงถือหนังสือพิมพ์ แล้วขโมยหนังสือสอดไส้เข้าข้างในเราเห็นแล้วอึ้งเลย ไม่ใช่แค่หนังสือ กล้องผมก็เคยโดน เป็นกล้องที่มีคนมาฝากขาย(ในร้านหนังสือเดินทาง) มีคนมาเผลอแป๊บเดียว เขาฉกกล้องหายไปเลย เรื่องนี้เราไม่ได้อะไรแต่ต้องชดใช้ แต่เรื่องที่น่าแปลกใจก็คือ หลังจากโดนขโมยกล้องไม่กี่วัน จู่ๆก็มีคนมาขอถ่ายหนัง แล้วผมก็ได้เงินกลับมาก้อนหนึ่ง”(ไม่เพียงแค่กรรมเท่านั้นที่ติดจรวดบุญก็ติดจรวดได้เช่นกัน)
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านหนังสือเดินทางซึ่งหนุ่มบอกว่า “เวลาเจอขโมยหรือเจอกลโกงต่างๆ ถ้าเรามองให้มันแง่ตลกมันก็ตลก มองให้ขำมันก็ขำ แต่ช่วงเวลาที่เราสูญเสียตรงนั้นมันอาจจะไม่เข้าใจ แต่พอผ่านไปก็ไม่เป็นไร”(เรื่องนี้ผมฟังแล้วรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น(ในการลุ้นจับขโมย)และน่าหงุดหงิดใจมากกว่า)
สุข(ระคนเหงา)
แม้ว่าในแต่ละวันหนุ่มจะเจอคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้า-ออกร้านอยู่ไม่ได้ขาด (ร้านหนังสือเดินทางเปิดขายทุกวัน ในช่วงประมาณ เที่ยงไปถึงประมาณ 2 ทุ่ม)แต่ว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของหนุ่มกับเป็นช่วงที่เขาปิดร้าน
“ช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดก็คือช่วงเวลาที่ปิดร้าน เพราะเจอคนมาทั้งวันแล้ว พอปิดร้านผมจะนั่งอย่างมีความสุขบนเก้าอี้ การได้อยู่คนเดียวเป็นอะไรที่ผมโหยหา แต่สิ่งนี้ไม่มีมานาน(มาก)แล้ว”
หนุ่มเล่าความสุขกับการที่ได้อยู่คนเดียวให้ฟัง(สำหรับผมนี่คือความสุขที่มีเงาเป็นเพื่อน)
เศร้า
เรื่องที่อาจจะฟังดูเศร้าสำหรับบางคนและสำหรับหนุ่ม(ในช่วงนี้) เกี่ยวกับร้านหนังสือเดินทาง การที่ร้านหนังสือเดินทางต้องเดินทาง(ย้าย)จากถนนพระอาทิตย์ไปในที่ใหม่แถวผ่านฟ้า(เหตุที่หนุ่มต้องย้ายร้านเพราะค่าเช่าร้าน ขึ้นราคาไปอยู่ที่ 40,000 กว่าต่อเดือนทำให้เขาสู้ราคาไม่ไหว)
“ผมคิดว่าร้านหนังสือเดินทางวันหนึ่งก็คงมีวันปิด แต่ว่าปิดแล้วมันก็เปิดใหม่ได้ แต่ในแง่หนึ่งมันเสียดาย เพราะว่านี่คือสิ่งที่เราสร้างมากับมือ มันมีความทรงจำ มีเพื่อนฝูงและมิตรภาพ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นบนร้านเล็กๆ ตรงนี้ คงนึกถึงมัน คนอื่นอาจจะไม่จำ แต่สำหรับผมมันลืมไม่ได้”
สำหรับปรากฏการณ์ร้านหนังสือเดินทางบนถนนพระอาทิตย์ดูๆไปคล้ายกับวงเล็บในสวนอักษรที่หากว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ ฉันใดก็ฉันเพล ที่ร้านหนังสือเดินทางจะมีอยู่ก็ได้ ไม่มีอยู่ก็ได้ บนถนนพระอาทิตย์ แต่ว่าเมื่อมีแล้วนับเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ถนนพระอาทิตย์ดูมีเสน่ห์และสีสันมากขึ้น...