xs
xsm
sm
md
lg

วิวัฒนาการชุด “แอร์โฮสเตสไทย” จากอดีตสู่ปัจจุบัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า “แอร์โฮสเตส” หรือ “พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน” คือหนึ่งในอาชีพในฝันของสาวๆ หลายคน อาชีพนี้ถูกเรียกกันติดปากกันว่า “นางฟ้า” เนื่องจากลักษณะการทำงานจะต้องคอยต้อนรับและดูแลผู้โดยสารอยู่บนเครื่องบิน ทำให้ถูกเปรียบเปรยกับนางฟ้าที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า และค่าตอบแทนที่สูงลิ่วคงจะพอทำให้หลายๆ คนอยากยึดอาชีพนี้

นอกจากภาพลักษณ์ที่สวยหรู พื้นฐานภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ ดีเยี่ยม แถมยังมีโอกาสเดินทางไปยังที่ต่างๆ ตามมุมโลกแล้ว ยังมี “เครื่องแบบ” หรือชุดยูนิฟอร์มที่เป็นความภูมิใจของผู้ที่มีโอกาสสวมใส่ชุดแอร์โอสเตสเป็นอย่างยิ่ง

และถ้าหากเป็นสายการบินที่ได้ชื่อว่าเป็นสายการบินแห่งชาติ หรือสายการบินชั้นนำแล้ว ชุดของลูกเรือเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็นหน้าตาขององค์กร ซึ่งการออกแบบชุดนอกจากจะต้องเอื้อประโยชน์การใช้งานบนเครื่องบินที่ต้องคอยอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารแล้ว ทุกรายละเอียดมิเว้นแม้แต่สีที่ใช้ยังเป็นตัวบ่งบอกถึงองค์กรด้วย

การบินไทย ถือได้ว่าเป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศไทย มีสโลแกนติดปากว่า “รักคุณเท่าฟ้า” เริ่มเปิดบริการรับ-ส่งผู้โดยสารมาตั้งแต่ปี 2503 เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 45 ปีมาแล้ว แน่นอนว่าชุดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งหลายครา นับรวมแล้ว 7 ครั้งและครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 8 ที่การบินไทยจะได้ฤกษ์เปลี่ยนแปลงชุดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอีกครั้ง

นิคม ระวียัน ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริหารและพัฒนางานบริการบนเครื่องบิน เท้าความให้ฟังว่า ชุดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของการบินไทยนั้น เริ่มมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ พ.ศ.2503 เลยทีเดียว

“ครั้งแรกนั้นเริ่มปี พ.ศ.2503 ออกแบบโดย ม.จ.ไกรสิงห์ วุฒิชัย ซึ่งถือเป็นดีไซเนอร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยในยุคนั้น ออกแบบโดยใช้สูทสั้นสีม่วงอัญชัน และเสื้อตัวในสีม่วงอ่อน เสื้ออยู่ข้างนอกสีเข้มกว่า กระโปรงสีม่วงอ่อน พร้อมด้วยหมวกสีเดียวกับชุด โลโก้ที่ติดหมวกเป็นรูปนางรำในละครไทย เราใช้เครื่องแบบนั้นอยู่จนถึงปี พ.ศ.2510 แล้วจึงเปลี่ยนโดยให้ ม.จ.ไกรสิงห์ออกแบบอีก 3 ครั้ง” นิคม กล่าว

ต่อมาในปี พ.ศ.2521-2524 จึงได้เปลี่ยนผู้ออกแบบเป็นห้องเสื้อพรศรี และเปลี่ยนโลโก้จากรูปนางรำเป็นจำปีแบบในปัจจุบัน นอกจากนี้ ในช่วงปีนี้เองยังเริ่มใช้สโลแกน “รักคุณเท่าฟ้า” เพื่อให้สอดคล้องกับสโลแกน ชุดจึงใช้ลวดลายที่เป็นก้อนเมฆสีชมพูฟ้า ส่วนเสื้อตัวนอกยังคงสีม่วงเหมือนเดิม

หลังจากนั้นจึงให้ ปิแอร์ บาลแมง(Pierre Balmain) เป็นผู้ออกแบบ โดยมุ่งหวังให้มีความเป็นสากลขึ้น ส่วนครั้งที่ 7 ซึ่งใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 จนถึงปัจจุบันนั้น สุชาติ มิ่งพันธ์ เป็นผู้ออกแบบ ใช้สีม่วงเป็นหลักเช่นเดิมแต่ใช้ฝีมือการทอลายของดอกกล้วยไม้ของจิม ทอมป์สัน และมีสัญลักษณ์การบินไทยที่ปีกและตัวกระดุมที่เสื้อด้านนอก

การเปลี่ยนชุดพนักงานต้อนรับครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 8 ซึ่งกำหนดว่าจะต้องให้ดีไซเนอร์คนไทยเป็นผู้ออกแบบ และก็ได้ พิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ มาช่วยดูแลให้ ซึ่งการออกแบบครั้งนี้ได้แนวคิดมาจากการแต่งกายในราชสำนัก และเครื่องประดับของตัวละครไทยโบราณที่มีความงดงาม โดยประยุกต์ให้เข้ากับความโก้และความคลาสสิกของการบินไทย วัสดุที่ใช้จะผลิตในประเทศไทยทั้งหมด มีเสื้อตัวในเป็นผ้าไหมที่มีคุณสมบัติไม่ยับง่ายและซับเหงื่อ มีความพลิ้วไหวของเนื้อผ้า แต่เพิ่มลูกเล่นโดยใส่ลายกราฟิกลงไป สวมใส่กับรองเท้าสีม่วงเข้ม ส่วนผู้ชายจากที่เข้มๆ แบบทหารก็จะให้มีความเป็นพลเรือนมากขึ้น เครื่องแบบจะเป็นสีเทาดำ

“ตอนแรกจะเป็นเหมือนชุดทั่วไป เป็นยูนิฟอร์มหลักที่ใช้บินในประเทศ จะเป็นเสื้อใส่กับกระโปรง หรือใส่กับกางเกง แล้วมีเสื้อแจ็กเกต ให้มันเก๋ไก๋ ให้มีสีสัน อย่างเช่นถ้าจะไปทางใต้ก็จะมีสายอาดเอวเป็นผ้าบาติก แต่ถ้าจะไปทางอีสานก็จะเป็นผ้ามัดหมี่ ดูมีความหลากหลาย เป็นอะไรที่ไม่น่าเบื่อ ส่วนลายเสื้อตัวในจะเป็นสัญลักษณ์ ตัวโมทีฟ ซึ่งทางอินเตอร์แบรนด์จะใช้ตัวนี้เป็นรูปลักษณ์ของบัตรโดยสาร จะเห็นว่ารอยหยักโค้งจะมาจากหางของตัวลายดอกจำปีหรือจะเป็นลายกนก แต่ถ้าเป็นของผู้ชายจะเป็นเสื้อเชิ้ต เนกไท เหมือนกันหมด แต่จะมี 3 แผนก 3 สี ของสจ๊วตจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว จะมีปักโลโก้ที่กระเป๋า เป็นอะไรที่ดูแล้วรู้สึกสนุกสนานแต่ถ้าเป็นการบินระหว่างประเทศก็จะทำให้เป็นสากลมากยิ่งขึ้น” พิจิตรากล่าว

นิคมหวังว่า อย่างน้อยที่สุดในการเปลี่ยนชุดพนักงานต้อนรับในครั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความสดใสมากขึ้น ใครเห็นก็สดชื่นและดูเป็นสากลขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสื่อถึงความเป็นไทยไปพร้อมๆ กับความทันสมัยที่นับวันจะวิ่งเร็วยิ่งกว่าเข็มนาฬิกา ซึ่งนิคมคาดว่าจะสามารถเปิดตัวชุดใหม่ได้ในราวๆ ต้นปี พ.ศ.2549

ด้านสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่ประกาศตัวว่าเป็นบูติก แอร์ไลน์ ทำการบินโดยเน้นการพาผู้โดยสารไปยังเมืองท่องเที่ยวเสียเป็นส่วนมาก ดังนั้นชุดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงมีสีสันสดใสและลวดลายที่ใช้ยังสื่อถึงความสนุกสนาน เพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง ดังเช่นที่หม่อมหลวง นันทิกา วรวรรณ รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ สายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้ให้ความเห็นว่า

“สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เป็นสายการบินที่พานักท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวยังที่ต่างๆ เราแบ่งแหล่งท่องเที่ยวออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทวัฒนธรรม และธรรมชาติ อย่างเช่นทะเล เพราะฉะนั้นสีที่ใช้จึงสดใสและลวดลายที่บ่งบอกถึงแหล่งท่องเที่ยว เช่นลวดลายกุ้งหอยปูปลาจะแสดงให้เห็นว่าสายการบินของเราไม่ได้เป็นแบบการบินเพื่อธุรกิจ แต่จะเน้นในเรื่องของการท่องเที่ยวและการพักผ่อน ผ่อนคลาย เพราะฉะนั้น ชุดพนักงานต้อนรับจึงออกมาในแนวคัลเลอร์ฟูล สีสันสดใส รูปกุ้งหอยปูปลา” ม.ล.นันทิกา อธิบาย ก่อนที่จะเล่าเพิ่มเติมว่า

“สำหรับสีฟ้าแกมน้ำเงิน ถือได้ว่าเป็นสีประจำสายการบินของเรา สีอื่นๆ รวมไปถึงลวดลายกุ้งหอยปูปลาถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบ ส่วนผ้าพันคอจะเป็นผ้าบาติกของภูเก็ต ชุดแอร์ก็จะมีเสื้อแขนสั้น และจะมีสูทสีฟ้าแกมน้ำเงินคลุมทับอีกที ส่วนผู้ชายจะเป็นสูทสีเทาและเสื้อตัวในก็จะเป็นเสื้อเชิ้ตสีพาสเทล (สีอ่อน) โดยจะมีหลายสีสามารถเปลี่ยนได้ ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว ชมพู ฟ้าอ่อน

โดยหลังจากที่เราเป็นบูติกแอร์ไลน์ ทุกอย่างก็จะออกแนวเทรนดี้ ทันสมัย ชุดก็ค่อนข้างทันสมัย มีสีสันสดใส เพราะฉะนั้นสีสันสดใสที่เลือกใช้สามารถสื่อถึงองค์กรในด้านการรีแรกซ์ ผ่อนคลาย สนุกสนานและสดใส เพื่อให้ได้บรรยากาศของการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง” ม.ล.นันทิกา กล่าวทิ้งท้าย

จากอดีตมาจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ชุดแอร์โฮสเตสของบ้านเรามีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหัวใจหลักของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอย่างแอร์โฮสเตส หรือสจ๊วต ก็คือ จิตใจที่รักในการบริการ คอยอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารด้วยความเต็มใจและจริงใจ เพื่อให้เกิดความรู้สึกประทับใจและกลับมาใช้บริการอีกครั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น