xs
xsm
sm
md
lg

ต้องตาตรึงใจ...จุดชม “ทะเลหมอก” ชวนฝัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สายลมเย็นยะเยือกพัดมาเยือนอีกครั้ง ดอกไม้เริ่มผลิดอกเบ่งบานอวดสีสัน นี่คือสัญญาณของฤดูหนาว ฤดูที่ฟ้าสวยใส เหมาะแก่การเที่ยวเขาชมดอยเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อขึ้นไปเที่ยวเขาเที่ยวดอยแล้ว สิ่งที่นักท่องเที่ยวทั่วไปนิยมปฏิบัติก็คือ การตื่นแต่เช้ามืดเดินทางฝ่าความหนาวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยงาม

อนึ่ง ในเมืองไทยนั้นมีภูเขาดงดอยมากมายที่เต็มไปด้วยทะเลหมอกยามเช้า โดยแต่ละที่ต่างก็มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป

ในหน้าหนาวนี้เหล่านักเดินทางท่องเที่ยวตัวยงได้มาบอกเล่าถึงความงดงามของจุดชมทะเลหมอกที่น่าสนใจในเมืองไทย ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีจุดชมทะเลหมอกในเมืองไทยแตกต่างกันออกไป

สุรจิต จามรมาน นักเดินทาง นักเขียน ช่างภาพ และบรรณาธิการภาพ หนังสือNature Explorer เล่าว่า ช่วงหน้าหนาวท้องฟ้าจะสวยสดใส โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมที่เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว จะเหมาะแก่การไปเที่ยวดูทะเลหมอกมาก สำหรับจุดชมทะเลหมอกยามเช้าในเมืองไทยที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศก็คงจะเป็น ห้วยน้ำดัง ภูชี้ฟ้า ผาตั้ง ม่อนกิ่วลม และดอยเชียงดาว ที่อยู่ทางภาคเหนือ ส่วนทางอีสานที่ขึ้นชื่อก็ได้แก่ ภูกระดึง (ผานกแอ่น) ผาแต้ม (ผาชนะได)

สำหรับจุดชมทะเลหมอกที่ช่างภาพนักเดินทางชอบมากก็คือ ที่ ดอยเชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพราะเป็นการสถานที่ท่องเที่ยวดูทะเลหมอกเชิงผจญภัย เนื่องจากการที่จะขึ้นไปถึงยอดดอยนั้นค่อนข้างลำบาก ต้องเดินเท้าขึ้นไปหลายวัน ต่างไปจากที่อื่นที่สามารถขับรถขึ้นไปจอด แล้วลงเดินนิดหน่อยก็ดูทะเลหมอกได้ ฉะนั้น นักท่องเที่ยวที่ดอยเชียงดาวนี้จึงไม่พลุกพล่าน และไม่ต้องแย่งกันดู

“ที่ดอยเชียงดาวพิเศษกว่าที่อื่นๆ เพราะมียอดเขาแหลมสูง มองเห็นโดยรอบได้ทั้ง 360องศา และจะมีทะเลหมอกอยู่รอบๆฐานที่เรายืน ให้ความรู้สึกว่าเราได้ไปสัมผัสถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่และความยิ่งใหญ่มหาศาลอย่างอิ่มเอิบใจ ส่วนตอนกลางคืนก็สามารถนอนดูดาวได้อย่างเต็มตา ถือว่าเป็นที่ดูดาวที่ดีที่สุดในประเทศก็ว่าได้”

สุรจิตเล่าความประทับใจ ก่อนที่จะพูดถึงสิ่งที่ต้องเตรียมในการไปเที่ยวดอยเชียงดาวว่า การเดินทางไปชมทะเลหมอกที่ดอยเชียงดาวนั้นต้องไปค้างแรมเท่านั้น เนื่องจากการเดินเท้าขึ้นไปบนยอดดอยต้องใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมง จากอำเภอเชียงดาวขึ้นไปตามหมู่บ้านแม่นะ ไปพักแรมที่หน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว โดยต้องนำอุปกรณ์ในการค้างแรมไปเอง เช่น เต็นท์ ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว อาหาร หรือแม้กระทั้งสุขาก็ต้องทำต้องหากันเอาเอง และที่สำคัญก็คือ น้ำดื่ม เพราะบนดอยเชียงดาวไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรือร้านค้าใดๆ ผู้ที่ขึ้นไปต้องเตรียมน้ำดื่มไปให้เพียงพอ

หันมาทางด้านอภินันท์ บัวหภักดี บรรณาธิการฝ่ายภาพอนุสาร อสท.กันบ้าง ซึ่งอภินันท์ได้แสดงทัศนะว่า “ทะเลหมอกจะสวยได้ฉากหลังต้องงาม มีภูเขาตั้งอยู่ อย่างเช่น ภูชี้ฟ้า ดอยผาตั้ง ห้วยน้ำดัง อุทยานแห่งชาติแม่เมย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วชอบทะเลหมอกที่ห้วยน้ำดัง เพราะเมื่อมองออกไปแล้วจะเห็นดอยเชียงดาวเป็นฉากอยู่เบื้องหลัง สวยงามมากๆ”

นอกจากนี้ บก.ภาพ อสท.ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ฤดูหนาวเป็นฤดูของการท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นเหนือกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นในการเดินทางแต่ละครั้งจึงต้องวางแผนให้ดี ตรวจเช็คสภาพของยานพาหนะ และควรหลีกเลี่ยงช่วงวันหยุดยาว และวันเสาร์-อาทิตย์

ในขณะที่ นพดล กันบัว ช่างภาพประจำอนุสาร อสท.กล่าวว่า ทะเลหมอกที่เขาได้เคยไปสัมผัสมา ทั้งที่เชียงใหม่ น่าน แม่ฮ่องสอน เชียงราย และที่อื่นๆอีกมากมาย ล้วนแต่สวยงามทั้งสายหมอกและทิวทัศน์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่สถานที่ที่นิยมและรู้จักกันดีที่สุดก็คงจะเป็น ดอยผาตั้ง-ภูชี้ฟ้า ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นโดยเฉพาะช่วงวันหยุดพักผ่อน

“ที่ดอยผาตั้ง-ภูชี้ฟ้า ในช่วงหน้าหนาวจะสวยที่สุดเนื่องจากเป็นช่วงที่ดอกไม้นานาพันธุ์ อาทิ พญาเสือโคร่ง หรือที่เรียกกันว่า ซากุระเมืองไทย ต่างพากันผลิดอกแย้มบานสะพรั่งไปทั่วทุกสารทิศ และด้วยลักษณะทางกายภาพของภูชี้ฟ้าที่มีเอกลักษณ์ของยอดเขาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าทำให้สามรถชมทะเลหมอกได้สวยงามมองซ้ายหันขวาก็เจอสายหมอกเป็นปุยขาวติดตาตรึงใจ อีกทั้งการเดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวกสบาย ทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมอย่างไม่น่าสงสัยเลยที่เดียว” นพดลเล่าถึงความประทับใจ

เช่นเดียวกับ ม.ล.สราลี จิราธิวัฒน์ ผู้ดำเนินรายการเที่ยวละไม...ไทยแลนด์เวิลด์ ที่เล่าว่า “โดยส่วนตัวจะชอบเที่ยวแบบผจญภัย โดยเฉพาะเที่ยวภูเขา อย่างเช่น แม่ฮ่องสอน ปาย แม่สะเรียง และก็ชอบภูเขา และยังชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นตัดกับสายหมอกในยามเช้า ท่ามกลางป่าเขาและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะหาดูในเมืองกรุงไม่ได้ ส่วนจะสวยมากน้อยแค่ไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับจังหวะและจุดที่เรายืนอยู่ด้วย”

พิธีกรเสียงใส เล่าต่อว่า ตนเคยไปดูทะเลหมอกในหน้าหนาวมาหลายแห่งแล้ว ต้องบอกเลยว่าตัวเองโชคร้ายเพราะไม่ว่าจะเป็นภูชี้ฟ้า หรือภูกระดึง ก็ยังไม่เคยเห็นหมอกที่เป็นทะเลเหมือนในรูปภาพเลย เคยเจอแต่หมอกบางๆที่สามารถมองเห็นพื้นล่างได้ ถึงจะไม่เคยได้เห็นหมอกแบบเป็นปุยคลื่นทะเลแต่ก็ต้องยอมรับว่าแค่ที่เคยเห็นมาก็สวยมากแล้ว

“จริงๆ แล้วเที่ยวรับลมหนาว หรือแม้แต่ชมทะเลหมอกไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงเชียงใหม่ เชียงราย ที่ใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ อย่างกาญจนบุรี ปากช่อง หรือแค่อุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี ก็มีสายหมอกยามเช้าให้ได้ลิ้มรส อีกทั้งอากาศยังหนาวเย็นไม่แพ้ภาคเหนือของไทยเลยทีเดียว” พิธีกรขาลุยกล่าว

เมื่อได้เห็นความงดงามของทะเลหมอกแล้ว หนาวนี้ก็เตรียมจัดโปรแกรมเที่ยวเขาชมดอย เช้าคอยยลทะเลหมอกกันได้เลย แต่ยังไงก็ต้องเผื่อใจไว้บ้างเพราะธรรมชาตินั้นอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
5 จุดชมทะเลหมอกที่น่าสนใจ

1. ภูชี้ฟ้า (เชียงราย) : บนภูชี้ฟ้ายามเช้าในฤดูหนาวจะงดงามไปด้วยทะเลหมอกลอยละล่อง และที่พิเศษก็คือช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. จะเป็นช่วงที่ภูชี้ฟ้าเต็มไปด้วยดอกเสี้ยวบานขาวสะพรั่งสวยงามอยู่ทั่วบริเวณภูชี้ฟ้า

2. ภูกระดึง (เลย) : ในหน้าหนาวทุกๆ เช้า(มืด) จะมีนักท่องเที่ยวเดินฝ่าความหนาวไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดภูกระดึงที่ ผานกแอ่น ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยงามในท่ามกลางบรรยากาศภูผา และต้นสน

3.แก่งกระจาน (เพชรบุรี) : จุดชมทะเลหมอกใกล้กรุง ซึ่งมีเขาพะเนินทุ่งเป็นจุดชมวิวขึ้นชื่อ โดยที่ กม.31 จะมีจุดชมวิวและมีตำหนักของสมเด็จพระเทพฯ ส่วนที่ กม.33 เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกที่เด่นที่สุด เพราะ ณ จุดนี้จะเห็นทะเลหมอกลอยอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและป่าใหญ่

4. ภูทับเบิก (เพชรบูรณ์) : ณ จุดชมวิว ที่เป็นจุดสูงสุดของเพชรบูรณ์ เมื่อมองลงไปในหน้าหนาวจะเห็นทะเลหมอกลอยเป็นปุยอยู่ทั่วบริเวณ ท่ามกลางบรรยากาศภูเขากะหล่ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่แวดล้อม

5. ผาชนะได (อุบลฯ) : ทุกๆ เช้าในอุทยานฯผาแต้ม ที่ผาชนะได จะมีคนไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยาม แต่ว่าส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่จะเห็นทะเลหมอกขาวโพลนเป็นสายลอยช้าๆ ไปตามแนวหน้าผาที่ทอดยาวขนานลำน้ำโขงฝั่งไทย-ลาวแทน

หมายเหตุ : ภาพทั้งหมดจาก ททท.
กำลังโหลดความคิดเห็น