สรรพสิ่งใดๆในใต้หล้าล้วนแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
เกาะตะรุเตา แห่ง จ.สตูล ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ที่กระแสธารแห่งกาลเวลาได้เปลี่ยนแปลงเกาะนี้จากดินแดนอันน่าหวาดหวั่นครั่นคร้ามให้กลายเป็นดินแดนสวรรค์ เกาะในฝันของผู้หลงใหลความงดงามแห่งท้องทะเล
ตะรุเตา นรกแห่งอันดามัน
ย้อนอดีตไปเมื่อ พ.ศ. 2479 รัฐบาลเลือกเกาะตะรุเตาแห่งท้องทะเลอันดามันให้เป็นนิคมฝึกอาชีพและกักขังนักโทษคดีอุจฉกรรจ์ ในลักษณะทัณฑสถานธรรมชาติ หรือพูดง่ายก็คือ"คุกเปิด"ที่ตั้งอยู่กลางทะเลลึก โอบล้อมไปด้วยผืนน้ำคลื่นลมอันแปรปรวน ซึ่งใครที่คิดจะหนีจากเกาะแห่งนี้หากรอดพ้นจากวิถีกระสุนของผู้คุมไปได้ ก็ยังต้องไปเผชิญกับปลาฉลามและจระเข้ และความโหดร้ายของท้องทะเล
พ.ศ. 2481 นักโทษชุดแรก 500 คน ถูก ส่งมายังเกาะตะรุเตา ซึ่งแต่ละคนล้วนต้องโทษร้ายแรง
พ.ศ. 2482 นักโทษการเมืองจำนวน 70 คน ถูกส่งมายังเกาะตะรุเตา โดยถูกควบคุมอยู่ที่อ่าวตะโละอุดัง
พ.ศ. 2484 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น เกาะตะรุเตาถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาหาร ยา และเครื่องใช้ต่างๆ ทำให้คนบนเกาะอดอยากและเจ็บป่วยล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก ผู้คุมและนักโทษส่วนหนึ่งจึงเปลี่ยนมาเป็นโจรสลัดเข้าปล้นสะดมเรือบรรทุกสินค้าทั้งของชาวไทยและต่างชาติที่แล่นผ่านไปมา เกาะตะรุเตาในช่วงนี้ดูๆไปคล้ายนรกบนดิน
พ.ศ. 2491 วันที่ 15 มีนาคม เรือรบอังกฤษกับทหารจำนวน 300 คน บุกเกาะตะรุเตาและเข้าจับกุมกวาดล้างเหล่าโจรสลัดที่มีขุนอภิพัฒน์สุรทัณฑ์ตั้งตนเป็นหัวหน้าพร้อมๆกับยกเลิกนิคมฝึกอาชีพนักโทษ นับเป็นการปิดฉากตำนานนรกแห่งตะรุเตาไปโดยปริยาย
หลัง พ.ศ. 2491 วันเปลี่ยนคืนผ่าน เกาะตะรุเตาถูกทิ้งร้างภายใต้สายลม แสงแดด และเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเลอันดามัน
ตะรุเตา สวรรค์แห่งอันดามัน
19 เมษายน พ.ศ. 2517 กรมป่าไม้(สมัยนั้น)ประกาศตั้งตะรุเตาและหมู่เกาะใกล้เคียงให้เป็นอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของเมืองไทย หลังจากนั้นมาดินแดนที่เคยถูกกล่าวขวัญว่าเป็นดังนรกบนดินก็ได้กลับกลายมาเป็นแดนสวรรค์ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงตามสายธารแห่งกาลเวลาจากหลังมือเป็นหน้ามือ
26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 คลื่นยักษ์สึนามิพัดถั่งโถมโหมกระหน่ำท้องทะเลอันดามัน เกาะตะรุเตาได้รับผลกระทบบ้างบางส่วน แต่กระนั้นก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นที่เกาะนี้อีกครั้งนั่นก็คือ น้ำทะเลสวยใสขึ้นส่วนหาดทรายก็สะอาดขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลให้ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" กลับมาเยือนตะรุเตาอีกครั้ง โดยจุดแรกในการท่องตะรุเตาเรามุ่งหน้าไปค้างแรมที่เกาะหลีเป๊ะ เกาะที่ได้รับฉายาว่า"มัลดีฟส์เมืองไทย"
ในระหว่างทางเราไปแวะเที่ยว เกาะไข่ ที่โดดเด่นไปด้วยช่องประตูหินธรรมชาติทอดตัวโค้งจรดพื้น ท่ามกลางหาดทรายขาวนวล โดยในอดีตเกาะแห่งนี้เคยเป็นที่วางไข่ของเต่าทะเลจำนวนมากคนจึงเรียกขานกันว่าเกาะไข่ แต่ว่าปัจจุบันเรามองไม่เห็นทั้งเต่าและไข่ เห็นมีแต่นักท่องเที่ยวไปยืนแอ๊คถ่ายรูปและเดินควงคู่ลอดใต้ช่องประตูอยู่จำนวนหนึ่ง
จากเกาะไข่เรือเฟอร์รี่ลำโตแล่นไปจอดนิ่งอยู่หน้าอ่าวพัทยาแห่งเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งทันทีที่ถึงเกาะนี้พวกเราก็อดใจไม่ไหวกับน้ำทะเลสีครามใสที่ไหลเป็นริ้วใสจนสามารถมองลงไปเห็นปะการังใต้น้ำได้อย่างสวยงาม
งานนี้ไม่มีการรีรอแต่อย่างใด"ผู้จัดการท่องเที่ยว"กระโดดตูมลงเล่นน้ำทันที
ด้วยความสวยใสของน้ำทะเลที่นี่ทำให้ไม่ว่าจะแหวกว่ายเล่นหรือดำน้ำตื้น(snockelling)ดูปะการังก็น่าเพลิดเพลินทั้งนั้น สำหรับวันแรกบนอุทยานฯตะรุเตาขอเที่ยวแค่นี้ก่อน ส่วนในวันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้าเพื่อลงเรือหางยาวมุ่งหน้าสู่ร่องน้ำจาบัง และ เกาะราวี เพื่อยลโฉมปะการัง 7 สีอันเลื่องชื่อของร่องน้ำจาบังและแนวปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์แบบแห่งเกาะราวี
เรือประมาณ 4-5 ลำมาเรียงกันหยุดดับเครื่องผูกทุ่นตรงร่องน้ำกลางทะเลลึกที่มีกระแสน้ำค่อนข้างแรงและเชี่ยว ดังนั้นการลงดำน้ำตรงจุดนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ ทางที่ดีควรเกาะเชือกจากเรือที่ขึงไว้เป็นแนว ซึ่งก็ทำให้ขจัดอุปสรรคในการดำน้ำของพวกเราได้เป็นอย่างดี ทำให้เราสามารถมองเห็นปะการังที่เรียงรายอยู่มากมายในท้องทะเลได้อย่างชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่มีสีสันสดสวยทั้งสีม่วง สีแดง สีชมพู สีเหลือง สีฟ้า สมดังคำร่ำลือที่ว่าร่องน้ำจาบังแห่งนี้มีปะการังเจ็ดสีสวยไม่เป็นรองใคร
จากโลกใต้ทะเลเราเปลี่ยนบรรยากาศไปขึ้นบกที่ เกาะหินงาม เกาะที่มีก้อนหินงามสมดังชื่อเกาะ โดยที่หาดของเกาะหินงามจะเต็มไปด้วยก้อนหินสีดำกลมรีมนเกลี้ยงเกลาขนาดเล็กใหญ่ต่างๆดูลื่นเป็นมันเงา ครั้นยามเมื่อถูกคลื่นซัดสาด ก้อนหินเหล่านี้จะถูกแสงอาทิตย์สาดส่องกระทบดูดำมันวาววับน่ามองเป็นยิ่งนัก
สำหรับที่เกาะหินงามนี้ มีตำนานเล่าต่อๆกันมาว่า หากสามารถเรียงก้อนหินได้ 12 ชั้น แล้วอธิฐานก็จะได้สมดังปรารถนา ทำให้ที่เกาะนี้เต็มไปด้วยกองหินสูงเรียงรายอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าหินทุกก้อนที่นี่ต้องคำสาปของจำพ่อตะรุเตาหากใครเก็บออกไปจากเกาะจะต้องมีอันเป็นไป ซึ่งก็ทำให้หินงามที่เกาะนื้ยังคงอยู่ไม่ต่างไปจากอดีต
ถัดมาจากเกาะหินงาม เรือน้อยแล่นไปจอดที่ชายหาดเกาะราวี เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นสวนแห่งปะการังที่สวยงามทรัพยากรธรรมชาติใต้ท้องทะเลที่สมบูรณ์ เกาะนี้เป็นเกาะที่เงียบสงบดูเป็นธรรมชาติ มีหาดทรายสีขาวสะอาดเม็ดทรายเนื้อนุ่มละเอียดสบายเท้า น้ำทะเลใสแจ๋วมองเห็นพื้นทรายได้อย่างชัดเจน
"ผู้จัดการท่องเที่ยว"ได้ลงเล่นน้ำดำดูปะการังทันทีหลังจากที่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศอันสวยงามสงบเย้ายวนชวนให้หลงใหล ที่เกาะราวีแห่งนี้มีเชือกทุ่นตรึงขนานเป็นแนวยาวกับชายหาดเพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวปะการัง ที่นี่ก๊วนเราสามารถลงดำน้ำตื้นดูปะการังได้อย่างสบายใจ เพราะสำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่แข็งก็สามารถเกาะเชือกดำน้ำตื้นได้สะดวก
แนวปะการังใต้ท้องทะเลแห่งนี้ยาวเหยียดและมีหลากหลายชนิด ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามด้วยตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสีสัน รูปทรง ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตา พร้อมทั้งยังมีเพื่อนๆแหวกว่ายอยู่รอบกายจนนับไม่ถ้วน เพื่อนๆที่ว่านี้ไม่ใช่ชาวคณะหรอก แต่เป็นฝูงปลาทะเลน้อยใหญ่ ที่ต่างพากันว่ายอวดสีสันลวดลายเหลือง ดำ แดง อยู่ทั่วไป
ที่นี่ "ผู้จัดการท่องเที่ยว"ดำน้ำยลแสงสีใต้ทะเลอันดามันอย่างเมามันในอารมณ์ จนแทบจะถูกแสงแดดเคลือบสีเข้มไปทั้งตัว อีกทั้งเมื่อเริ่มจะหมดแรงข้าวต้มแล้ว เราจึงได้ตัดใจขึ้นมาจากน้ำเพื่อทานอาหารกลางวันอันโรแมนติก นั่งลงบนทรายขาวบริสุทธิ์นุ่มนิ่ม ปากก็อ้าหม่ำอาหาร ตาก็สอดสายกัดกินบรรยากาศ หูฟังเสียงคลื่นกระทบหาดทรายอย่างไพเราะ จมูกก็สูดอากาศอันบริสุทธ์สดชื่น ทั้งที่อาหารในมื้อนี้เป็นแค่แกงส้มกับไข่ดาวแต่มันช่างอร่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาเลยทีเดียว
นี่อาจเป็นเพราะว่าบรรยากาศของพื้นที่ช่วยสร้างสรรค์ให้เรากินอะไรก็อร่อย ก็อย่างว่าแหละเมื่อนั่งอยู่ในดินแดนที่เป็นดังเกาะสวรรค์ อะไรๆรอบข้างมันพลอยดูเป็นสวรรค์ไปด้วย ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้วพื้นที่ของตะรุเตาจะเป็นดังนรกแห่งอันดามัน เพราะในวันนี้ดูยังไงๆเกาะตะรุเตาก็คือดินแดนอันสวยงามที่รักการทะเลน่าจะหาโอกาสไปเยือนสักครั้ง
**************************************************
**************************************************
**************************************************
อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ตั้งอยู่ที่ ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวง 406 บ้านฉลุง แยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 416 (สตูล-ละงู) ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 4052 ซึ่งแยกจาก อ.ละงู ตรงไปสู่ท่าเรือปากบารา ที่มีเรือออกจากท่าเรือปากบาราสู่เกาะตะรุเตา และเกาะอาดัง ทุกวัน เวลา 10.00 น. และ 15.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ค่าโดยสารคนละ 200 บาท
ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา โทร. 0-7472-9002-3 ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ 3 (ปากบารา) โทร.0-7478-3485 ททท. สำนักงานภาคใต้เขต 1 โทร. 074-243-747 , 074-238-518
ส่วนผู้ที่สนใจเที่ยวเกาะตะรุเตากับบริษัททัวร์ สอบถามได้ที่ ฟูจิทัวร์ โทร. 0-2918-6067-8
การเดินทางไปจ.สตูล และ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา
ที่พัก
ร้านอาหาร
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
“สตูล” เมืองสงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์
จังหวัดสตูล