xs
xsm
sm
md
lg

จากชีวิตต้องสู้ สู่"ยอดเชฟมือทอง"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



จากอาชีพที่หลายคนเคยมองผ่านว่าเป็นงานก้นครัวสำหรับผู้ใช้แรงงานที่ไม่มีการศึกษา แต่ ณ วันนี้ หัวหน้าคนครัวผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร หรือ เชฟ (Chef) กลับเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับจากสังคม แถมผู้ที่เป็นยอดเชฟมือทองยังมีรายได้งามอีกต่างหาก

ทว่าบรรดายอดเชฟในเมืองไทยหลายๆคนไม่ได้ผ่านกระบวนการเข้าคอร์สร่ำเรียนหลักสูตรทำอาหารมาโดยตรง แต่ว่าพวกเข้าใช้วิธีการครูพักลักจำและจิตใจที่รักในการทำอาหาร สั่งสมประสบการณ์ไต่เต้าขึ้นมาจนกลายเป็นเชฟมือทอง ซึ่งนอกจากฝีมือการทำอาหารที่น่าทึ่งแล้ว ชีวิตของเชฟหลายๆคนก็ถือว่าน่าทึ่งไม่แพ้กัน

ก้าวย่างด้วยความอดทน กว่าจะเป็นเชฟมือหนึ่ง

ในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบอาหารจีนรสเลิศ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก "โกหยิบ" หรือ "ภาสกร ฤชุตระกูล" ผู้มีประสบการณ์มากว่า 38 ปี ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเชฟในภัตตาคารเอเวอร์กาเด้นท์ โรงแรมเอเวอร์กรีน ทั้งยังเป็นอาจารย์ผู้สอนเชฟฝีมือดีอีกหลายคน ซึ่งกว่าจะมาเป็นเชฟอาหารจีนในระดับอ๋องนั้นโกหยิบต้องใช้ความอดทนพยายามอย่างมาก

โกหยิบเกิดและเติบโตที่เยาวราช พ่อของเขามาจากกวางเจาและเคยเป็นพ่อครัวทำติ่มซำอยู่ที่ภัตตาคารขี่จันเหลาในเยาวราช ต่อมาพ่อของโกหยิบได้เปิดร้านบะหมี่ไทหลงขึ้น ส่วนโกหยิบนั้นด้วยความที่ไม่ค่อยชอบเรื่องการเรียน เมื่อพ่อป่วยหนักจึงได้เรียกโกหยิบเข้าไปคุยและบอกว่าถ้าไม่เรียนก็ต้องมีวิชาชีพติดตัว พ่อของเขาจึงหัดให้ตีหมี่และดูแลที่ร้านเมื่ออายุประมาณ 15-16 ปี

แต่การทำที่ร้านบะหมี่นั้นไม่มีวันหยุด โกหยิบจึงเปลี่ยนมาทำงานโรงกลึงแทน ที่สุดแล้วก็ค้นพบว่าไม่ใช่สิ่งที่ตนรัก ประจวบเหมาะกับที่อาซึ่งเป็นเชฟอยู่ที่ภัตตาคารแมนดาริน โรงแรมชวลิต(ปัจจุบันคือ ภัตตาคารฮ่องเต้ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์) ชวนให้ไปทำงานด้วย

และนับแต่นั้นมาโกหยิบก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุทธจักรเชฟ โดยเขาได้ฝึกฝนเรียนรู้เรื่องในครัวและเรื่องการทำอาหารจีน ไต่ลำดับเป็นชั้นๆขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเชฟโกหยิบเองก็ต้องใช้ความอดทนฝึกฝนเรียนรู้นานถึง 6 ปี

"ปีแรกเริ่มจากการทำหน้าที่ 'ทั่วไป' ก่อน คือเป็นเด็กรับใช้ทั่วไปในครัว แล้วแต่จะใช้ ตั้งแต่เทขยะ เดินตลาด ล้างจานขัดหม้อ ต่อมาเป็น 'โต๊ะน้ำ' คือเป็นมือสังหาร ปู ปลา แล้วมาเป็น 'ยืนเขียง 3'แต่ถ้าภัตตาคารบางแห่งใหญ่ก็เริ่มที่ 'ยืนเขียง 4' คือหั่นทุกอย่างทั่วไปที่ขวางหน้า จากนั้นก็เลื่อนเป็น 'ผอเถา' คือเริ่มทำอาหารทดลองฝีมือ แต่เป็นส่วนการทำให้กับระดับพนักงานด้วยกันกิน" โกหยิบรำลึกความหลัง

หลังจากนั้น พอปีที่ 2 - 3 โกหยิบเริ่มฝึกฝีมือลำดับถัดมา จาก 'กระทะ 3' คือรับหน้าที่ทอดอย่างเดียว ซึ่งทำให้ได้เทคนิคการทอดต่างๆ ที่ต้องมีความแตกต่างกัน ต่อมาเป็น 'ยืนเขียง 2' คือชั่งน้ำหนักของตามที่เชฟสั่ง และจัดระเบียบของในตู้เย็น ต่อมาเป็น 'กระทะ 2' คือเริ่มได้ทำเมนูผัด และทำเมนูเกรดเล็กๆ แล้วเป็น 'ยืนเขียง 1' คือคุมงานด้านนอกทั้งหมด เช่นการสั่งจ่ายตลาด ที่สุดถึงได้เป็น 'เถ่าชิ้ว' (ภาษาแต้จิ๋ว) หรือ เชฟ คือดูแลทุกอย่างในภาพรวม ควบคุมเรื่องรสชาติ และทำเมนูใหญ่ๆ อย่างเช่น เป๋าฮื้อ หูฉลาม

งานต่างๆเหล่านั้นคือลำดับขั้นก่อนจะขึ้นมาเป็นเชฟใหญ่เมื่อประมาณ 15 ปีก่อน ซึ่งต้องใช้ความอดทนและฝึกฝนเรียนรู้อย่างมาก นี่จึงอาจเป็นข้อได้เปรียบของเชฟรุ่นเก่าที่ผ่านการสะสมประสบการณ์ เพราะปัจจุบันการก้าวขึ้นมาเป็นเชฟนั้นง่ายและเร็วกว่าสมัยก่อน ทำให้บางอย่างอาจจะรู้ไม่มากเท่า

"สมัยก่อน อย่าว่าแต่ทำอาหารเลยเพราะแค่ 3 ปีนี่ ให้ศึกษาชื่อผักชื่ออาหารเป็นภาษาจีนก็แทบจำไม่ได้แล้ว เพราะมันมีมาก บางอย่างไม่รู้จะแปลหรืออธิบายอย่างไร ก็ต้องพูดทับศัพท์กัน คืองานมันสอนคน และทำให้รู้ลึกและรู้จริง ชื่ออาหารจีนบางอย่างเชฟใหม่ๆ บางคนก็ยังไม่รู้ บางคนก็ยังทอดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไม่เป็น หรือเชฟบางคนยังไม่รู้เลยว่าฮะเก๋ามีกี่จีบ"

โกหยิบให้ความเห็นด้วยว่า ถ้าคิดอยากเป็นเชฟจีน ก็ต้องถามตัวเองก่อนให้แน่ใจว่ามีใจรักหรือไม่ ที่สำคัญต้องอดทน สู้งาน และขยัน ส่วนเคล็ดลับการเป็นเชฟจีนที่ดีคือ ต้องรู้ลึกและรู้ซึ้งกับความเป็นอาหารจีน ต้องมีไหวพริบเพราะการทำอาหารทุกๆ วันนั้น มีบ้างที่จะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และไม้ตายที่สุดคือ ต้องถามตัวเองว่าอาหารที่ทำนั้นอยากจะกินไหม เพราะถ้าขนาดเราไม่อยากกิน ก็อย่าเอาไปให้ลูกค้ากิน

"เวลาทำอาหารผมจะไม่คุยกับใคร จะตั้งใจทำเพื่อให้ออกมาดี คือก่อนที่เราจะลงมือทำอะไรสักอย่าง ต้องถามตัวเองก่อนว่า เรากำลังจะทำอะไรอยู่ ไม่วอกแวก เคยมีคนถามผมว่า ใส่อะไรในอาหารถึงทำออกมาได้อร่อย ผมบอก ใส่ใจก็อร่อยแล้ว เพราะต้องทำด้วยความรักด้วยความเต็มใจที่จะทำ ทำงานแล้วอย่าเครียด ทำงานให้มีความสุข งานมันก็จะออกมาดี อย่าสักแต่ว่าทำโดยที่ไม่ได้เอาใจใส่เข้าไปด้วย"

เชฟอาหารญี่ปุ่น ที่ "ตัน โออิชิ" ตามหา

เล่ากันว่ากว่าที่ "ตัน ภาสกรนที" เจ้าของภัตตาคารบุฟเฟต์โออิชิจะเปิดร้านสาขาแรกที่ทองหล่อได้เมื่อเกือบ 6 ปีก่อนนั้น เขาต้องเสาะแสวงหาเชฟผู้เชี่ยวชาญอาหารญี่ปุ่นด้วยการตระเวนกินอาหารญี่ปุ่นไปหลายๆร้าน เพื่อให้ได้เชฟอาหารญี่ปุ่นที่เป็นมือหนึ่งในเมืองไทย จนกระทั่งได้พบกับเชฟ "ถนอม ดีนาน"

เชฟถนอมเกิดที่ลพบุรี จบการศึกษาชั้น ป.6 เมื่ออายุ 14-15 ปี ได้เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ โดยทำที่โรงงานพลาสติกได้ 2 ปี พอดีกับพี่ชายซึ่งทำงานสวนอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่น "ไดโกกุ" ย่านถนนพระราม 4 ชวนให้ไปทำงานด้วย จึงได้เข้าไปทำงานในตำแหน่ง 'ผู้ช่วยเชฟ' ทำหน้าที่สารพัดอย่างแล้วแต่เชฟจะสั่ง ตั้งแต่ล้างจาน ขัดหม้อ หั่นผัก แต่ยังไม่ได้เริ่มจับหรือทำอาหาร ซึ่งตอนนั้นเชฟเป็นชาวญี่ปุ่น จึงพอได้ความรู้ภาษาและการทำอาหารญี่ปุ่นจากคนที่เป็นต้นตำรับจริงๆ

หลังจากเป็นผู้ช่วยเชฟได้ปีกว่า เชฟถนอมก็ได้เลื่อนขึ้นมาอยู่ที่ 'ครัวร้อน' ทำหน้าที่ดูแลเตาและช่วยทำอาหารร้อน และขยับมาทำหน้าที่เกี่ยวกับการทำอาหารมากขึ้น ผ่านไป 2-3 ปี จึงได้มาอยู่ในแผนกซูชิ กระทั่งเชี่ยวชาญและมีฝีมือ ขึ้นแท่นเป็นพ่อครัวซูชิมืออันดับต้นๆ จนมีโอกาสได้ทำงานในร้านอาหารญี่ปุ่นอีกหลายแห่ง ทั้งที่ร้านไดโกกุ ร้าน Tsukiji ร้านเซน รวมทั้งเคยได้ไปทำงานที่ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย สเปน และล่าสุดคือประเทศกัมพูชา ซึ่งตอนนั้นก็มีโครงการเตรียมจะไปทำงานที่ประเทศเบลเยี่ยม แต่พอดีว่ากลับมาเมืองไทย แล้วได้เจอกับคุณตันเสียก่อน

"คุณตันเคยไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ผมทำตอนที่อยู่ร้านเซน ก็คงจะจำฝีมือกันได้ พอช่วงที่ผมไปทำร้านอาหารที่กัมพูชา คุณตันได้ไปหาที่ร้านเซนแต่ไม่เจอ เลยฝากเบอร์โทรศัพท์ไว้ ผ่านไปหลายเดือนจนผมกลับเมืองไทย จึงได้โทรศัพท์หาคุณตัน แล้วที่สุดก็ตกลงทำงานในตำแหน่ง Executive Chef ของภัตตาคารบุฟเฟต์โออิชิ หน้าที่ในแต่ละวันก็ต้องตระเวนไปตามสาขาต่างๆ เพื่อดูแลในส่วนอาหารและพนักงานในครัว

ที่ได้มาทำงานกับคุณตันนี้ก็ไม่เคยถามคุณตันว่าทำไมถึงเป็นผม อาจจะเป็นเพราะดวงสมพงษ์กันมั้งครับ (หัวเราะ) และอาจจะเป็นที่เรามีประสบการณ์มาหลายที่ ซึ่ง 30 กว่าปีมานี้ก็ทำซูชิทำอาหารญี่ปุ่นมาตลอด"

เชฟถนอมบอกว่าไม่เคยผ่านการเรียนหลักสูตรเชฟใดๆ มาก่อน ทั้งหมดที่ได้มาคือประสบการณ์จากการอดทนและสั่งสมความรู้ด้วยตนเอง ถ้าอาหารตัวไหนน่าสนใจ ก็พยายามจดจำสูตรและรสชาติแล้วนำมาปรับประยุกต์ให้เป็นสูตรเอกลักษณ์ของตัวเอง

"ถามว่าเราเก่งมีฝีมือไหม คือมันก็ไม่มีอะไรมาวัด ไม่ใช่ว่าเราทำอาหารอร่อยที่สุด ดีที่สุด แต่ที่ทำให้เป็นอยู่ทุกวันนี้คงเพราะการเอาใจใส่เรียนรู้ของเรา ต้องรู้ให้จริง สำหรับคนที่อยากมาเป็นเชฟอาหารญี่ปุ่น อย่างแรกคือต้องมีใจรัก อย่าสักแต่ว่าทำ แล้วเมื่อทำก็ต้องคิดถึงคนกินด้วยคือเน้นความสด สะอาด มีคุณภาพ และควรที่จะต้องรู้คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นไว้ด้วย ซึ่งคนรุ่นใหม่ๆ อาจจะเสียเปรียบตรงที่ไม่เคยผ่านขั้นตอนและระยะเวลามากเท่าคนรุ่นก่อน"

จากเด็กล้างจาน อดทนสู้งาน จนเป็นเชฟใหญ่

เส้นทางการเป็นหัวหน้าพ่อครัวของ "ทองมี กุลาสา" หรือเชฟเขียว หัวหน้าครัวอาหารไทยแห่งร้านอาหาร "มอร์น 2" ย่านถนนสุขาภิบาล 3 อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญรวมเข้ากับความขยันและสู้งานของเขานั่นเอง

จากเด็กหนุ่มกาฬสินธุ์ ที่ฐานะทางบ้านไม่ดีนัก เรียนจบเพียงชั้น ป. 6 ก็ต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา เมื่ออายุ 16-17 ได้ไปทำงานโรงงานไม้ยางพาราที่ จ.ระยอง โดยทำหน้าที่เผาถ่าน จนกระทั่งมีเพื่อนชวนไปทำงานร้านอาหารมอร์น ที่กรุงเทพฯ เพราะพี่ชายของเพื่อนทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ก่อน ซึ่งหน้าที่แรกของเชฟเขียวก็คือ เป็นเด็กล้างจาน โดยได้เงินเดือน เดือนแรก 800 บาท

แต่ด้วยความขยัน เมื่อมีเวลาว่างก็จะรับอาสาช่วยทำงานในหน้าที่อื่นๆ ด้วย หลังจากนั้นได้มีโอกาสเข้าไปช่วยงานในครัวนานถึง 3 ปี ประจวบกับที่เชฟคนเก่าเป็นอิสลาม เมื่อต้องทำหรือต้องชิมอาหารที่มีหมูเป็นส่วนประกอบ จึงต้องยกหน้าที่นี้ให้กับเขา ซึ่งทั้งวิชาครูพักลักจำและวิชาที่สอนจากครูเชฟโดยตรง จึงทำให้เชฟเขียวได้เรียนรู้หลายอย่างในตอนนั้น

ต่อมาเชฟคนเก่าลาออกไปทำกิจการส่วนตัว เจ้าของร้านจึงถามความเห็นว่าจะให้ใครมาทำหน้าที่แทน ซึ่งเชฟคนเก่าก็เลือกเป็นเชฟเขียว ทั้งที่ในร้านตอนนั้นมีคนทำครัวคนอื่นที่อายุมากและอยู่มานานกว่าเขาหลายคน

"ถ้าเรื่องฝีมือการทำอาหารคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่คงเป็นเรื่องความอดทนมุ่งมั่น เอาใจใส่ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ เพราะถ้าเราทำดี ก็มีคนสนับสนุน ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นพ่อครัว เพราะที่บ้านจน เรียนก็ไม่สูง พอมีคนมาชวนไปทำงานก็ไปตามเขา คิดว่ามีอะไรก็ทำไป เพราะอยากมีรายได้ให้ครอบครัว ซึ่งพอได้มาเริ่มทำตรงนี้ ก็พยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุด แล้วก็ถือว่าเป็นความโชคดีของผมด้วยที่ได้มาเจออย่างนี้ เพราะที่ร้านดูแลเป็นอย่างดี เจ้านายดี งานดี เพื่อนร่วมงานดี ทำแล้วก็สบายใจ นี่ก็อยู่มา 15 ปีแล้วครับ"

"ตอนทำงานหนักๆ เหนื่อยๆ ก็ไม่คิดท้อนะ เพราะผมเองก็ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก คือเราทำงานแล้วก็ต้องสนุกและเอาใจใส่กับงาน คุณสมบัติของเชฟที่ดีอย่างหนึ่งคือต้องชอบที่จะเรียนรู้ อะไรที่เราไม่รู้ ก็ต้องฝึกฝน หาหนังสือมาอ่าน มาปรับประยุกต์ทดลองทำให้เป็นสูตรสไตล์ของเรา คือต้องเรียนรู้ตลอด เพราะเดี๋ยวนี้มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาตลอด"

ถามถึงความรู้สึกต่ออาชีพนี้ เชฟเขียวบอกว่าเป็นงานที่ทำให้ภูมิใจได้ และตอนนี้มีคนให้ความสนใจเพิ่มขึ้นเพราะไม่ใช่แค่เป็นเชฟในเมืองไทย แต่ยังมีโอกาสได้ไปถึงต่างประเทศ รายได้ดีและประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

"ถึง ณ ตอนนี้ผมก็ถือว่าพอใจนะ เพราะสามารถที่จะดูแลพ่อแม่และครอบครัวได้อย่างสบายๆ"

ผมเกิดมาเพื่อเป็นเชฟ

สำหรับ "ดอน วีโต้ เซอร์วา" (Don Vito Serva) หรือเชฟวีโต้ ซึ่งเป็นชาวอิตาลีโดยกำเนิด อาจจะได้เปรียบตรงที่ครอบครัวมีกิจการร้านอาหารและตัวเขาเองก็เคยผ่านการเรียนหลักสูตรการทำอาหารมาโดยตรง ซึ่งในความเป็นเชฟต่างชาติและผ่านประสบการณ์ในหลายประเทศ ทำให้เขามีมุมมองต่อการอาชีพเชฟที่น่าสนใจ

เชฟวีโต้ มีประสบการณ์ในแวดวงเชฟเป็นเวลากว่า 20 ปี เขาจบการศึกษาด้าน International Culinary จากสถาบัน Movenpick ประเทศเยอรมันนี ซึ่งเป็นสถาบันที่มีศิษย์เก่าเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน เขาเติบโตมาในครอบครัวเชฟ มีพ่อเปิดร้านอาหารอิตาเลี่ยนและเป็นเชฟเองด้วย ส่วนแม่ก็ทำอาหารได้อร่อยและมีสูตรลับเฉพาะของครอบครัวมากมาย ทำให้เชฟวีโต้ซึมซับความรักในการปรุงอาหารและอยากเป็นเชฟ เขาได้ช่วยงานในร้านของครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก และได้เริ่มทำงานเป็นกุ๊กเมื่ออายุ 16-17 ปี แม่คือแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นเชฟเพราะต้องการทำอาหารออกมาให้ได้รสชาติอย่างที่เขาเคยโตมากับมันให้ลูกค้าของเขาได้กินอย่างนั้นด้วย

จึงเรียกว่าการทำอาหารนั้นอยู่ในสายเลือด เขาผ่านประสบการณ์การทำอาหารในร้านอาหารหลายประเทศทั่วโลก แต่หลังจากที่แต่งงานกับภรรยา เชฟวีโต้ได้ย้ายมาอยู่ในประเทศไทย จนถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลากว่า 16 ปีแล้ว และได้เปิดร้านอาหาร "เวเนเซีย" ซึ่งตั้งอยู่ที่สุขุมวิท 11เพื่อที่ว่าจะได้ทำอาหารอิตาเลียนแท้ๆในสไตล์ของเขาเอง ซึ่งสิ่งที่เชฟรักษาไว้จนเป็นเอกลักษณ์ของเขาเองคือความเป็นต้นตำรับอิตาเลียนดั้งเดิมแท้ทั้งในสูตรอาหาร และส่วนผสม อุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เชฟวีโต้ถือเป็นบรรทัดฐานในการทำงานที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใดก็ตาม

เอกลักษณ์ของเชฟวีโต้ คือ การทำอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนแท้ๆ ไม่มีการดัดแปลงเมนูให้เป็นฟิวชั่นอย่างที่เชฟส่วนใหญ่นิยมทำกัน รวมถึงการจัดแต่งอาหารที่ทำอย่างง่ายๆ ใช้จานสีขาวกับทุกอย่าง เพราะอยากให้ลูกค้ารู้สึกสบายๆ ไม่ต้องรู้สึกว่ามาทานอาหารยุโรปแล้วอึดอัด เป็นทางการหรืออาหารแต่งมาวิจิตรพิสดารเกินไปจนไม่กล้าที่จะกิน

เชฟวีโต้บอกว่าส่วนผสมที่สำคัญที่สุดที่จะชูรสชาติให้แต่ละจานที่ทำออกมาได้อร่อยนั้นคือความรักในการทำอาหาร (cooking passion) ตามมาด้วยความชอบทดลองสิ่งต่างๆ (cooking professional) อย่างตัวเชฟวีโต้เองก็มีการคิดคิดค้นสูตรใหม่เป็นเมนูพิเศษทุกๆ 2 – 3 วัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้งานน่าสนใจและน่าตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา เชฟวีโต้ไม่เชื่อเรื่องพรสวรรค์ เชฟบอกว่าส่วนตัวเขาไม่มีพรสวรรค์เลย อาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์ การเปิดโลกทัศน์ให้กับตัวเองและทัศนคติที่ดี ไม่มีสูตรสำเร็จในการเป็นเชฟที่ดี ทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง

"การเป็นเชฟเป็นอาชีพที่ไม่ยากหรือง่าย ต้องอาศัยใจรักในการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าที่จะลองในสิ่งที่แตกต่าง อาศัยประสบการณ์ในการที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ"

เมื่อถามถึงจุดสูงสุดของอาชีฟเชฟ เชฟวีโต้บอกว่าจุดสูงสุดของเชฟแต่ละคนต่างกัน เหมือนคนแต่ละคนที่มีเป้าหมายต่างๆ กันไปในชีวิต เชฟบางคนอยากเปิดร้าน เชฟบางคนอยากเป็นเชฟมือหนึ่งของโรงแรมเครือดังๆ เช่น Ridz, Hilton, Accor, Four Season บางคนอยากท่องเที่ยวเดินทางหาประสบการณ์ บางคนแค่ได้ทำอาหารเสิร์ฟลูกค้าเฉยๆก็ถือว่าเป็นจุดสูงสุดแล้ว

"ผมเองอาจจะเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นเชฟ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องเป็นอย่างผม เชฟไม่ใช่คนที่ต้องง่วนอยู่หน้าเตาทำอาหารงกๆ เชฟเป็นเหมือนผู้บริหารครัวและเอนเตอร์เทนเนอร์ เชฟที่ดีต้องสามารถเทรนกุ๊กในครัว คิดค้นสูตรอาหาร ดูแลการใช้ส่วนผสม คิดเมนูใหม่ๆ และออกมาบริการลูกค้าด้วยตัวเอง คือ 50 เปอร์เซนต์คือดูแลงานในครัว อีก 50 เปอร์เซนต์อยู่ในส่วนไดนิ่งแอเรีย ต้องรักการบริการและพบปะผู้คน เป็นอาชีพที่ทำให้คนมีความสุข ผมจึงชอบอาชีพนี้มาก"

สำหรับเส้นทางการเข้าสู่อาชีพเชฟของแต่ละคน อาจจะมีส่วนที่คล้ายและต่างกัน แต่ทั้ง 4 เชฟ คงจะเป็นตัวอย่างให้กับคนที่อยากจะเป็นเชฟได้เข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นมาตั้งแต่เกิดหรือเพราะมีพรสวรรค์ติดตัวมา หากแต่สิ่งที่จำเป็นที่สุด คือต้องมีใจรัก พร้อมจะเรียนรู้และฝึกฝน ที่สำคัญคือต้องมีความอดทนและพยายามเพื่อจะฝ่าด่านทดสอบและก้าวออกมาเป็นเชฟผู้มีฝีมือและเป็นที่ยอมรับได้

เคล็ดลับคำแนะนำจากเชฟระดับโลก

คีธ ฟลอยด์ (Keith Floyd) ซึ่งติดอันดับพ่อครัวระดับโลก และเป็นผู้ดำเนินรายการทีวีเกี่ยวกับการสอนทำอาหารที่ไม่เหมือนใคร เพราะเขาสร้างสรรค์เมนูแปลกใหม่ที่ทำง่าย โดยฟลอยด์รักที่จะเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อค้นหาอาหารของชาตินั้นๆ มาดัดแปลงตามแบบฉบับของเขาเอง

ฟลอยด์เกิดที่ประเทศอังกฤษ และเริ่มต้นเป็นนักเขียน ต่อมาได้สมัครเป็นทหารจนมีตำแหน่งสูงสุดเป็นถึงร้อยตรีในหน่วยทหารรถถังที่ 3 ซึ่งประจำการอยู่ในประเทศเยอรมันนี หลังจากปลดประจำการเขาได้ทำงานในร้านอาหารในหลายๆ ตำแหน่ง จนกระทั่งได้เป็นเจ้าของร้านเองและทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ที่สุดแล้วสิงที่เขารักที่จะทำมากที่สุดก็คือการทำอาหาร และเขาก็ได้กลายเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากการทำรายการโทรทัศน์และการเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับการสอนทำอาหาร

ในโอกาสที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อเตรียมเมนูและอบรมเชฟผู้ให้บริการที่ห้องอาหาร Floyd’s Bowthai ของโรงแรมบุราส่าหรี ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต เขาได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็นเชฟว่า

"เวลาที่ผมปรุงอาหาร ผมจะเรียนรู้และเพลิดเพลินไปกับการทำอาหารในแต่ละครั้ง เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา ผมคิดว่าในแต่ละประเทศก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากรสชาติของอาหารแล้ว ยังมีวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่ไม่แตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารของชาติไหน พ่อครัวหรือแม่ครัว จะต้องใส่ความรู้สึกลงไปในอาหารที่ทำด้วย อาหารถึงจะอร่อย ผมถือว่าการปรุงอาหารด้วยความเคารพและรัก คือเคล็ดลับที่เยี่ยมยอดที่สุด"
กำลังโหลดความคิดเห็น