xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยวถ้ำ ดื่มด่ำธรรมชาติ ที่“สุราษฎร์ธานี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นานมาแล้วเคยมีคนดูดวงให้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ว่า ดวงนี้จะมีชีพจรลงเท้าคือจะต้องมีเหตุให้เดินทางอยู่ตลอดเวลา ครั้งแรกที่ได้ยินบอกตามตรงว่ายังไม่เชื่อ แต่พอกาลเวลาผ่านไปก็พบว่าใกล้เคียงกับที่มีคนเคยพูดไว้มาก เพราะพอหันกลับมาดูชีวิตทุกวันนี้ก็มิเคยได้อยู่กับที่ ต้องเดินทางไปโน่นมานี่ตลอดเวลา

อันที่จริงก็ตรงกับที่เคยฝันไว้ว่า หากมีโอกาสอยากจะเดินทางเที่ยวรอบโลก(ไม่รู้ฝันไปรึเปล่า)แต่ ณ เวลานี้ขอแค่เที่ยวให้ทั่วไทยก็สุขใจแล้ว อย่างคราวนี้ที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”มีโอกาสไปเยือนจังหวัดที่ได้ชื่อว่ามีพื้นที่มากที่สุดของภาคใต้ ซึ่งจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากจังหวัด “สุราษฎร์ธานี”

อย่างที่บอกว่าเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดของภาคใต้คือ 13,721,902 ตร.กม. แถมภูมิประเทศก็มีความหลากหลาย ทั้งน้ำตก ทะเล ภูเขา

หลายคนคงจะเคยเที่ยวทะเลของ จ.สุราษฎร์กันมามากแล้ว มาเที่ยวนี้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เลยจะพาไปเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการสัมผัสมุมมองการท่องเที่ยวแบบใหม่ของจังหวัดนี้กัน

เราเริ่มต้นทริปนี้กันที่ถ้ำขมิ้นหรือถ้ำเหม็นที่อยู่ภายในบริเวณของอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น ที่ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติปากคลองน้ำเฒ่า อำเภอบ้านนาสาร อำเภอกาญจนดิษฐ์ และอำเภอเวียงสระของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เหตุที่เรียกว่าถ้ำเหม็นนั้นเห็นจะเป็นเพราะมูล(ขี้)ค้างคาวที่มีมากมายในถ้ำ แม้ภายหลังจะมีการทำสัมปทานทำให้ขี้ค้างคาวหดหายไปมากแล้ว แต่ภายในถ้ำก็ยังได้กลิ่นอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคมากมายนักเมื่อเทียบกับความสวยงามของบรรดาหินงอก-หินยอกที่อยู่ภายในถ้ำขมิ้นแห่งนี้

ถ้ำขมิ้นถือเป็นถ้ำหินปูนที่มีความโดดเด่นและเป็นจุดท่องเที่ยวเด่นของอุทยานฯ เราสักการะศาลปู่เจ้าสมิงพรายที่ปากถ้ำ แล้วจึงเดินเข้าสู่ความมืดมิดภายใน เสียงพี่หลุยส์เจ้าหน้าที่อุทยานฯผู้นำทางบอกกล่าวให้เพื่อนร่วมอาชีพเปิดไฟตามรายทางก่อนที่เราจะเดินไปถึงเล็กน้อย ความสว่างจากแสงไฟสีเหลืองนวลขับไล่ความมืดมิดของถ้ำเมื่อซักครู่ให้หายไป บรรดาหินงอก-หินย้อยอายุหลายร้อยหลายพันปีค่อยๆอวดโฉมแก่สายตาของผู้มาเยือน

ลานรถจิ๊ป เป็นห้องแรกที่เราประจักษ์ถึงความกว้างใหญ่ของถ้ำขมิ้น ภายในลานกว้างมีรถจิ๊ปอายุเก่าแก่ตั้งเด่นเป็นสง่าให้รำลึกถึงความหลังเมื่อ 60 ปีก่อนที่ถ้ำแห่งนี้เคยทำสัมปทานเก็บมูลค้างคาว และใช้รถจิ๊ปเป็นพาหนะขับไปรอบๆถ้ำ ถัดมาเป็นจุดที่เรียกว่าลานท่านขุน มีลักษณะเป็นทำนบหินปูนขนาดใหญ่ที่มีหินงอกหินย้อยมาบรรจบกัน มีชื่อเรียกว่าเสาเอกและมีหินงอกที่สูงแหลมเรียกว่า หลักชัย เสียงพี่หลุยส์เล่าว่ากว่าจะเกิดหินงอก-หินย้อยซักหนึ่งเซนติเมตรใช้เวลาเป็นร้อยๆปีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงต้องขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวทุกท่านว่ากรุณาอย่าจับหินภายในถ้ำ เนื่องจากไขมันในตัวเราที่เกิดจากเหงื่อจะทำปฏิกิริยากับหินเหล่านั้น จนทำให้มันหยุดการเจริญเติบโตในที่สุดและจะถูกเรียกว่า หินตาย


“ผู้จัดการท่องเที่ยว” เดินผ่านจุดต่างๆของถ้ำขมิ้น เพ่งมองตรงนั้นตรงนี้ตามเสียงบรรยายแล้วก็จินตนาการตาม อย่างเช่น ห้องแจกันที่เป็นคูหาใหญ่ มีหินงอกลักษณะคล้ายแจกัน ห้องเจ้าหญิงที่มีม่านหินปูนเป็นรูปหญิงสาวหน้าตาคมเข้มมีรัดเกล้าบนศีรษะแลดูคล้ายเจ้าหญิงสวยงามยิ่งนัก เดินมาอีกหน่อยแหงนหน้ามองขึ้นไปยังช่องฟ้าซึ่งเป็นช่องทะลุของเพดานถ้ำ ที่ซึ่งค้างคาวนับแสนๆตัวใช้ช่องทางนี้เป็นเสมือนประตูบินเข้าออกถ้ำ แถมเวลาเที่ยงวันจะมีแสดงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากช่องนี้ดูสวยงามไปอีกแบบ

ใช้เวลาเดินถ้ำประมาณสองชั่วโมง เราก็ออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังสินมานะฟาร์มสเตย์ ขนำกลางลำน้ำท่าทอง อ.กาญจนดิษฐ์ จุดมุ่งหมายเพื่อไปยลหอยนางรมที่ชื่อเสียงโด่งดังว่าหอยของที่นี่ใหญ่และเนื้อขาวสะอาด และไปชิมว่าไม่มีกลิ่นคาวจริงหรือไม่ อิอิ...อันที่จริงเรากะจะฝากท้องที่นี่ซะเลย เพราะไหนๆก็มาถึงถิ่นอาหารทะเลแล้ว จะกลับไปท้องเปล่าก็กระไรอยู่

แต่ก่อนที่จะได้ชิมนั้น ก็ต้องรู้ที่มาที่ไปและวิธีการเลี้ยงหอยชนิดต่างๆจากผู้บรรยายของทางสินมานะกันก่อน หอยนางรมที่นิยมกินจัดว่าเป็นพันธุ์ใหญ่ ได้แก่หอยตะโกรมขาวและดำรงชีวิตอยู่ได้โดยการดูดน้ำรอบ ๆ ตัวเข้าไปทางด้านหนึ่งและ ปล่อยทิ้งออกอีกด้านหนึ่ง อาหารและก๊าซออกซิเจนจะเข้าไปพร้อมกับน้ำ อาหารของหอยนางรมได้แก่ แพลงค์ตอนพืชและแพลงค์ตอนสัตว์ที่ล่องลอยอยู่ในน้ำ แต่ใครจะรู้ว่าเวลาที่หอยเพศผู้และเพศเมียจะผสมพันธุ์กันนั้น ตัวเมียจะปล่อยไข่ออกมาส่วนตัวผู้ก็จะปล่อยน้ำเชื้อออกมาผสมกันภายนอก

หลังจะที่ได้อาหารสมองกันพอสมควรแล้ว ก็มาถึงเวลาที่จะได้รับสารอาหารเข้าสู่ร่างกายเสียที เราเอร็ดอร่อยกับอาหารทะเลสดๆแถมได้บรรยากาศสุดๆเพราะกินอยู่กลางขนำ(ที่พักเวลามาเฝ้าหอยและสัตว์น้ำที่เลี้ยงไว้)ลมเย็นๆพัดมาปะทะหน้าเป็นระยะๆ หอยนางรมก็สดเพราะได้มาจากฟาร์มของที่นี่ แต่ถ้าใครติดใจบรรยากาศอยากจะนอนค้างคืนก็สามารถติดต่อได้

พอตกบ่ายก็ได้เวลาบ่ายหน้าและเรือกลับเข้าฝั่ง มุ่งหน้าสู่อำเภอไชยาเพื่อไปสักการะพระบรมธาตุไชยา สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสุราษฎร์ ขอพรให้ได้กลับมาที่เมืองนี้อีกเพราะติดใจในน้ำใจและความน่ารักของชาวเมืองนึ้ แถมท้ายด้วย ขอให้รวย..ขอให้รวย สาธุ

เวลาช่วงสุดท้ายของวันนี้ เรารอให้พระอาทิตย์ตกดินแล้วจึงจัดแจงลงเรือล่องสู่แม่น้ำตาปีเพื่อไปดูหิ่งห้อยนับร้อยๆพันๆตัวส่องแสงระยิบระยับเกาะต้นลำพูและต้นกก นานมาแล้วที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ไม่ได้เห็นหิ่งห้อยบินประดับท้องฟ้ายามราตรี คืนนี้ก็เลยรู้สึกตื่นเต้นเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ระหว่างนั่งเรือก็สังเกตว่าแม่น้ำตาปีกว้างใหญ่มาก ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากมีคลองเล็กคลองน้อยไหลมารวมกันจนก่อให้เกิดแม่น้ำสายใหญ่คือแม่น้ำตาปีและทำให้มีอีกชื่อเรียกว่า คลองร้อยสาย เรือแล่นมาได้ซักพักก็เห็นต้นคริสต์มาส เอ้ย..ไม่ใช่ ต้นลำพูที่มีหิ่งห้อยนับร้อยพันตัวเกาะอยู่ตามกิ่งก้าน ส่องแสงระยิบระยับวิบวับเหมือนต้นคริสต์มาส สวยงามเพลินตาและเพลินใจ

รุ่งเช้าหลังจากซึมซับบรรยากาศเมืองใต้ที่อบอวลอยู่รอบตัวแล้ว ก็มาถึงเวลาของการกระจายรายได้ นั่นคือ..การเลือกซื้อหาของฝากที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไข่เค็มไชยา ผ้าไหมพุมเรียง เครื่องจัดสานที่ทำมาจากกระจูด ของกินของฝากมากมายเต็มสองแขนของ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ที่มาสุราษฎร์เที่ยวนี้ได้ทั้งความอิ่มใจ อิ่มท้องและยังได้ของฝากกลับบ้านด้วย

*    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    * 

สำนักงาน ททท.ภาคใต้ เขต 5 โทร.0-7728-1828,0-7728-8818 ถึง 9

อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น(ถ้ำขมิ้น) โทร.0-7734-4633

สินมานะฟาร์มสเตย์  เปิดให้บริการแบบไปเช้าเย็นกลับ ท่านละ 350 บาท(อาหาร 1 มื้อ)และแบบค้างคืนท่านละ 700 บาท (อาหาร 2 มื้อ) โทร.0-7740-2234,0-1970-2544

ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวคลองร้อยสาย(นั่งเรือชมหิ่งห้อย) 0-7720-5323 ,0-6267-6695

กำลังโหลดความคิดเห็น