โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

เอ่ยชื่อถึง “สำเพ็ง” หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า นอกเหนือจากความเป็นย่านช้อปปิ้งที่รวมของถูกไว้สารพันอย่างแล้ว สำเพ็งยังนับเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์เมืองกรุงอยู่มาก ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ ไปช้อปและชมพร้อมกับสัมผัสกับเรื่องราวเหล่านั้น
“สำเพ็ง” ที่รู้จักกันดีในปัจจุบันก็คือถนนเศรษฐกิจที่สำคัญ ชื่อว่า “ถนนวานิช 1” ซึ่งก็ตั้งอยู่ใกล้ๆในแถบถิ่นย่านเยาวราชนั่นเอง โดยก่อนที่จะมาเป็นสำเพ็งอย่างที่เห็นในตอนนี้ เมื่อในอดีตนั้นนับได้ว่าสำเพ็งมีประวัติศาสตร์เคียงคู่กับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เพราะแต่เดิมนั้นบรรพบุรุษของชุมชนชาวสำเพ็งตั้งถิ่นฐานกันอยู่ในพื้นที่ที่จะสร้างเป็นพระนครใหม่ด้านฝั่งตะวันออก
โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดให้ย้ายพระยาราชาเศรษฐีกับพรรคพวกจีนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่ซึ่งมีประราชประสงค์จะสร้างพระบรมมหาราชวัง ให้ไปอยู่ ณ บริเวณที่เรียกว่า “สำเพ็ง” ซึ่งก็คือที่ปัจจุบันนี้ จึงนับว่าสำเพ็งเป็นชุมชนนอกกำแพงเมืองแห่งแรกที่มีการลงหลักปักฐานชัดเจน และเป็นย่านชุมชนชาวจีนที่มีประวัติเก่าแก่ที่สุดของกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นชุมชนที่มีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งในการสร้างสรรค์ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ของประเทศไทยในเวลาต่อมา

อันที่จริงชื่อของสำเพ็ง มีผู้รู้บอกไว้ว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่าสามแผ่นหรือสามแพร่ง เพราะลักษณะพื้นที่ที่มีคลองเหนือวัดสำเพ็งและคลองวัดสามปลื้มขวางอยู่ จึงทำให้ต้องตัดแผ่นดินออกเป็น 3 ตอน หรือบางท่านก็ชี้แจงว่า สำเพ็งหรือสามเพ็งนั้นน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่าซาเพ็งในภาษาจีน ซึ่งแปลว่า ความดีสามประการ นอกจากนี้ยังมีบอกว่า เรียกตามชื่อของลำเพ็ง ซึ่งเป็นพืชตระกูลเฟิร์นลักษณะคล้ายใบโหระพา ที่ขึ้นทั่วไปในบริเวณนั้น ผู้คนจึงเรียกว่าลำเพ็งและเพี้ยนเป็น “สำเพ็ง” ในที่สุด
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชื่ออะไรมาก่อน ที่สุดแล้วผู้คนต่างก็รู้จัก “สำเพ็ง” เป็นอย่างดี โดยย้อนหลังไปเมื่อเกือบร้อยปีก่อนชื่อเสียงของสำเพ็งอาจจะไม่ใคร่ดีนัก เพราะตรงบริเวณแยกซอยเลื่อนฤทธิ์เคยเป็นช่องโสเภณีที่คนสมัยนั้นเรียกแหล่งโคมเขียว ถึงขนาดที่สุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้กล่าวถึงสำเพ็ง ในนิราศเมืองแกลง (ปี 2350) ไว้ว่า “ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน มีซุ้มซอกตรอกนางจ้างประจาน ยังสำราญร้องขับหลับไม่ลง”

แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน เรื่องราวเก่าๆ บางอย่างของสำเพ็งก็ได้จางหาย และได้กลายมาสู่เรื่องราวใหม่ๆ ในปัจจุบัน นั่นคือ ความเป็นย่านการค้าที่สุดคึกคักแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ถนนเล็กๆ ความกว้างแค่ 4-5 เมตร กับระยะทางกิโลเมตรเศษๆ แห่งนี้ จะแน่นขนัดไปด้วยร้านรวงและแผงลอยเรียงรายนับร้อยๆเจ้า
ในแต่ละวันสำเพ็งจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนนับหมื่นๆ ซึ่งล้วนต่างมีจุดหมายเดียวกันคือ การซื้อหาของสารพันในราคาถูกๆ โดยเฉพาะกับการซื้อแบบเหมายกโหล ที่เมื่อถัวเฉลี่ยต่อชิ้นแล้วราคายิ่งถูกเข้าไปอีก
สาวๆ คนไหนที่นิยมชมชอบในเรื่องของประดับตกแต่ง หรือของชำร่วยกิ๊บเก๋น่ารัก ๆ นั้นไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหนให้ราคาแพงโดยใช่เหตุ มาซื้อที่สำเพ็ง รับรองว่ามีของถูกให้เลือกซื้อหาจนละลานตาอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเดินสำเพ็งที่จุดไหน หนุ่มหล่อลูกทุ่งอย่างฉันจึงจะขออาสานำทางเอง
ก่อนอื่นเพื่อให้มองภาพของถนนวานิช 1 ได้ชัดเจนขึ้น จึงจะแยกถนนนี้ออกเป็นสามช่วงโดยเริ่มจาก “สะพานหัน”มาจรด “หัวเม็ด” หรือถนนจักรวรรดิ โดยที่สะพานหันจะขายของจำพวกเสื้อผ้ารวม ขนมไทย ขนมปังกรอบขบเคี้ยว และผลไม้อยู่เต็ม ส่วนที่หัวเม็ดจะเป็นแหล่งรวมร้านจำหน่ายทองรูปพรรณและเพชรพลอยคุณภาพดีทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ และมีร้านขายของที่เกี่ยวกับวัสดุตกแต่งเสื้อผ้าอยู่ด้วย
อ้อ... พอพูดถึงสะพานหัน ก็ให้นึกได้ว่า ฉันเคยรู้ประวัติมาว่าสะพานหัน แต่เดิมเป็นสะพานไม้ที่สร้างมาตั้งแต่สมัย ร.1 ซึ่งที่เรียกสะพานหันก็เพราะเป็นสะพานที่มีหมุดหมุน สามารถหันให้เรือผ่านไปได้ และต่อมาก็ได้รับการปรับปรุงในสมัย ร.5 คือมีร้านค้าตั้งสองฟากบนสะพาน เลียนแบบสะพานเวคคิโอ ในประเทศอิตาลีนั่นเอง

จากช่วงแรกก็มาต่อที่ช่วงที่สอง คือจากถนนจักวรรดิถึงถนนราชวงศ์ เรียกว่า “สำเพ็ง” ซึ่งช่วงนี้ก็ต่อเนื่องจากช่วงที่แล้ว คือเป็นย่านขายของส่งและปลีก พวกอุปกรณ์ตัดเย็บทุกชนิด โดยจากราชวงศ์จะมีร้านขายผ้าชื่อร้านคิคูย่า อยู่ตรงหัวมุมเป็นสัญลักษณ์ที่รู้จักกันดี ซึ่งตอนนี้ร้านนี้ก็ได้มีการปรับปรุงแต่งโฉมใหม่ให้เช้งวับกว่าเดิม เช่นเดียวกับการพัฒนาปรับปรุงทางเดินช่วงนี้ให้น่าเดินยิ่งขึ้น ด้วยการทำโครงหลังคากันฝนกันแดด และจัดระเบียบร้านค้าให้เป็นที่เป็นทาง พอให้คนซื้อได้เดินเหินกันสะดวกขึ้น
ถือว่าช่วงนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับบรรดาผู้หญิง ซึ่งแต่เดิมถือเป็นย่านค้าส่งผ้าพับที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และปลายถนนจะเป็นร้านขายปลีกของอุปกรณ์และชิ้นส่วนของเสื้อผ้า เช่น กระดุม ด้าย เข็ม ผ้าลูกไม้ แม้ตอนนี้ก็ยังมีทั้งเสื้อผ้าสำเร็จรูปและผ้าแบบยกม้วนที่ทำในไทยและนำเข้าจากต่างประเทศมาให้เลือกดูเลือกซื้อเช่นเดิม

ซึ่งพอมายุคนี้ก็ยิ่งได้รับความนิยมจากสาวๆ เพิ่มขึ้น เพราะช่วงจากถนนราชวงศ์ถึงห้างทองตั้งโต๊ะกังนั้นจะเป็นช่วงที่มีการขายส่งของที่ระลึกหรือของชำร่วย (Gift Shop) อุปกรณ์เครื่องเขียน สินค้าเด็กเล่น สินค้าวัยรุ่น หรือสินค้ารับเทศกาลคริสต์มาสปีใหม่ จนกลายเป็นย่านขายของที่ระลึก ทั้งขายส่งและขายปลีกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วยเช่นกัน
ก็ขนาดว่าผู้ชายแท้ๆ อย่างฉันยังให้นึกตะลึงตะลานกับของกุ๊กกิ๊กๆน่ารักไม่ได้ ประสาอะไรกับสาวๆ ที่จะไม่กรี๊ดกร๊าด เดินเข้าร้านนี้ออกร้านนั้นเป็นว่าเล่น เพราะทั้งของกิ๊ฟช้อปต่างๆที่อิมพอร์ตมาจากประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น พวงกุญแจ สมุด ดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด กล่องดินสอ ลายการ์ตูนสีสันสดใส เครื่องประดับจากลูกปัดและหินสี ทั้งสร้อยคอ ต่างหู กำไลข้อมือ เครื่องประดับผมหลากรูปแบบ อุปกรณ์มือถือและเชือกคล้องมือถือสีสวยๆ เรียกว่าถ้าอยากรู้ว่าแนวแฟชั่นอะไรอย่างไหนกำลังมาแรง ก็ให้มาดูที่นี่ได้ ซึ่งพวกของกิ๊ฟช้อปและเครื่องประดับทั้งหลายที่เห็นวางขายกันตามที่ต่างๆ ก็ปรากฏว่ารับมาจากสำเพ็งนี้เอง
ของน่าซื้อน่าชมในช่วงนี้ยังมีตุ๊กตาตัวโตๆหลายรูปแบบและของเล่นเด็กอีกนับไม่ถ้วน ที่คอยยั่วตายั่วใจโดยมีให้เลือกหลายราคา แบบถูกใจกันทั้งเด็กทั้งวัยรุ่น ซึ่งถ้ามากันในช่วงเทศกาลคริสต์มาสหรือปีใหม่ ก็ยิ่งจะมีของให้เลือกมากกว่านี้อีกแน่ แต่แค่นี้ก็ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะซื้ออะไรดี

เดินเลือกดูของอยู่นานก็ผ่านมาถึงช่วงสุดท้ายคือจากร้านทองตั้งโต๊ะกังไปจรดถนนทรงสวัสดิ์ ซึ่งถือเป็นย่านขายส่งสินค้าอุตสาหกรรมและกึ่งอุตสาหกรรมนานาชนิด และมักจะขายสินค้าเพียงชนิดเดียวทั้งร้าน นับตั้งแต่ ร่ม รองเท้า กระเป๋าถือ โบว์ หมวก เชือกไนล่อน และอีกมาก ส่วนบริเวณใกล้ถนนเยาวราชพานิชจะเป็นแหล่งรวมร้านขายของรองเท้าผู้หญิง และบริเวณใกล้ถนนทรงสวัสดิ์ จะเป็นย่านขายจำพวกเครื่องประดับอัญมณีต่างๆ
ตลอดการเดินผ่านในช่วงต่างๆ ของสำเพ็งฉันรู้สึกว่า แม้จะเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่มีมาร่วมร้อยกว่าปี แต่วิถีความเป็นไปของสำเพ็งก็ยังมีสีสันและความคึกคัก ดึงดูดให้ผู้คนต้องแวะเวียนไปจับจ่ายและเยี่ยมชมอยู่เสมอ ยิ่งกับช่วงภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างนี้ ลองไปเดินเลือกจับจ่ายซื้อหาของถูกในราคาสบายกระเป๋า ก็คงเข้าท่าดีไม่น้อย...
เอ่ยชื่อถึง “สำเพ็ง” หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า นอกเหนือจากความเป็นย่านช้อปปิ้งที่รวมของถูกไว้สารพันอย่างแล้ว สำเพ็งยังนับเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์เมืองกรุงอยู่มาก ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ ไปช้อปและชมพร้อมกับสัมผัสกับเรื่องราวเหล่านั้น
“สำเพ็ง” ที่รู้จักกันดีในปัจจุบันก็คือถนนเศรษฐกิจที่สำคัญ ชื่อว่า “ถนนวานิช 1” ซึ่งก็ตั้งอยู่ใกล้ๆในแถบถิ่นย่านเยาวราชนั่นเอง โดยก่อนที่จะมาเป็นสำเพ็งอย่างที่เห็นในตอนนี้ เมื่อในอดีตนั้นนับได้ว่าสำเพ็งมีประวัติศาสตร์เคียงคู่กับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เพราะแต่เดิมนั้นบรรพบุรุษของชุมชนชาวสำเพ็งตั้งถิ่นฐานกันอยู่ในพื้นที่ที่จะสร้างเป็นพระนครใหม่ด้านฝั่งตะวันออก
โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดให้ย้ายพระยาราชาเศรษฐีกับพรรคพวกจีนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่ซึ่งมีประราชประสงค์จะสร้างพระบรมมหาราชวัง ให้ไปอยู่ ณ บริเวณที่เรียกว่า “สำเพ็ง” ซึ่งก็คือที่ปัจจุบันนี้ จึงนับว่าสำเพ็งเป็นชุมชนนอกกำแพงเมืองแห่งแรกที่มีการลงหลักปักฐานชัดเจน และเป็นย่านชุมชนชาวจีนที่มีประวัติเก่าแก่ที่สุดของกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นชุมชนที่มีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งในการสร้างสรรค์ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ของประเทศไทยในเวลาต่อมา
อันที่จริงชื่อของสำเพ็ง มีผู้รู้บอกไว้ว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่าสามแผ่นหรือสามแพร่ง เพราะลักษณะพื้นที่ที่มีคลองเหนือวัดสำเพ็งและคลองวัดสามปลื้มขวางอยู่ จึงทำให้ต้องตัดแผ่นดินออกเป็น 3 ตอน หรือบางท่านก็ชี้แจงว่า สำเพ็งหรือสามเพ็งนั้นน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่าซาเพ็งในภาษาจีน ซึ่งแปลว่า ความดีสามประการ นอกจากนี้ยังมีบอกว่า เรียกตามชื่อของลำเพ็ง ซึ่งเป็นพืชตระกูลเฟิร์นลักษณะคล้ายใบโหระพา ที่ขึ้นทั่วไปในบริเวณนั้น ผู้คนจึงเรียกว่าลำเพ็งและเพี้ยนเป็น “สำเพ็ง” ในที่สุด
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชื่ออะไรมาก่อน ที่สุดแล้วผู้คนต่างก็รู้จัก “สำเพ็ง” เป็นอย่างดี โดยย้อนหลังไปเมื่อเกือบร้อยปีก่อนชื่อเสียงของสำเพ็งอาจจะไม่ใคร่ดีนัก เพราะตรงบริเวณแยกซอยเลื่อนฤทธิ์เคยเป็นช่องโสเภณีที่คนสมัยนั้นเรียกแหล่งโคมเขียว ถึงขนาดที่สุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้กล่าวถึงสำเพ็ง ในนิราศเมืองแกลง (ปี 2350) ไว้ว่า “ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน มีซุ้มซอกตรอกนางจ้างประจาน ยังสำราญร้องขับหลับไม่ลง”
แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน เรื่องราวเก่าๆ บางอย่างของสำเพ็งก็ได้จางหาย และได้กลายมาสู่เรื่องราวใหม่ๆ ในปัจจุบัน นั่นคือ ความเป็นย่านการค้าที่สุดคึกคักแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ถนนเล็กๆ ความกว้างแค่ 4-5 เมตร กับระยะทางกิโลเมตรเศษๆ แห่งนี้ จะแน่นขนัดไปด้วยร้านรวงและแผงลอยเรียงรายนับร้อยๆเจ้า
ในแต่ละวันสำเพ็งจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนนับหมื่นๆ ซึ่งล้วนต่างมีจุดหมายเดียวกันคือ การซื้อหาของสารพันในราคาถูกๆ โดยเฉพาะกับการซื้อแบบเหมายกโหล ที่เมื่อถัวเฉลี่ยต่อชิ้นแล้วราคายิ่งถูกเข้าไปอีก
สาวๆ คนไหนที่นิยมชมชอบในเรื่องของประดับตกแต่ง หรือของชำร่วยกิ๊บเก๋น่ารัก ๆ นั้นไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหนให้ราคาแพงโดยใช่เหตุ มาซื้อที่สำเพ็ง รับรองว่ามีของถูกให้เลือกซื้อหาจนละลานตาอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเดินสำเพ็งที่จุดไหน หนุ่มหล่อลูกทุ่งอย่างฉันจึงจะขออาสานำทางเอง
ก่อนอื่นเพื่อให้มองภาพของถนนวานิช 1 ได้ชัดเจนขึ้น จึงจะแยกถนนนี้ออกเป็นสามช่วงโดยเริ่มจาก “สะพานหัน”มาจรด “หัวเม็ด” หรือถนนจักรวรรดิ โดยที่สะพานหันจะขายของจำพวกเสื้อผ้ารวม ขนมไทย ขนมปังกรอบขบเคี้ยว และผลไม้อยู่เต็ม ส่วนที่หัวเม็ดจะเป็นแหล่งรวมร้านจำหน่ายทองรูปพรรณและเพชรพลอยคุณภาพดีทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ และมีร้านขายของที่เกี่ยวกับวัสดุตกแต่งเสื้อผ้าอยู่ด้วย
อ้อ... พอพูดถึงสะพานหัน ก็ให้นึกได้ว่า ฉันเคยรู้ประวัติมาว่าสะพานหัน แต่เดิมเป็นสะพานไม้ที่สร้างมาตั้งแต่สมัย ร.1 ซึ่งที่เรียกสะพานหันก็เพราะเป็นสะพานที่มีหมุดหมุน สามารถหันให้เรือผ่านไปได้ และต่อมาก็ได้รับการปรับปรุงในสมัย ร.5 คือมีร้านค้าตั้งสองฟากบนสะพาน เลียนแบบสะพานเวคคิโอ ในประเทศอิตาลีนั่นเอง
จากช่วงแรกก็มาต่อที่ช่วงที่สอง คือจากถนนจักวรรดิถึงถนนราชวงศ์ เรียกว่า “สำเพ็ง” ซึ่งช่วงนี้ก็ต่อเนื่องจากช่วงที่แล้ว คือเป็นย่านขายของส่งและปลีก พวกอุปกรณ์ตัดเย็บทุกชนิด โดยจากราชวงศ์จะมีร้านขายผ้าชื่อร้านคิคูย่า อยู่ตรงหัวมุมเป็นสัญลักษณ์ที่รู้จักกันดี ซึ่งตอนนี้ร้านนี้ก็ได้มีการปรับปรุงแต่งโฉมใหม่ให้เช้งวับกว่าเดิม เช่นเดียวกับการพัฒนาปรับปรุงทางเดินช่วงนี้ให้น่าเดินยิ่งขึ้น ด้วยการทำโครงหลังคากันฝนกันแดด และจัดระเบียบร้านค้าให้เป็นที่เป็นทาง พอให้คนซื้อได้เดินเหินกันสะดวกขึ้น
ถือว่าช่วงนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับบรรดาผู้หญิง ซึ่งแต่เดิมถือเป็นย่านค้าส่งผ้าพับที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และปลายถนนจะเป็นร้านขายปลีกของอุปกรณ์และชิ้นส่วนของเสื้อผ้า เช่น กระดุม ด้าย เข็ม ผ้าลูกไม้ แม้ตอนนี้ก็ยังมีทั้งเสื้อผ้าสำเร็จรูปและผ้าแบบยกม้วนที่ทำในไทยและนำเข้าจากต่างประเทศมาให้เลือกดูเลือกซื้อเช่นเดิม
ซึ่งพอมายุคนี้ก็ยิ่งได้รับความนิยมจากสาวๆ เพิ่มขึ้น เพราะช่วงจากถนนราชวงศ์ถึงห้างทองตั้งโต๊ะกังนั้นจะเป็นช่วงที่มีการขายส่งของที่ระลึกหรือของชำร่วย (Gift Shop) อุปกรณ์เครื่องเขียน สินค้าเด็กเล่น สินค้าวัยรุ่น หรือสินค้ารับเทศกาลคริสต์มาสปีใหม่ จนกลายเป็นย่านขายของที่ระลึก ทั้งขายส่งและขายปลีกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วยเช่นกัน
ก็ขนาดว่าผู้ชายแท้ๆ อย่างฉันยังให้นึกตะลึงตะลานกับของกุ๊กกิ๊กๆน่ารักไม่ได้ ประสาอะไรกับสาวๆ ที่จะไม่กรี๊ดกร๊าด เดินเข้าร้านนี้ออกร้านนั้นเป็นว่าเล่น เพราะทั้งของกิ๊ฟช้อปต่างๆที่อิมพอร์ตมาจากประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น พวงกุญแจ สมุด ดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด กล่องดินสอ ลายการ์ตูนสีสันสดใส เครื่องประดับจากลูกปัดและหินสี ทั้งสร้อยคอ ต่างหู กำไลข้อมือ เครื่องประดับผมหลากรูปแบบ อุปกรณ์มือถือและเชือกคล้องมือถือสีสวยๆ เรียกว่าถ้าอยากรู้ว่าแนวแฟชั่นอะไรอย่างไหนกำลังมาแรง ก็ให้มาดูที่นี่ได้ ซึ่งพวกของกิ๊ฟช้อปและเครื่องประดับทั้งหลายที่เห็นวางขายกันตามที่ต่างๆ ก็ปรากฏว่ารับมาจากสำเพ็งนี้เอง
ของน่าซื้อน่าชมในช่วงนี้ยังมีตุ๊กตาตัวโตๆหลายรูปแบบและของเล่นเด็กอีกนับไม่ถ้วน ที่คอยยั่วตายั่วใจโดยมีให้เลือกหลายราคา แบบถูกใจกันทั้งเด็กทั้งวัยรุ่น ซึ่งถ้ามากันในช่วงเทศกาลคริสต์มาสหรือปีใหม่ ก็ยิ่งจะมีของให้เลือกมากกว่านี้อีกแน่ แต่แค่นี้ก็ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะซื้ออะไรดี
เดินเลือกดูของอยู่นานก็ผ่านมาถึงช่วงสุดท้ายคือจากร้านทองตั้งโต๊ะกังไปจรดถนนทรงสวัสดิ์ ซึ่งถือเป็นย่านขายส่งสินค้าอุตสาหกรรมและกึ่งอุตสาหกรรมนานาชนิด และมักจะขายสินค้าเพียงชนิดเดียวทั้งร้าน นับตั้งแต่ ร่ม รองเท้า กระเป๋าถือ โบว์ หมวก เชือกไนล่อน และอีกมาก ส่วนบริเวณใกล้ถนนเยาวราชพานิชจะเป็นแหล่งรวมร้านขายของรองเท้าผู้หญิง และบริเวณใกล้ถนนทรงสวัสดิ์ จะเป็นย่านขายจำพวกเครื่องประดับอัญมณีต่างๆ
ตลอดการเดินผ่านในช่วงต่างๆ ของสำเพ็งฉันรู้สึกว่า แม้จะเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่มีมาร่วมร้อยกว่าปี แต่วิถีความเป็นไปของสำเพ็งก็ยังมีสีสันและความคึกคัก ดึงดูดให้ผู้คนต้องแวะเวียนไปจับจ่ายและเยี่ยมชมอยู่เสมอ ยิ่งกับช่วงภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างนี้ ลองไปเดินเลือกจับจ่ายซื้อหาของถูกในราคาสบายกระเป๋า ก็คงเข้าท่าดีไม่น้อย...