xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะ-ธรรมชาติ หลอมรวมเป็นหนึ่งที่ “วัดป่า” / ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี


1...

“โอ๊ย!!!ให้เข้าวัดเหรอ หนูเข้าไม่ได้หรอกพี่ เข้าทีไรร้อนทุกที 555”

ประโยคลักษณะนี้ผมมักได้ยินเป็นประจำจากคนคุ้นเคย ที่พอพูดถึงการเข้าวัดเข้าวาทีไรพวกเขามักจะพูดแบบติดตลกขำขำว่า “เข้าวัดแล้วร้อนทุกที”

แหม...พวกนี้ช่างเข้าใจเปรียบเปรยตัวเองจริงๆ เป็นคนดีๆไม่ชอบ ชอบเป็นพวกภูตผีปีศาจ (ด้านไม่ดี) ที่เรามักจะเห็นในภาพยนตร์ว่าพอพวกนี้ย่างเข้าเขตวัดที่ไร ร่างเป็นต้องร้อนผ่าวหรือไม่ก็ลุกไหม้เป็นไฟในหลายๆฉาก

สำหรับผมแม้ไม่ได้เป็นเจตภูต แต่ว่าการเข้าวัดในหลายๆวัดก็ต้องยอมรับว่าร้อนจริงๆ เพราะหลายๆวัดในเมืองไทยเปลี่ยนความร่มเย็นภายในวัดอย่างพวกต้นไม้ใหญ่ ลานหญ้า ลานดิน ลานทราย สระน้ำที่ร่มรื่น ให้กลายเป็นลานจอดรถคอนกรีตแข็งกระด้างและร้อนระยับ

ในขณะที่บางวัดก็มุ่งเน้นความเจริญทางด้านวัตถุ ตัดต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่นจนเหี้ยน สร้างเป็นอาคารใหญ่โตเพื่อรองรับญาติโยมผู้ร้อนรุ่มในจิตใจที่เดินทางเข้ามาขอให้ช่วยสะเดาะเคราะห์ ดูดวง ขอหวย ขอโชค ขอเมตตามหานิยม ขอเครื่องรางของขลัง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเหล่าฆราวาสที่ร้อนรุ่มเหล่านั้นพอเข้าวัดประเภทนี้แล้วจะจิตสงบ ใจเย็นขึ้นหรือเปล่า

แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ก็ถือเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางสังคมไทย ที่วัดหลายๆวัดเน้นหนักไปในทางวัตถุ เน้นหนักไปทางพุทธพาณิชย์ ซึ่งผิดแผกแตกต่างไปจาก “วัดป่า” ที่มุ่งเน้นในเรื่องหลักธรรมคำสอน วัตรปฏิบัติ และแก่นแท้ของการศึกษาธรรมในศาสนาพุทธเป็นสำคัญ

เมืองไทยในปัจจุบันมีวัดป่าอยู่หลายวัด โดยเฉพาะทางภาคอีสานนี่มีค่อนข้างมาก แต่กับวัดป่าที่ผมเห็นว่ามีความแตกต่างไปจากวัดป่าอื่นๆก็คือ “วัดป่านานาชาติ”  ที่บ้านบุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เพราะพระเณรในวัดนี้(ณ ปัจจุบัน)ต่างก็เป็นชาวต่างชาติที่เดินทางมาเพื่อศึกษาแก่นธรรมในศาสนาพุทธทั้งสิ้น...

2...

พลันที่คนกิเลสหนาอย่างผมเข้าสู่เขตวัดป่านานาชาติ สิ่งแรกที่สัมผัสชัดเจนก็คือความสงบร่มรื่น ในวัดป่าฯเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่แวดล้อม แถมต้นไม้หลายๆต้นเป็น“ต้นไม้พูดได้” แต่เป็นการพูดภาษาธรรมที่ทางวัดเขียนภาษาธรรมติดไว้ตามต้นไม้หลายต้น อาทิ...ผู้ไปยึดอารมณ์จะเป็นทุกข์ เพราะอารมณ์นั้นมันไม่เที่ยง...เมื่อถึงเวลาสุดท้าย ทุกคนจำเป็นต้องวาง เอาไปไม่ได้ แต่เราก็วางไว้ก่อนจะไม่ดีกว่าหรือ แบกไว้ก็หนัก...

นับเป็นภาษาธรรมที่กระชับสั้น อ่านงาย แต่ว่าใครจะเข้าใจเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับดวงตาและดวงใจที่เห็นธรรมของแต่ละคน

นอกจากต้นไม้พูดได้ในภาษาธรรมแล้ว บรรดาสัตว์ตัวน้อยๆที่อยู่ในวัดป่าฯแห่งนี้ ต่างก็ส่งเสียงทักทายอาคันตุกะแปลกหน้าอย่างผม ไม่ว่าจะเป็น กระรอก 4-5 ตัวที่วิ่งแว็บไปแว็บมาตามต้นไม้ 2 ข้างทาง นกบนยอดไม้ที่ส่งเสียงทักทายท่ามกลางแมลงตามต้นไม้ที่ส่งเสียงประสานขานรับ

นับเป็นการทักทายไร้พรมแดนไร้ชาติชั้น ซึ่งสอดคล้องกับธรรมะไร้พรมแดนที่หลวงปู่ชา สุภัทโธ (พระเถระชื่อดังสายวิปัสสนา) ท่านสอนไว้ว่า “...ธรรมที่แท้จริงไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นสัจธรรม ไม่มีชาติชั้นวรรณะ เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะรู้ได้ด้วยตนเอง...”

และด้วยความที่ธรรมะไร้พรมแดนที่เอง วัดป่านานาชาติแห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้นมา โดยเป็นวัดที่แยกมาจากสาขาของวัดหนองป่าพง (ต.โนนโหนน อ.วารินชำราบ) เริ่มก่อร่างสร้างวัดขึ้นมาใน ปีพ.ศ. 2518 มีพระอาจารย์สุเมโธ (ชาวอเมริกัน) เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก

มาในปัจจุบันวัดป่านานาชาติ มีพระอาจารย์ญาณธัมโม (ชื่อในสมัยที่เป็นฆราวาสคือ ฟิลลิป จอห์น โรเบิร์ต ชาวออสเตรเลีย) เป็นเจ้าอาวาส(เริ่มเป็น พ.ศ. 2545) ซึ่งพระอาจารย์ญาณฯ เล่าให้ผมฟังว่า ในสมัยที่ท่านเป็นนักศึกษาร่ำเรียนเพื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในออสเตรเลีย มักมีจิตใจฟุ้งซ่านไม่สงบนิ่ง จนมาวันหนึ่งได้หาหนังสือธรรมะมาอ่านฆ่าเวลา

“วันนั้นประทับใจเรื่องอริยสัจ 4 มาก อาตมาเลยอ่านหนังสือทั้งคืนจนจบ และรู้สึกว่าอาตมาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธไปแล้ว พอเรียนจบก็เดินทางมาบวชในเมืองไทย(พ.ศ.2521)ที่วัดบวรนิเวศฯ ก่อนที่จะขอไปศึกษาพระธรรมจากหลวงปู่ชา เพราะว่าเลื่อมใสในแนวทางปฏิบัติของท่าน”

แต่ว่ากว่าพระอาจารย์ญาณธัมโมจะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ ที่มีคนเคารพนับถือกันเป็นจำนวนมากนับว่าไม่ง่ายเลย ยิ่งท่านเป็นชาวต่างชาติ ความแตกต่างในวิถีชีวิตวัฒนธรรม อาหารการกิน และภาษา ดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้การปฏิบัติธรรมของท่านลำบากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้สมัยที่ท่านบวชใหม่ๆครอบครัว(พ่อ-แม่ ญาติพี่น้อง)ของท่านที่เป็นคริสต์ก็ไม่เข้าใจว่าท่านมาทำอะไรที่เมืองไทย ทำไมจะต้องทนทุกข์ทรมานตัวเองขนาดนี้

“ช่วงแรกๆหลวงปู่ชาสอนให้เรารู้จักอ่านใจตัวเอง ท่านบอกว่าคนต่างชาติเรียนมาก อ่านมาก ก็รู้มาก แต่ว่าใจกลับไม่สงบ ช่วงนั้นจึงฝึกนั่งสมาธิทำให้จิตสงบโดยหลวงปู่ชาท่านนั่งให้ดูเป็นตัวอย่างพวกเรา(พระต่างชาติในรุ่นนั้น)ก็พยายามทำตาม เห็นหลวงปู่ท่านนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก แต่พวกเราพอนั่งแล้วรู้สึกเมื่อ เหน็บกิน ต้องขยับโน่นขยับนี่ แต่พอฝึกฝนเข้าทุกวันก็สามารถปฏิบัติได้”

พระอาจารย์ญาณฯเล่าความหลัง ก่อนที่ท่านจะเล่าถึงแนวทางคำสอนของหลวงปู่ชาว่า

“หลวงปู่ชาท่านเน้นให้พึ่งตนเอง แรกๆที่บวชอาตมาไม่ค่อยเข้าใจคำสอน บางทีถามท่าน ท่านก็ถามกลับแล้วบอกให้ลองคิดตามแนวทางอริยสัจ 4 ซึ่งกว่าอาตมาจะเข้าใจก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร”

แต่ว่าท้ายที่สุดแล้ว การเคี่ยวกรำอย่างหนัก ก็ทำให้พระอาจารย์ญาณฯ ทลายกำแพงแห่งเชื้อชาติไม่มีพระไทย ไม่มีพระต่างชาติ มีแต่ “พระป่า” ที่ดำเนินวิถีแห่งธรรมเข้ากับวิถีแห่งธรรมชาติอย่างยากที่จะแยกสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกจากกัน

...คนจะบรรลุธรรมะ จะได้เห็นธรรมะ ต้องรู้จักว่าธรรมะอยู่ตรงไหนเสียก่อน ธรรมะที่แท้จริงอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ อยู่ที่กาย อยู่ที่ใจ ให้เอาใจนี้พิจารณากาย นี้เป็นหลักการพิจารณา... : หลวงปู่ชา

3...

ใช่ว่าธรรมะ จะเป็นเรื่องราวของพระภิกษุ เรื่องราวผู้แสวงธรรม เรื่องราวผู้ต้องการหลุดพ้น หรือเรื่องราวของผู้ใหญ่เสมอไป แต่ว่ากับเด็กก็มีธรรมะในหัวใจได้

เด็กชายยุ่ง หรือ ธนรัฐ บุญสินธุ์ ชั้น ม.1 โรงเรียนเยาวเรศศึกษา(ยุ่งบอกว่าเป็นโรงเรียนคริสต์) ในอุบลฯนับเป็นอีกผู้หนึ่งที่มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์ญาณฯ

“สมัยก่อนผมเป็นเด็กเกเร ชอบเล่นเกม คุณยายเลยมาผมมาฝากตัวตั้งแต่ ป.4 โดยผมจะบวชทุกปิดภาคเรียน ส่วนเวลาเรียนก็จะมารับใช้ท่านอาจารย์ที่นี่”

หากจะถามเรื่องธรรมะที่เป็นหลักธรรมคำสอนอาจจะดูไกลไปสำหรับยุ่ง และไกลมากๆสำหรับผม แต่สิ่งหนึ่งที่ยุ่งเล่าให้ผมฟังและเห็นว่าจริงๆแล้วธรรมะอยู่ใกล้ตัวแค่นี้ก็คือ

“เดี๋ยวนี้ผมเรียนดีขึ้น จิตใจไม่วอกแวก และไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาไปเล่นเกม นอกจากพระอาจารย์จะสอนธรรมะแล้วท่านยังสอนภาอังกฤษให้อีกด้วย”

นี่คือสิ่งที่ยุ่งได้ซึมซับมาจากการเข้าวัดป่านานาชาติเสมอ ซึ่งหากยุ่งยังคงดำรงแนวทางชีวิตเช่นนี้ไว้จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ชีวิตของยุ่งจะไม่ยุ่งแน่นอน...
กำลังโหลดความคิดเห็น