โดย : ปิ่น บุตรี

“บั้งไฟพญานาค” ชื่อนี้ยังคงเป็นปริศนาว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร???
บ้างก็ว่าเกิดจากปรากฏการณ์ของธรรมชาติ
บ้างก็ว่าเป็นการกระทำของพญานาคที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง
ส่วนบางคนว่าเกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ
เรียกว่าแต่ละคนต่างก็มีมุมมองเกี่ยวกับเจ้าลูกไฟประหลาดที่เรียกว่า“บั้งไฟพญานาค” ซึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ลำน้ำโขงบริเวณ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ในทุกคืนวันออกพรรษาแตกต่างกันออกไป
แต่ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อานิสงส์ของ(ชื่อ)พญานาคได้ส่งผลให้จังหวัดหนองคายและเมืองเวียงจันทน์ สปป.ลาว รับเงินไปแบบเนื้อๆเน้นๆในช่วงวันออกพรรษา
ส่วนในวันปกตินั้นอ้าย“คำหล้า รัศมี” นับเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับอานิสงส์จากพญานาคด้วยเช่นกัน
อ้าย(พี่ชาย)คำหล้าเป็นคนบ้านจานเหนือ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆริมแม่น้ำโขงที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเมืองหลวงพระบาง
บ้านจานเหนือ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ มีหลักฐานความเก่าอยู่ที่ “สิม”(โบสถ์)วัดบ้านจานเหนือที่มีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี ปัจจุบันยูเนสโกกำลังเตรียมเข้ามาบูรณะเนื่องจากว่าทรุดโทรมมาก

บ้านจานเหนือ มี“หลักบ้าน”ตั้งอยู่กลางลานหมู่บ้านที่ชาวบ้านจานเหนือต่างให้ความเคารพหลักบ้านกันถ้วนหน้า โดยทุกๆปีจะมีการทำพิธีบูชาหลักบ้านกันปีละ 2 ครั้ง
บ้านจานเหนือ มีชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ ต่างใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ จับปลา ท่ามกลางวิถีที่สงบเรียบง่าย แต่ว่าก็มากมายไปด้วยรอยยิ้มและน้ำมิตรจิตใจที่ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของคนเมืองหลวงพระบาง
บ้านจานเหนือ มีบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้แบบลาวดั้งเดิม มีใต้ถุนสูง หลังคามุงกระเบื้องดินเผาหรือไม่ก็มุงด้วยสังกะสี
บ้านจานเหนือ มีบ้านหลายๆหลังติดตั้ง “อ่างดาวเทียม”หรือจานดาวเทียมไว้เพื่อรับชมทีวี ซึ่งไอ้เจ้าเครื่องหน้าเหลี่ยม เอ๊ย!!! ไม่ใช่เครื่องจอเหลี่ยมนี้ ถือเป็น 1 ใน 2 ปัจจัยสำคัญ(อีกหนึ่งคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ) ที่ทำให้หลวงพระบางเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น เนื่องเพราะชาวบ้านเกือบทั้งหมดต่างเลือกรับชม“ทีวีไทย”!!!
ผมยังจำได้ถึงวันที่พูดคุยกับเหล่าเด็กๆในหมู่บ้านจานเหนือ พวกเขารู้จักหน้าตาและข่าวคราวของดารา-นักร้องบ้านเราดีกว่าผม พวกเขาร้องเพลงไทยฮอตฮิตตามสมัยนิยมได้ดีกว่าผม
แต่ว่ายังไงๆผมก็กินพวกน้องๆที่บ้านจานเหนือขาดในเรื่อง“ข่าวคาว”ของวงการบันเทิงบ้านเรา เพราะเพียงแค่เดินเฉียดแผงหนังสือ แค่นั้นผมก็ได้รับรู้กับเรื่องราวข่าวคาวในวงการบันเทิงบ้านเราแล้ว เนื่องจากว่าพาดหัวของหนังสือพิมพ์บันเทิงที่วางอยู่เกลื่อนแผงเกือบทุกฉบับล้วนแต่ส่งกลิ่นคาวมากระทบจมูกแทบทั้งสิ้น ผิดแผกแตกต่างไปจากที่บ้านจานเหนือ ซึ่งหลายๆบ้านที่ผมเดินผ่านต่างก็ส่งกลิ่นหอมของ“ดิน”มากระทบจมูก มีทั้งกลิ่นของดินเหนียว และกลิ่นดินเผา เนื่องเพราะบ้านจานเหนือนั้นขึ้นชื่อลือชานักในเรื่องของ “เครื่องปั้นดินเผา”
งานเครื่องปั้นดินเผาส่วนใหญ่ในหลวงพระบางล้วนสั่งจากหมู่บ้านจานเหนือ ซึ่งเครื่องปั้นดินเผาของหมู่บ้านนี้เป็นงานทำมือหรืองานแฮนด์เมดเพียวๆ โดยชาวบ้านต่างนำวัตถุดิบทั้งหมดมาจากในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียง

ดินเหนียว ที่บ้านจานเหนือมีดินเหนียวชั้นดีเพราะอยู่ริมน้ำโขง งานนี้ชาวบ้านไม่ต้องไปซื้อหาดินที่ไหน
เตาเผา บ้านจานเหนือมีเตาเผา อยู่ 3 เตา เป็นเตาเผาแบบโบราณ(คล้ายๆกับเตาเผาแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี) ที่ขุดดินลึกลงไปสร้างเป็นห้องเอาไว้ใส่งานดินเผาและใส่ฟืน มีปล่องไฟเล็กๆระอุกรุ่นไอร้อนอยู่ข้างบนที่ระดับพื้นดิน
ฟืน ชาวบ้านจานเหนือ ไม่ได้เดินเข้าป่าไปตัดต้นไม้เอามาทำฟืนเหมือนหลายๆพื้นที่ในบ้านเรา แต่ว่าชาวบ้านจานเหนือมีวิธีการหาฟืนที่น่าสนใจไม่น้อยนั่นก็คือ พวกเขาจะพายเรือไปเก็บต้นไม้เล็ก-ใหญ่ ที่ลอยมาตามแม่น้ำโขงจากเมืองอื่น ที่มีพวกไม้เดื่อ ไม้ก่อ ไม้ยาง ไม้ติ้ว ก่อนจะนำบรรทุกกลับหมู่บ้านแล้วนำไปตากแห้งให้กลายเป็นฟืนชั้นดี เพราะฉะนั้นใครที่ไปเดินเที่ยวบ้านจานเหนือก็อย่าได้แปลกใจ หากเห็นบ้านแต่ละหลังมีต้นไม้ใหญ่น้อยกองเต็มอยู่ในละแวกบ้าน หรือที่ใต้ถุนบ้านเป็นจำนวนมาก
นอกจากวัตถุดิบที่มาจากในหมู่บ้านแล้ว ชาวบ้านจานเหนือยังใช้ระบบการปั้นแบบกายสัมผัส พ่อขึ้นรูปปั้นดิน แม่หมุนแป้น ลูกๆคอยช่วยหยิบโน่นหยิบนี่ นับเป็นบรรยากาศที่ช่างอบอุ่นกระไรปานนั้น
งานนี้ชาวบ้านจานเหนือไม่ต้องง้อเครื่องจักรกลหรือมอเตอร์แต่อย่างใด โดยพอว่างจากการทำไร่ทำนา หลายๆบ้านจะเก็บดิน เก็บฟืน มาทำเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งแต่ละบ้านต่างก็มีรูปแบบของ หม้อ ไห กระถาง และงานปั้นดินอื่นๆที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป
แต่ที่ถือว่ามีความแปลกกว่าใครเพื่อนก็คืองานปั้นดินของอ้ายคำหล้า รัศมี ซึ่งผมเจอแกในขณะที่กำลังนั่งง่วนบรรจงหยิบดินมาสร้างเป็นรูปร่างอยู่หน้ากระต๊อบฝาไม้ไผ่หลังคามุงจากๆหลังเล็กๆในดงไม้อันร่มรื่น
กระต๊อบเล็กๆ ของคนเล็กๆ แต่ว่ามีความคิดสร้างสรรค์ดีกว่ารัฐมนตรีโจ๋ซิ่งมากมายนัก
เพราะในขณะที่ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างหากันปั้นหม้อ ไห กระถาง อ่าง แจกันขาย แต่อ้ายคำหล้ากลับเลือกปั้น“พญานาค” ขาย
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น อ้ายคำหล้าเล่าให้ผมฟังในระหว่างที่กำลังแต่งหัวพญานาคอยู่
“แต่ก่อนพอว่างจากนา ผมก็ปั้นหม้อ ไห กระถาง ขาย เหมือนกับพวกชาวบ้านแถวนี้แหละ แต่ว่าตอนหลังมีนักท่องเที่ยวมาหลวงพระบางมากขึ้น พวกเขาไม่ค่อยกล้าขนเครื่องปั้นดินเผาชิ้นใหญ่ๆกลับไปเพราะกลัวแตกแม้ว่าของที่นี่จะถูกกว่าบ้านเขาและแบบก็ไม่แตกต่างกัน”

พอเห็นว่ามีแต่คนปั้นหม้อไห ข้าวของเครื่องใช้ขาย อ้ายคำหล้าจึงเริ่มทดลองปั้นสิ่งที่แตกต่างขึ้นมา
“แรกๆผมลองปั้นพวกสัตว์ต่างๆอย่าง ม้า กวาง ช้างขายเป็นของที่ระลึก ก่อนที่จะเปลี่ยนมาลองปั้นพญานาค ที่พอเริ่มนำวางขายก็มีคนนิยมซื้อและสนใจกันมากที่สุด”
“แม้ผมจะใช้เวลาปั้นพญานาคนานกว่าปั้นหม้อไห แต่ว่ามันดีตรงที่ใช้ดินน้อยกว่า และขายได้ราคาแพงกว่า ทำให้รายได้แต่ละเดือนดีกว่าพวกปั้นหม้อไหเล็กน้อย(ประมาณ 4 พันกว่าบาทต่อเดือน) โดยส่วนใหญ่จะมีคนมาสั่งเอาไปขายที่ตลาดมืด(ตลาดกลางคืนในตัวเมือง)หรือบางทีผมก็เอาไปขายเอง เท่านี้ผมกับเมียก็อยู่ได้สบายเพราะเราที่นี่เรามีปลูกข้าว-ปลูกผักกินเอง จับปลาในน้ำ เลี้ยงเป็ดไก่ไว้กิน ไม่ต้องไปซื้อกินที่ไหน”
อ้ายคำหล้าเล่าถึงการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ซึ่งแตกต่างไปจากงานปั้นดินเป็นพญานาคของแกที่ดูแล้วไม่ง่ายเลย แถมพญานาคที่อ้ายคำหล้าปั้นยังมีหลายแบบ หลายท่าทาง ซึ่งมันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแกได้แบบและท่าทางของพญานาคมาจากไหน ว่าแล้วผมจึงยิงคำถามใส่พี่แกว่า “แบบพญานาคนี้ท่านได้แต่ใดมา???”
“อ๋อ ผมเคยเห็นพญานาคน่ะ”
อ้ายคำหล้าตอบคำถามตามประสาซื่อ ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในบ้าน ซึ่งผมฟังแล้วก็ให้สงสัยว่า อ้ายคำหล้าเห็นพญานาคแบบตัวเป็นๆกำลังเล่นน้ำอยู่ในลำโขง หรือเห็นทางนิมิต ในกระแสจิตแบบที่จิตรกร นักเขียน หรือคนดังหลายๆคนในบ้านเรานิยมเห็นกัน ส่วนที่อ้ายคำหล้าเดินเข้าไปในบ้านบางทีแกอาจจะไปเอาหลักฐานที่เจอพญานาคมาให้ดูก็ได้ เอ...แกจะเอาอะไรมาให้ดู เกล็ดหรือเขี้ยวพญานาค หรือ ???
ก่อนที่ผมจะคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกลกว่านี้ อ้ายคำหล้าเดินกลับออกมาพร้อมหนังสือ 5-6 เล่ม(มีหนังสือไทยด้วย) พร้อมกับบอกประสาซื่อว่า
“ผมเห็นพญานาคจากหนังสือพวกนี้และจากตามวัดต่างๆ เมื่อผมดูจนจำท่าทางได้แล้วผมก็ปั้นพญานาคออกมาเป็นแบบอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ”
“บั้งไฟพญานาค” ชื่อนี้ยังคงเป็นปริศนาว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร???
บ้างก็ว่าเกิดจากปรากฏการณ์ของธรรมชาติ
บ้างก็ว่าเป็นการกระทำของพญานาคที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง
ส่วนบางคนว่าเกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ
เรียกว่าแต่ละคนต่างก็มีมุมมองเกี่ยวกับเจ้าลูกไฟประหลาดที่เรียกว่า“บั้งไฟพญานาค” ซึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ลำน้ำโขงบริเวณ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ในทุกคืนวันออกพรรษาแตกต่างกันออกไป
แต่ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อานิสงส์ของ(ชื่อ)พญานาคได้ส่งผลให้จังหวัดหนองคายและเมืองเวียงจันทน์ สปป.ลาว รับเงินไปแบบเนื้อๆเน้นๆในช่วงวันออกพรรษา
ส่วนในวันปกตินั้นอ้าย“คำหล้า รัศมี” นับเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับอานิสงส์จากพญานาคด้วยเช่นกัน
อ้าย(พี่ชาย)คำหล้าเป็นคนบ้านจานเหนือ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆริมแม่น้ำโขงที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเมืองหลวงพระบาง
บ้านจานเหนือ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ มีหลักฐานความเก่าอยู่ที่ “สิม”(โบสถ์)วัดบ้านจานเหนือที่มีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี ปัจจุบันยูเนสโกกำลังเตรียมเข้ามาบูรณะเนื่องจากว่าทรุดโทรมมาก
บ้านจานเหนือ มี“หลักบ้าน”ตั้งอยู่กลางลานหมู่บ้านที่ชาวบ้านจานเหนือต่างให้ความเคารพหลักบ้านกันถ้วนหน้า โดยทุกๆปีจะมีการทำพิธีบูชาหลักบ้านกันปีละ 2 ครั้ง
บ้านจานเหนือ มีชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ ต่างใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ จับปลา ท่ามกลางวิถีที่สงบเรียบง่าย แต่ว่าก็มากมายไปด้วยรอยยิ้มและน้ำมิตรจิตใจที่ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของคนเมืองหลวงพระบาง
บ้านจานเหนือ มีบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้แบบลาวดั้งเดิม มีใต้ถุนสูง หลังคามุงกระเบื้องดินเผาหรือไม่ก็มุงด้วยสังกะสี
บ้านจานเหนือ มีบ้านหลายๆหลังติดตั้ง “อ่างดาวเทียม”หรือจานดาวเทียมไว้เพื่อรับชมทีวี ซึ่งไอ้เจ้าเครื่องหน้าเหลี่ยม เอ๊ย!!! ไม่ใช่เครื่องจอเหลี่ยมนี้ ถือเป็น 1 ใน 2 ปัจจัยสำคัญ(อีกหนึ่งคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ) ที่ทำให้หลวงพระบางเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น เนื่องเพราะชาวบ้านเกือบทั้งหมดต่างเลือกรับชม“ทีวีไทย”!!!
ผมยังจำได้ถึงวันที่พูดคุยกับเหล่าเด็กๆในหมู่บ้านจานเหนือ พวกเขารู้จักหน้าตาและข่าวคราวของดารา-นักร้องบ้านเราดีกว่าผม พวกเขาร้องเพลงไทยฮอตฮิตตามสมัยนิยมได้ดีกว่าผม
แต่ว่ายังไงๆผมก็กินพวกน้องๆที่บ้านจานเหนือขาดในเรื่อง“ข่าวคาว”ของวงการบันเทิงบ้านเรา เพราะเพียงแค่เดินเฉียดแผงหนังสือ แค่นั้นผมก็ได้รับรู้กับเรื่องราวข่าวคาวในวงการบันเทิงบ้านเราแล้ว เนื่องจากว่าพาดหัวของหนังสือพิมพ์บันเทิงที่วางอยู่เกลื่อนแผงเกือบทุกฉบับล้วนแต่ส่งกลิ่นคาวมากระทบจมูกแทบทั้งสิ้น ผิดแผกแตกต่างไปจากที่บ้านจานเหนือ ซึ่งหลายๆบ้านที่ผมเดินผ่านต่างก็ส่งกลิ่นหอมของ“ดิน”มากระทบจมูก มีทั้งกลิ่นของดินเหนียว และกลิ่นดินเผา เนื่องเพราะบ้านจานเหนือนั้นขึ้นชื่อลือชานักในเรื่องของ “เครื่องปั้นดินเผา”
งานเครื่องปั้นดินเผาส่วนใหญ่ในหลวงพระบางล้วนสั่งจากหมู่บ้านจานเหนือ ซึ่งเครื่องปั้นดินเผาของหมู่บ้านนี้เป็นงานทำมือหรืองานแฮนด์เมดเพียวๆ โดยชาวบ้านต่างนำวัตถุดิบทั้งหมดมาจากในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียง
ดินเหนียว ที่บ้านจานเหนือมีดินเหนียวชั้นดีเพราะอยู่ริมน้ำโขง งานนี้ชาวบ้านไม่ต้องไปซื้อหาดินที่ไหน
เตาเผา บ้านจานเหนือมีเตาเผา อยู่ 3 เตา เป็นเตาเผาแบบโบราณ(คล้ายๆกับเตาเผาแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี) ที่ขุดดินลึกลงไปสร้างเป็นห้องเอาไว้ใส่งานดินเผาและใส่ฟืน มีปล่องไฟเล็กๆระอุกรุ่นไอร้อนอยู่ข้างบนที่ระดับพื้นดิน
ฟืน ชาวบ้านจานเหนือ ไม่ได้เดินเข้าป่าไปตัดต้นไม้เอามาทำฟืนเหมือนหลายๆพื้นที่ในบ้านเรา แต่ว่าชาวบ้านจานเหนือมีวิธีการหาฟืนที่น่าสนใจไม่น้อยนั่นก็คือ พวกเขาจะพายเรือไปเก็บต้นไม้เล็ก-ใหญ่ ที่ลอยมาตามแม่น้ำโขงจากเมืองอื่น ที่มีพวกไม้เดื่อ ไม้ก่อ ไม้ยาง ไม้ติ้ว ก่อนจะนำบรรทุกกลับหมู่บ้านแล้วนำไปตากแห้งให้กลายเป็นฟืนชั้นดี เพราะฉะนั้นใครที่ไปเดินเที่ยวบ้านจานเหนือก็อย่าได้แปลกใจ หากเห็นบ้านแต่ละหลังมีต้นไม้ใหญ่น้อยกองเต็มอยู่ในละแวกบ้าน หรือที่ใต้ถุนบ้านเป็นจำนวนมาก
นอกจากวัตถุดิบที่มาจากในหมู่บ้านแล้ว ชาวบ้านจานเหนือยังใช้ระบบการปั้นแบบกายสัมผัส พ่อขึ้นรูปปั้นดิน แม่หมุนแป้น ลูกๆคอยช่วยหยิบโน่นหยิบนี่ นับเป็นบรรยากาศที่ช่างอบอุ่นกระไรปานนั้น
งานนี้ชาวบ้านจานเหนือไม่ต้องง้อเครื่องจักรกลหรือมอเตอร์แต่อย่างใด โดยพอว่างจากการทำไร่ทำนา หลายๆบ้านจะเก็บดิน เก็บฟืน มาทำเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งแต่ละบ้านต่างก็มีรูปแบบของ หม้อ ไห กระถาง และงานปั้นดินอื่นๆที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป
แต่ที่ถือว่ามีความแปลกกว่าใครเพื่อนก็คืองานปั้นดินของอ้ายคำหล้า รัศมี ซึ่งผมเจอแกในขณะที่กำลังนั่งง่วนบรรจงหยิบดินมาสร้างเป็นรูปร่างอยู่หน้ากระต๊อบฝาไม้ไผ่หลังคามุงจากๆหลังเล็กๆในดงไม้อันร่มรื่น
กระต๊อบเล็กๆ ของคนเล็กๆ แต่ว่ามีความคิดสร้างสรรค์ดีกว่ารัฐมนตรีโจ๋ซิ่งมากมายนัก
เพราะในขณะที่ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างหากันปั้นหม้อ ไห กระถาง อ่าง แจกันขาย แต่อ้ายคำหล้ากลับเลือกปั้น“พญานาค” ขาย
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น อ้ายคำหล้าเล่าให้ผมฟังในระหว่างที่กำลังแต่งหัวพญานาคอยู่
“แต่ก่อนพอว่างจากนา ผมก็ปั้นหม้อ ไห กระถาง ขาย เหมือนกับพวกชาวบ้านแถวนี้แหละ แต่ว่าตอนหลังมีนักท่องเที่ยวมาหลวงพระบางมากขึ้น พวกเขาไม่ค่อยกล้าขนเครื่องปั้นดินเผาชิ้นใหญ่ๆกลับไปเพราะกลัวแตกแม้ว่าของที่นี่จะถูกกว่าบ้านเขาและแบบก็ไม่แตกต่างกัน”
พอเห็นว่ามีแต่คนปั้นหม้อไห ข้าวของเครื่องใช้ขาย อ้ายคำหล้าจึงเริ่มทดลองปั้นสิ่งที่แตกต่างขึ้นมา
“แรกๆผมลองปั้นพวกสัตว์ต่างๆอย่าง ม้า กวาง ช้างขายเป็นของที่ระลึก ก่อนที่จะเปลี่ยนมาลองปั้นพญานาค ที่พอเริ่มนำวางขายก็มีคนนิยมซื้อและสนใจกันมากที่สุด”
“แม้ผมจะใช้เวลาปั้นพญานาคนานกว่าปั้นหม้อไห แต่ว่ามันดีตรงที่ใช้ดินน้อยกว่า และขายได้ราคาแพงกว่า ทำให้รายได้แต่ละเดือนดีกว่าพวกปั้นหม้อไหเล็กน้อย(ประมาณ 4 พันกว่าบาทต่อเดือน) โดยส่วนใหญ่จะมีคนมาสั่งเอาไปขายที่ตลาดมืด(ตลาดกลางคืนในตัวเมือง)หรือบางทีผมก็เอาไปขายเอง เท่านี้ผมกับเมียก็อยู่ได้สบายเพราะเราที่นี่เรามีปลูกข้าว-ปลูกผักกินเอง จับปลาในน้ำ เลี้ยงเป็ดไก่ไว้กิน ไม่ต้องไปซื้อกินที่ไหน”
อ้ายคำหล้าเล่าถึงการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ซึ่งแตกต่างไปจากงานปั้นดินเป็นพญานาคของแกที่ดูแล้วไม่ง่ายเลย แถมพญานาคที่อ้ายคำหล้าปั้นยังมีหลายแบบ หลายท่าทาง ซึ่งมันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแกได้แบบและท่าทางของพญานาคมาจากไหน ว่าแล้วผมจึงยิงคำถามใส่พี่แกว่า “แบบพญานาคนี้ท่านได้แต่ใดมา???”
“อ๋อ ผมเคยเห็นพญานาคน่ะ”
อ้ายคำหล้าตอบคำถามตามประสาซื่อ ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในบ้าน ซึ่งผมฟังแล้วก็ให้สงสัยว่า อ้ายคำหล้าเห็นพญานาคแบบตัวเป็นๆกำลังเล่นน้ำอยู่ในลำโขง หรือเห็นทางนิมิต ในกระแสจิตแบบที่จิตรกร นักเขียน หรือคนดังหลายๆคนในบ้านเรานิยมเห็นกัน ส่วนที่อ้ายคำหล้าเดินเข้าไปในบ้านบางทีแกอาจจะไปเอาหลักฐานที่เจอพญานาคมาให้ดูก็ได้ เอ...แกจะเอาอะไรมาให้ดู เกล็ดหรือเขี้ยวพญานาค หรือ ???
ก่อนที่ผมจะคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกลกว่านี้ อ้ายคำหล้าเดินกลับออกมาพร้อมหนังสือ 5-6 เล่ม(มีหนังสือไทยด้วย) พร้อมกับบอกประสาซื่อว่า
“ผมเห็นพญานาคจากหนังสือพวกนี้และจากตามวัดต่างๆ เมื่อผมดูจนจำท่าทางได้แล้วผมก็ปั้นพญานาคออกมาเป็นแบบอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ”