โดย : เหล็งฮู้ชง

เพราะคนหลวงพระบางเคร่งครัดกับกฎเกณฑ์การ “อนุรักษ์” เมืองของรัฐบาล สปป.ลาวและองค์การยูเนสโก หลวงพระบางในรอบ 10 ปีหลังเป็นเมืองมรดกโลกจึงมีความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพน้อยมาก
วัดวาอารามยังคงสงบงาม ไร้วี่แววพุทธพาณิชย์ ส่วนอาคารบ้านเรือนก็ยังคงลักษณะภายนอกไว้เช่นดังเดิม จะมีเปลี่ยนแปลงก็เพียงพื้นที่ใช้สอยภายใน ที่ในวันนี้อาคารหลายหลังแปรเปลี่ยนเป็นโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติธรรมดาของเมืองท่องเที่ยวมรดกโลกแห่งยุคโลกาภิวัตน์

แต่ด้วยความที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลลาวและยูเนสโกอย่างเคร่งครัด หลวงพระบางในวันนี้จึงยังคงเต็มไปด้วยความสงบงาม ปราศจากทัศนอุจาด อย่างตึกทรงโรมัน เสากรีก และป้ายโฆษณาที่รกรุงรัง ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินชิลล์ ชิลล์ หรือขี่จักรยานเนิบๆ ชมเมืองยิ่งนัก...
หลวงพระบาง “เมือง” น่ายล
สำหรับจุดชมเมืองหลวงพระบางนั้น ที่ถือว่าเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมก็คือ เริ่มต้นจากบริเวณสี่แยกใจกลางเมือง แล้วไล่เที่ยวเรื่อยไปบนถนนกลางเมือง (ถ.สีสะหว่างวง) ไปจนสุดถนนที่แม่น้ำคาน ซึ่งถนนสายนี้ถือเป็นถนนเส้นหลักของเมืองที่ 2 ฟากฝั่งมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย โดยจุดแรกที่ไม่น่ามองข้ามก็คือ วัดใหม่สุวันนะพูมาราม วัดนี้แม้ชาวลาวจะเรียกสั้นๆ ว่า “วัดใหม่” แต่ว่าก็เป็นวัดอันเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2337 ในสมัยพระเจ้าอนุรุทธราช
ในวันปกติธรรมดา วัดใหม่ดูโดดเด่นด้วย “สิม” (โบสถ์หรือวิหาร)แบบลาวที่มีหลังคาซ้อนชั้นอันอ่อนช้อย ภายในสิมมี “พระเอ้” หรือพระพุทธรูปทรงเครื่องเป็นพระประธานที่ดูขรึมขลัง ส่วนบานประตูของวัดใหม่ก็งดงามไปด้วยฝีมือการแกะสลักไม้ของ “เพียตัน” (พระยาตัน) หนึ่งในสุดยอดช่างของลาว
ครั้นพอถึงช่วงสงกรานต์ ที่วัดใหม่จะคับคั่งไปด้วยผู้คนที่มาสรงน้ำ “พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง ซึ่งได้อัญเชิญมาจาก “หอพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง” ที่อยู่ใกล้ๆ กับวัดใหม่ และเป็นหนึ่งในไฮไลต์อันน่ายลของหลวงพระบาง
หอพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบางหรือพระราชวังหลวงเดิม ในอดีตเป็นพระราชวังหลวงที่พำนักของเจ้ามหาชีวิต ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ของเมือง ที่พอเดินเข้าไปทิวต้นตาล 2 ข้างทางเดินจะนำสายตาไปสู่อาคารพระราชวังที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสผสมลาว จนหลายๆ คนเปรียบเปรยพระราชวังหลังนี้ว่าเป็น “ฝรั่งสวมชฎา”

ภายในหอพิพิธภัณฑ์ฯ มีการจัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วควรไปสักการะ “พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่อยู่ในห้องทางขวามือเอาฤกษ์เอาชัย หลังจากนั้นใครใคร่ชมสิ่งใดก็เลือกชมกันตามสะดวก ซึ่งในนี้มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ กลองมโหระทึกสำริดจำนวนหลายใบในห้องฮับต้อน ฝาผนังประดับกระจกสีและบัลลังก์ไม้แกะสลักหุ้มทองคำในท้องพระโรงใหญ่ หอธรรมาสน์ในห้องพิธีการ รวมถึงพระพุทธรูป ข้าวของเครื่องใช้และโบราณวัตถุอีกมากมาย
ตรงข้ามกับหอพิพิธภัณฑ์ฯ เป็น “พูสี” ที่บนยอดนอกจากจะเป็นจุดชมวิวชั้นยอดแล้ว ยังมี “พระธาตุจอมพูสี” สีทองอร่ามตาเรื่อเรืองรอง
ครั้นพอพ้นผ่านหอพิพิธภัณฑ์ฯ ไปก็จะเข้าสู่ “ย่านบ้านเจ๊ก” ที่ในอดีตคือย่านค้าขายและที่อยู่ของคนจีนและเวียดนามที่มาทำงานเป็นลูกมือฝรั่งเศส คนลาวจึงเรียกย่านนี้ว่า “บ้านเจ๊ก”
มาในวันนี้ย่านบ้านเจ๊กแปรสภาพเป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ร้านอินเทอร์เน็ต ฯลฯ แต่ว่าลักษณะภายนอกของอาคารก็ยังคงไว้ด้วยสภาพตึกแถวสไตล์โคโลเนียลของฝรั่งเศส ซึ่งน่าชมไปด้วยผนังปูนสีอ่อนมุงหลังคากระเบื้องดินเผาที่เข้ากันอย่างลงตัวกับเสา ประตู หน้าต่าง และบัวประดับผนัง นับเป็นเสน่ห์อันน่ายลอีกอย่างหนึ่งของหลวงพระบางที่ต้องตาโดนใจนักท่องเที่ยวหลายๆ คน

ของดีอีกอย่างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านบ้านเจ๊กก็คือ “เฮือนมรดกเชียงม่วน” เรือนคหบดีโบราณตามแบบฉบับลาวแท้ๆ ที่ว่ากันว่าเก่าแก่และคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดในหลวงพระบาง แต่น่าเสียดายว่าเฮือนมรดกฯ ไม่ได้อยู่ติดถนน ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยสนใจเท่าที่ควร
ผมเดินผ่านถนนกลางเมืองมาได้ค่อนข้าง ช่วงท้ายๆ ของถนนสายนี้มีวัดให้ชมหลายวัด อาทิ วัดสบ วัดสีบุนเฮือง วัดสีมงคน วัดคีลี วัดปากคาน
สำหรับวัดที่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษในกลุ่มวัดแถวนี้ก็คือ วัดแสนสุขาราม หรือวัดแสน เพราะวัดนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนหนึ่งเดียวในตัวเมืองหลวงพระบาง ซึ่งคนหลวงพระบางเรียกว่า “พระเจ้า 18 สอก” (ภาษาลาว) เพราะสูง 18 ศอก ส่วนสิมของวัดแสนนั้นก็มีการประดับตกแต่งอย่างงดงามด้วยลวดลายหลากหลายรูปแบบ
เลยวัดแสนขึ้นไปหน่อยมีทางเลี้ยวซ้ายไปวัดเชียงทอง สุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมล้านช้างที่สวยงามที่สุดในหลวงพระบาง ใครที่มาเที่ยวหลวงพระบาง (ต้อง) ไม่ควรพลาดการชมวัดนี้ด้วยประการทั้งปวง...(ติดตามตามอ่านเรื่องราวของวัดเชียงทองได้ในตอนหน้า)

หลวงพระบาง “คน” น่ารัก
แม้ว่าหลวงพระบางจะมากไปด้วยวัด วัง และอาคารบ้านเรือนในรูปแบบดั้งเดิมที่มากมายไปด้วยเสน่ห์ชวนมอง แต่ว่าหากปราศจาก “คนหลวงพระบาง” แล้ว เสน่ห์ของเมืองนี้จะดูด้อยลงไปถนัดตา
คนหลวงพระบางใช้ชีวิตอย่างสงบ เรียบง่าย ทำไร่นา ปลูกผัก หาปลา เลี้ยงสัตว์ ท่ามกลางความสุขตามอัตภาพของวิถีชีวิตพอเพียง ที่ไม่ต้องดิ้นรนแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายตามกระแสแห่งโลกทุนนิยม
คนหลวงพระบางผูกพันมั่นคงและแนบแน่นในพุทธศาสนา โดยทุกๆ เช้าตรู่ในหลายๆ บ้านจะมีญาติโยมพากันออกมาตักบาตรข้าวเหนียวให้กับพระภิกษุสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตเป็นแถวยาวเหยียดนับร้อยรูป ทำให้หลายๆ คนขนานนามหลวงพระบางว่าเป็น “ธรรมมิกสังคมนิยม” แห่งสุดท้าย เพราะ สปป.ลาวเป็นประเทศสังคมนิยม

คนหลวงพระบางเก่งในการประยุกต์สองสิ่งต่างขั้วให้กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นแม่หญิงหลวงพระบางที่ดูงดงามมีสีสันไปด้วยเสื้อแขนกุด สายเดี่ยว และเสื้อยืดรัดรูปตามสมัยนิยม ผสมกับการนุ่งซิ่นตามแบบฉบับชาวลาว ดิสโก้เธคในหลวงพระบางที่นอกจากจะมีการแดนซ์กระจายคล้ายเมืองบางกอกแล้ว ยังมีการรำวงและการเต้นบาสล็อปแบบลาวสลับไปมาอย่างกลมกลืนและสนุกสนาน
คนหลวงพระบางภาคภูมิใจในบ้านเมืองของตนเอง
คนหลวงพระบางสนุกสนาน ร่าเริง เปิดเผย และรุ่มรวยไปด้วยน้ำใจ ที่หากใครได้คบหาและพูดคุย ก็จะได้พบกับน้ำมิตรไมตรีที่จริงใจไร้การเสกสรรปั้นแต่ง
คนหลวงพระบาง ฯลฯ ซึ่งสำหรับผมแล้วคนหลวงพระบางถือเป็นเสน่ห์อันสูงสุดของเมืองหลวงพระบาง เมืองเล็กๆ ที่ผู้คนมีจิตใจงดงามเหลือหลาย...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
หลวงพระบาง ตั้งอยู่ทางเหนือของสปป.ลาว อดีตเคยเป็นนครหลวงของอาณาจักรลานช้าง ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี พ.ศ. 2538 ใช้เงินกีบเป็นหลักในการซื้อขายโดย 1 บาท ประมาณ 250 กีบ แต่สามารถใช้เงินบาทได้ คนไทยสามารถเข้าหลวงพระบางได้โดยไม่ต้องทำวีซ่า
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
รู้จักหลวงพระบาง
การเดินทางสู่หลวงพระบาง
เก็บ"หลวงพระบาง" ไว้ในใจเสมอ
เพราะคนหลวงพระบางเคร่งครัดกับกฎเกณฑ์การ “อนุรักษ์” เมืองของรัฐบาล สปป.ลาวและองค์การยูเนสโก หลวงพระบางในรอบ 10 ปีหลังเป็นเมืองมรดกโลกจึงมีความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพน้อยมาก
วัดวาอารามยังคงสงบงาม ไร้วี่แววพุทธพาณิชย์ ส่วนอาคารบ้านเรือนก็ยังคงลักษณะภายนอกไว้เช่นดังเดิม จะมีเปลี่ยนแปลงก็เพียงพื้นที่ใช้สอยภายใน ที่ในวันนี้อาคารหลายหลังแปรเปลี่ยนเป็นโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติธรรมดาของเมืองท่องเที่ยวมรดกโลกแห่งยุคโลกาภิวัตน์
แต่ด้วยความที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลลาวและยูเนสโกอย่างเคร่งครัด หลวงพระบางในวันนี้จึงยังคงเต็มไปด้วยความสงบงาม ปราศจากทัศนอุจาด อย่างตึกทรงโรมัน เสากรีก และป้ายโฆษณาที่รกรุงรัง ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินชิลล์ ชิลล์ หรือขี่จักรยานเนิบๆ ชมเมืองยิ่งนัก...
หลวงพระบาง “เมือง” น่ายล
สำหรับจุดชมเมืองหลวงพระบางนั้น ที่ถือว่าเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมก็คือ เริ่มต้นจากบริเวณสี่แยกใจกลางเมือง แล้วไล่เที่ยวเรื่อยไปบนถนนกลางเมือง (ถ.สีสะหว่างวง) ไปจนสุดถนนที่แม่น้ำคาน ซึ่งถนนสายนี้ถือเป็นถนนเส้นหลักของเมืองที่ 2 ฟากฝั่งมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย โดยจุดแรกที่ไม่น่ามองข้ามก็คือ วัดใหม่สุวันนะพูมาราม วัดนี้แม้ชาวลาวจะเรียกสั้นๆ ว่า “วัดใหม่” แต่ว่าก็เป็นวัดอันเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2337 ในสมัยพระเจ้าอนุรุทธราช
ในวันปกติธรรมดา วัดใหม่ดูโดดเด่นด้วย “สิม” (โบสถ์หรือวิหาร)แบบลาวที่มีหลังคาซ้อนชั้นอันอ่อนช้อย ภายในสิมมี “พระเอ้” หรือพระพุทธรูปทรงเครื่องเป็นพระประธานที่ดูขรึมขลัง ส่วนบานประตูของวัดใหม่ก็งดงามไปด้วยฝีมือการแกะสลักไม้ของ “เพียตัน” (พระยาตัน) หนึ่งในสุดยอดช่างของลาว
ครั้นพอถึงช่วงสงกรานต์ ที่วัดใหม่จะคับคั่งไปด้วยผู้คนที่มาสรงน้ำ “พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง ซึ่งได้อัญเชิญมาจาก “หอพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง” ที่อยู่ใกล้ๆ กับวัดใหม่ และเป็นหนึ่งในไฮไลต์อันน่ายลของหลวงพระบาง
หอพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบางหรือพระราชวังหลวงเดิม ในอดีตเป็นพระราชวังหลวงที่พำนักของเจ้ามหาชีวิต ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ของเมือง ที่พอเดินเข้าไปทิวต้นตาล 2 ข้างทางเดินจะนำสายตาไปสู่อาคารพระราชวังที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสผสมลาว จนหลายๆ คนเปรียบเปรยพระราชวังหลังนี้ว่าเป็น “ฝรั่งสวมชฎา”
ภายในหอพิพิธภัณฑ์ฯ มีการจัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วควรไปสักการะ “พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่อยู่ในห้องทางขวามือเอาฤกษ์เอาชัย หลังจากนั้นใครใคร่ชมสิ่งใดก็เลือกชมกันตามสะดวก ซึ่งในนี้มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ กลองมโหระทึกสำริดจำนวนหลายใบในห้องฮับต้อน ฝาผนังประดับกระจกสีและบัลลังก์ไม้แกะสลักหุ้มทองคำในท้องพระโรงใหญ่ หอธรรมาสน์ในห้องพิธีการ รวมถึงพระพุทธรูป ข้าวของเครื่องใช้และโบราณวัตถุอีกมากมาย
ตรงข้ามกับหอพิพิธภัณฑ์ฯ เป็น “พูสี” ที่บนยอดนอกจากจะเป็นจุดชมวิวชั้นยอดแล้ว ยังมี “พระธาตุจอมพูสี” สีทองอร่ามตาเรื่อเรืองรอง
ครั้นพอพ้นผ่านหอพิพิธภัณฑ์ฯ ไปก็จะเข้าสู่ “ย่านบ้านเจ๊ก” ที่ในอดีตคือย่านค้าขายและที่อยู่ของคนจีนและเวียดนามที่มาทำงานเป็นลูกมือฝรั่งเศส คนลาวจึงเรียกย่านนี้ว่า “บ้านเจ๊ก”
มาในวันนี้ย่านบ้านเจ๊กแปรสภาพเป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ร้านอินเทอร์เน็ต ฯลฯ แต่ว่าลักษณะภายนอกของอาคารก็ยังคงไว้ด้วยสภาพตึกแถวสไตล์โคโลเนียลของฝรั่งเศส ซึ่งน่าชมไปด้วยผนังปูนสีอ่อนมุงหลังคากระเบื้องดินเผาที่เข้ากันอย่างลงตัวกับเสา ประตู หน้าต่าง และบัวประดับผนัง นับเป็นเสน่ห์อันน่ายลอีกอย่างหนึ่งของหลวงพระบางที่ต้องตาโดนใจนักท่องเที่ยวหลายๆ คน
ของดีอีกอย่างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านบ้านเจ๊กก็คือ “เฮือนมรดกเชียงม่วน” เรือนคหบดีโบราณตามแบบฉบับลาวแท้ๆ ที่ว่ากันว่าเก่าแก่และคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดในหลวงพระบาง แต่น่าเสียดายว่าเฮือนมรดกฯ ไม่ได้อยู่ติดถนน ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยสนใจเท่าที่ควร
ผมเดินผ่านถนนกลางเมืองมาได้ค่อนข้าง ช่วงท้ายๆ ของถนนสายนี้มีวัดให้ชมหลายวัด อาทิ วัดสบ วัดสีบุนเฮือง วัดสีมงคน วัดคีลี วัดปากคาน
สำหรับวัดที่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษในกลุ่มวัดแถวนี้ก็คือ วัดแสนสุขาราม หรือวัดแสน เพราะวัดนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนหนึ่งเดียวในตัวเมืองหลวงพระบาง ซึ่งคนหลวงพระบางเรียกว่า “พระเจ้า 18 สอก” (ภาษาลาว) เพราะสูง 18 ศอก ส่วนสิมของวัดแสนนั้นก็มีการประดับตกแต่งอย่างงดงามด้วยลวดลายหลากหลายรูปแบบ
เลยวัดแสนขึ้นไปหน่อยมีทางเลี้ยวซ้ายไปวัดเชียงทอง สุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมล้านช้างที่สวยงามที่สุดในหลวงพระบาง ใครที่มาเที่ยวหลวงพระบาง (ต้อง) ไม่ควรพลาดการชมวัดนี้ด้วยประการทั้งปวง...(ติดตามตามอ่านเรื่องราวของวัดเชียงทองได้ในตอนหน้า)
หลวงพระบาง “คน” น่ารัก
แม้ว่าหลวงพระบางจะมากไปด้วยวัด วัง และอาคารบ้านเรือนในรูปแบบดั้งเดิมที่มากมายไปด้วยเสน่ห์ชวนมอง แต่ว่าหากปราศจาก “คนหลวงพระบาง” แล้ว เสน่ห์ของเมืองนี้จะดูด้อยลงไปถนัดตา
คนหลวงพระบางใช้ชีวิตอย่างสงบ เรียบง่าย ทำไร่นา ปลูกผัก หาปลา เลี้ยงสัตว์ ท่ามกลางความสุขตามอัตภาพของวิถีชีวิตพอเพียง ที่ไม่ต้องดิ้นรนแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายตามกระแสแห่งโลกทุนนิยม
คนหลวงพระบางผูกพันมั่นคงและแนบแน่นในพุทธศาสนา โดยทุกๆ เช้าตรู่ในหลายๆ บ้านจะมีญาติโยมพากันออกมาตักบาตรข้าวเหนียวให้กับพระภิกษุสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตเป็นแถวยาวเหยียดนับร้อยรูป ทำให้หลายๆ คนขนานนามหลวงพระบางว่าเป็น “ธรรมมิกสังคมนิยม” แห่งสุดท้าย เพราะ สปป.ลาวเป็นประเทศสังคมนิยม
คนหลวงพระบางเก่งในการประยุกต์สองสิ่งต่างขั้วให้กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นแม่หญิงหลวงพระบางที่ดูงดงามมีสีสันไปด้วยเสื้อแขนกุด สายเดี่ยว และเสื้อยืดรัดรูปตามสมัยนิยม ผสมกับการนุ่งซิ่นตามแบบฉบับชาวลาว ดิสโก้เธคในหลวงพระบางที่นอกจากจะมีการแดนซ์กระจายคล้ายเมืองบางกอกแล้ว ยังมีการรำวงและการเต้นบาสล็อปแบบลาวสลับไปมาอย่างกลมกลืนและสนุกสนาน
คนหลวงพระบางภาคภูมิใจในบ้านเมืองของตนเอง
คนหลวงพระบางสนุกสนาน ร่าเริง เปิดเผย และรุ่มรวยไปด้วยน้ำใจ ที่หากใครได้คบหาและพูดคุย ก็จะได้พบกับน้ำมิตรไมตรีที่จริงใจไร้การเสกสรรปั้นแต่ง
คนหลวงพระบาง ฯลฯ ซึ่งสำหรับผมแล้วคนหลวงพระบางถือเป็นเสน่ห์อันสูงสุดของเมืองหลวงพระบาง เมืองเล็กๆ ที่ผู้คนมีจิตใจงดงามเหลือหลาย...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
หลวงพระบาง ตั้งอยู่ทางเหนือของสปป.ลาว อดีตเคยเป็นนครหลวงของอาณาจักรลานช้าง ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี พ.ศ. 2538 ใช้เงินกีบเป็นหลักในการซื้อขายโดย 1 บาท ประมาณ 250 กีบ แต่สามารถใช้เงินบาทได้ คนไทยสามารถเข้าหลวงพระบางได้โดยไม่ต้องทำวีซ่า
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
รู้จักหลวงพระบาง
การเดินทางสู่หลวงพระบาง
เก็บ"หลวงพระบาง" ไว้ในใจเสมอ