โดย : ปิ่น บุตรี

“นครวัด” ยิ่งใหญ่ อลังการ นับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งยุคปัจจุบัน
“นครธม” น่าทึ่ง มากมายไปด้วยปราสาทขอม นับเป็นนครอันเลื่องชื่อเคียงคู่นครวัด
แต่ปราสาทที่สวยงามที่สุดในกัมพูชากลับเป็น “ปราสาทบันทายสรี” ปราสาทที่ได้รับการยกย่องให้เป็น“รัตนมณีแห่งศิลปะเขมร”
See Angkor and die : ได้ชมอังกอร์หรือเมืองพระนคร(นครวัด นครธม) ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวา
อาร์โนล์ ทอยน์บี นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าววาจาอมตะเอาไว้เช่นนั้น
แต่...See Banteay Srei and alive : แต่หากได้ประจักษ์ในความงามของบันทายสรี(Banteay Srei) ก็ปานประหนึ่งได้ฟื้นคืนชีวีขึ้นอีกครั้ง
ธีรภาพ โลหิตกุล นักเขียนสารคดีชื่อดังของเมืองไทยได้กล่าวไว้เช่นนี้ ใน“หยาดน้ำตาเทวาลัย บันทายสรี” ในหนังสือ “ชายชรากับบ่วงกรรมและคำสาป นครวัด นครธม”
สวย...
ปราสาทบันทายสรี(เขมรเรียกบันเตยสะไร) เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 1510 โดยพราหมณ์ยัชญวราหะ ที่การก่อสร้างกินเวลาตั้งแต่สมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 คาบเกี่ยวไปจนถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ซึ่งเป็นพระราชโอรส
บันทายสรี มีขนาดจิ๋วหากเทียบกับนครวัด
แต่ว่าก็เป็น“จิ๋วแต่แจ๋ว”เพราะมีความงดงามวิจิตรซึมแทรกอยู่แทบทุกอณูพื้นที่ของปราสาทแห่งนี้
หากใครไปยลปราสาทบันทายสรี แล้วมองผ่านๆเผินๆก็จะเห็นปราสาทหินทรายสีชมพูที่สร้างตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดูที่เล็กกะทัดรัด แต่ว่ามีความสมส่วนอยู่ในที โดยเฉพาะที่ปรางค์ 3 องค์ศูนย์กลางของปราสาทนั้นดูงามสง่าน่ามองมาก

แต่ว่าหากมองอย่างเพ่งพินิศ มองอย่างใส่ใจในรายละเอียดแล้วละก็ จะเห็นว่าลวดลายจำหลักหินทรายตามหน้าบัน ทับหลัง กรอบประตู-หน้าต่าง และในหลายอณูพื้นที่ของปราสาทแห่งนี้ ล้วนต่างดูแล้วช่างวิจิตรงดงามกระไรปานนั้น โดยลวดลายจำหลักตามพื้นที่ต่างๆ ช่างชาวขอมได้แกะกว้านลึกลงไปในเนื้อหินอย่างละเอียด จนทำให้ภาพเหล่าทวยเทพ อสูร นางอัปสรา ยักษ์ สัตว์ ฯลฯ ดูอ่อนช้อย พลิ้วไหว
และไม่เพียงแค่งดงามเท่านั้น ช่างชาวขอมยังเป็นผู้บุกเบิกการจำหลักหินในภาพเคลื่อนไหวขึ้นที่ปราสาทบันทายสรีเป็นแห่งแรก ด้วยเหตุนี้ภาพจำหลักส่วนใหญ่จึงดูมีความเคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็น ภาพนรสิงห์(นารายณ์อวตาร)หน้าตาถมึงทึงกำลังฉีกอกยักษ์ที่ฆ่าไม่ตายอย่างท้าวหิรัณยะกะสิปุ ภาพทศกัณฑ์เขย่าเขาไกรลาศ ที่ทำให้นางอุมาเทวีตกใจสุดๆจนต้องกระโดดแผล็วขึ้นไปนั่งบนตักของพระศิวะ และฯลฯ
หากใครที่ยังไม่สร่างเมาหรือเกิดอาการตาเบลอชั่วขณะ บางทีอาจจะเห็นเหล่านางอัปสราส่งยิ้มทักทายในขณะที่เดินชมปราสาทบันทายสรีอยู่ก็เป็นได้...
เศร้า...
เมื่อปลายปีที่แล้วในระหว่างที่ผมเดินตะลึงพรึงเพริศชมลวดลายอันวิจิตรของปราสาทบันทายสรีอยู่ จู่ๆหูก็แว่วได้ยินเสียงดนตรีอันโศกเศร้าลอยมาตามสายลม
หะแรกที่ได้ยินก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะนึกว่านี่คือเสียงดนตรีลี้ลับตามแบบฉบับเรื่องราวพิศวงที่มักเกิดขึ้นตามโบราณสถานหลายๆแห่ง
แต่เอ...เวลาที่ได้ยินเสียงดนตรีแดดก็ยังส่องเปรี้ยงอยู่ ครั้นพอตั้งใจฟังที่มาของเสียงดนตรีก็ถึงได้รู้ว่าอยู่ใกล้กับปราสาทบันทายสรีนี่เอง
ด้วยความที่กลัวเสียงดนตรีจะหายไป ผมจึงพักจากอาการตะลึงพรึงเพริศในการชมความวิจิตรของลวดลายจำหลักหินชั่วขณะ เดินไปยังต้นเสียงเพื่อดูว่า วงดนตรีวงไหนหนอ??? ทำไมถึงได้เล่นดนตรีที่ฟังแล้วให้อารมณ์โศกเศร้าเหงาเปลี่ยวพิกล
ครั้นพอได้เห็นวงดนตรีเสียงโศกที่นอกกำแพงปราสาท ผมก็พลอยเกิดความรู้สึกโศกเศร้าตามเสียงดนตรีไปด้วย เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้น คือวงดนตรีวณิพกชาวบ้านจำนวน 10 คน กำลังนั่งบรรเลงเพลงในทำนองที่ฟังแล้วค่อนคุ้นหูข้างเพราะว่าฟังคล้ายกับเพลงไทยเดิมบ้านเรา โดยนักดนตรีส่วนหนึ่งของวงดนตรีวงนี้จะพิการ คนเป่าใบไม้ขาขาดนั่งถอดขาเทียมวางไว้ คนเล่นจะเข้ สีซอ ตีกลอง ล้วนต่างตาบอด

สำหรับวงดนตรีวงนี้หากมองผ่านๆก็คือวงดนตรีวณิพกเหมือนๆกับที่เห็นทั่วไปในบ้านเรา แต่ว่าจากที่ผมไปเลียบๆเคียงๆถามไกด์เขมรที่เดินพาคนไทยชมปราสาทบันทายสรีอยู่นั้นก็ได้ความว่า นักดนตรีเหล่านี้คือเหยื่อของสงครามกลางเมืองเขมร ซึ่งคนไม่กี่คนแก่งแย่งอำนาจกัน แต่ว่าความเสียหาย การบาดเจ็บ ล้มตาย และพิการ กลับตกแก่ประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
นี่กระมังคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียงดนตรีของวงนี้ฟังเศร้าสร้อยนัก
งานนี้ผมทำได้เพียงวางแบงก์ใส่ในพานหน้าวงดนตรี พร้อมกับตั้งคำถามเล็กๆขึ้นในใจว่า สงครามไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนต่างก็โหดร้ายเสมอ แต่เหตุไฉนจึงมีมนุษย์ส่วนหนึ่งกระหายสงครามอยู่ร่ำไป...
เซ็ง...
ดนตรีเสียงโศกทำเอาผมซึมหม่นไปชั่วขณะ แต่ว่าเมื่อกลับมาเดินชมความงามของลวดลายจำหลักหิน อารมณ์ตะลึงพรึงเพริศก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง
แล้วในระหว่างที่ผมเดินถ่ายรูปและชมความงามอยู่หลายรอบ สายตาก็เหลือบไปเห็นสาวชาวเขมรที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลปราสาทปราสาทบันทายสรี เธอไปหลบนั่งทำหน้าเบื่อเซ็งในกรอบหน้าต่างบานหนึ่งของปราสาท ซึ่งคงเป็นเพราะเจ้าหน้าที่สาวคนนี้คุ้นเคยกับปราสาทบันทายสรีจนทะลุปรุโปร่ง เพราะต้องมาดูแลทุกวัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่รู้สึกอินังขังขอบกับปราสาทที่ได้รับการยกย่องให้เป็นรัตนมณีแห่งศิลปะเขมร อันเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเดินทางส่วนใหญ่
แต่ดูเหมือนว่าความรู้เซ็งของเจ้าหน้าที่สาวคนนี้ที่ผมแอบสังเกตเห็นจะด้อยลงไปถนัด เมื่อเจอกับกลุ่มคนที่“เซ็งกว่า”
พวกเขาเป็นนักท่องเที่ยวคุณนายคนไทยกลุ่มหนึ่งที่มาหลบมุมแอบยืนเมาท์ไกด์(แต่บังเอิญผมได้ยิน) ด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กๆว่า “ให้มาดูอะไรก็ไม่รู้ ร้อนก็ร้อน มีแต่หินเก่าๆ ซากพังๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย”
งานนี้ยังดีที่คุณนายกลุ่มนั้นแค่ไปแอบเซ็ง โดยไปได้ไปเซ็งบ่อนบรรดาเพื่อนๆร่วมทริป ซึ่งเรื่องนี้ถือว่า“นานาจิตตัง”เพราะคนเรานั้นล้วนต่างจิตต่างใจ มีความคิดเห็น ความรัก ความชอบ แตกต่างกันออกไป
เช่นเดียวกับบรรดาอารมณ์อันหลากหลายที่เกิดขึ้นในวันที่ผมไปเดินชมความงามของปราสาทบันทายสรี
ในขณะที่ผมและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างตะลึงพรึงเพริศในความงามของลวดลายจำหลักหิน นักดนตรีเหยื่อสงครามกลับเศร้าสร้อย
ในขณะที่ผมและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างตะลึงพรึงเพริศในความงามของลวดลายจำหลักหิน เจ้าหน้าที่สาวชาวเขมรกับแสดงอาการเบื่อ เซ็ง
ในขณะที่ผมและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างตะลึงพรึงเพริศในความงามของลวดลายจำหลักหิน กลุ่มนักท่องเที่ยวคุณนายคนไทย กลับออกอาการเซ็งเพราะไม่รู้ว่ากำลังเดินดูอะไรอยู่
สิ่งเหล่านี้คืออารมณ์บางส่วนที่เกิดขึ้น ณ ปราสาทบันทายสรี รัตนมณีแห่งศิลปะเขมร ที่ในวันนี้ผมยังคงสงสัยอยู่ว่า เหล่าช่างชาวขอมโบราณผู้จำหลักหินที่ปราสาทบันทายสรี พวกเขาอยู่ในอารมณ์ไหนตอนจำหลักหิน ทำไมถึงได้สร้างสรรค์งานจำหลักลายหินที่ช่างวิจิตรเพริศแพร้วกระไรปานนั้นขึ้นมาได้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ปราสาทบันทายสรี อยู่ในเมืองเสียมเรียบ ห่างจากนครวัด นครธม ไปทางเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร สำหรับการเที่ยวชมปราสาทขอมในเขมรนั้นจะเสียค่าเที่ยวชม 20 เหรียญสหรัฐ(ประมาณ 1 พันบาท) ต่อวัน/คน ส่วนถ้าอยากเที่ยวนาน 3 วัน ซื้อตั๋ว 40 เหรียญ/คน เที่ยว 4-7 วัน ซื้อตั๋ว 60 เหรียญ/คน ส่วนค่าวีซ่าเข้าเขมรก็อยู่ที่ 20 เหรียญ(สถานทูตกัมพูชาในเมืองไทย อยู่ที่ ถ.ราชดำริ โทร. 0-2254-6630)
การไปเที่ยวปราสาทบันทายสรี นครวัด นครธม หรือปราสาทอื่นๆในเสียบเรียบ หากไม่ไปกับบริษัททัวร์ก็สามารถเดินไปได้โดย
ทางเครื่องบิน : มีสายการบินบางกอกแอร์เวยส์บินตรง กรุงเทพฯ-เสียมเรียบ ทุกวัน วันละ 4 เที่ยว สอบถาม 1771
ทางรถยนต์ : เส้นทางที่สะดวกที่สุดคือเข้าทาง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ผ่านด่านคลองลึกเข้าสู่ประเทศกัมพูชาที่ด่านปอยเปต แล้วผ่านจังหวัดบันเตียเมียนเจย สู่จังหวัดเสียมเรียบ ระยะทาง 154 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4-5 ชม.เนื่องจากถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ (หากเป็นหน้าฝนอาจใช้เวลา 6-7 ชม.)
ปัจจุบันประเทศกัมพูชายังไม่อนุญาตให้คนไทยนำรถทะเบียนไทยไปขับในกัมพูชาได้ ยกเว้นกรณีที่ขออนุญาตสถานทูตกัมพูชาเป็นกรณีพิเศษ เช่นไปคาราวานทัวร์
ทั้งนี้ผู้ที่ไปเที่ยวชมปราสาทขอมต่างๆในเมืองเสียมเรียบ หากต้องการได้อรรถรสมากขึ้นควรหาหนังสืออ่านเพิ่มเติม ที่น่าสนใจก็มี นิราศนครวัด:สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ถกเขมร : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ,ตำนานแห่งนครวัด:จิตร ภูมิศักดิ์, เมืองพระนคร-นครวัดนครธม : ยอร์ช เซเดส์ แปลโดย ปราณี วงษ์เทศ, ชายชรากับบ่วงกรรมและคำสาป นครวัด นครธม : ธีรภาพ โลหิตกุล, เที่ยวเขมร : วีระ ธีรภัทร
“นครวัด” ยิ่งใหญ่ อลังการ นับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งยุคปัจจุบัน
“นครธม” น่าทึ่ง มากมายไปด้วยปราสาทขอม นับเป็นนครอันเลื่องชื่อเคียงคู่นครวัด
แต่ปราสาทที่สวยงามที่สุดในกัมพูชากลับเป็น “ปราสาทบันทายสรี” ปราสาทที่ได้รับการยกย่องให้เป็น“รัตนมณีแห่งศิลปะเขมร”
See Angkor and die : ได้ชมอังกอร์หรือเมืองพระนคร(นครวัด นครธม) ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวา
อาร์โนล์ ทอยน์บี นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าววาจาอมตะเอาไว้เช่นนั้น
แต่...See Banteay Srei and alive : แต่หากได้ประจักษ์ในความงามของบันทายสรี(Banteay Srei) ก็ปานประหนึ่งได้ฟื้นคืนชีวีขึ้นอีกครั้ง
ธีรภาพ โลหิตกุล นักเขียนสารคดีชื่อดังของเมืองไทยได้กล่าวไว้เช่นนี้ ใน“หยาดน้ำตาเทวาลัย บันทายสรี” ในหนังสือ “ชายชรากับบ่วงกรรมและคำสาป นครวัด นครธม”
สวย...
ปราสาทบันทายสรี(เขมรเรียกบันเตยสะไร) เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 1510 โดยพราหมณ์ยัชญวราหะ ที่การก่อสร้างกินเวลาตั้งแต่สมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 คาบเกี่ยวไปจนถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ซึ่งเป็นพระราชโอรส
บันทายสรี มีขนาดจิ๋วหากเทียบกับนครวัด
แต่ว่าก็เป็น“จิ๋วแต่แจ๋ว”เพราะมีความงดงามวิจิตรซึมแทรกอยู่แทบทุกอณูพื้นที่ของปราสาทแห่งนี้
หากใครไปยลปราสาทบันทายสรี แล้วมองผ่านๆเผินๆก็จะเห็นปราสาทหินทรายสีชมพูที่สร้างตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดูที่เล็กกะทัดรัด แต่ว่ามีความสมส่วนอยู่ในที โดยเฉพาะที่ปรางค์ 3 องค์ศูนย์กลางของปราสาทนั้นดูงามสง่าน่ามองมาก
แต่ว่าหากมองอย่างเพ่งพินิศ มองอย่างใส่ใจในรายละเอียดแล้วละก็ จะเห็นว่าลวดลายจำหลักหินทรายตามหน้าบัน ทับหลัง กรอบประตู-หน้าต่าง และในหลายอณูพื้นที่ของปราสาทแห่งนี้ ล้วนต่างดูแล้วช่างวิจิตรงดงามกระไรปานนั้น โดยลวดลายจำหลักตามพื้นที่ต่างๆ ช่างชาวขอมได้แกะกว้านลึกลงไปในเนื้อหินอย่างละเอียด จนทำให้ภาพเหล่าทวยเทพ อสูร นางอัปสรา ยักษ์ สัตว์ ฯลฯ ดูอ่อนช้อย พลิ้วไหว
และไม่เพียงแค่งดงามเท่านั้น ช่างชาวขอมยังเป็นผู้บุกเบิกการจำหลักหินในภาพเคลื่อนไหวขึ้นที่ปราสาทบันทายสรีเป็นแห่งแรก ด้วยเหตุนี้ภาพจำหลักส่วนใหญ่จึงดูมีความเคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็น ภาพนรสิงห์(นารายณ์อวตาร)หน้าตาถมึงทึงกำลังฉีกอกยักษ์ที่ฆ่าไม่ตายอย่างท้าวหิรัณยะกะสิปุ ภาพทศกัณฑ์เขย่าเขาไกรลาศ ที่ทำให้นางอุมาเทวีตกใจสุดๆจนต้องกระโดดแผล็วขึ้นไปนั่งบนตักของพระศิวะ และฯลฯ
หากใครที่ยังไม่สร่างเมาหรือเกิดอาการตาเบลอชั่วขณะ บางทีอาจจะเห็นเหล่านางอัปสราส่งยิ้มทักทายในขณะที่เดินชมปราสาทบันทายสรีอยู่ก็เป็นได้...
เศร้า...
เมื่อปลายปีที่แล้วในระหว่างที่ผมเดินตะลึงพรึงเพริศชมลวดลายอันวิจิตรของปราสาทบันทายสรีอยู่ จู่ๆหูก็แว่วได้ยินเสียงดนตรีอันโศกเศร้าลอยมาตามสายลม
หะแรกที่ได้ยินก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะนึกว่านี่คือเสียงดนตรีลี้ลับตามแบบฉบับเรื่องราวพิศวงที่มักเกิดขึ้นตามโบราณสถานหลายๆแห่ง
แต่เอ...เวลาที่ได้ยินเสียงดนตรีแดดก็ยังส่องเปรี้ยงอยู่ ครั้นพอตั้งใจฟังที่มาของเสียงดนตรีก็ถึงได้รู้ว่าอยู่ใกล้กับปราสาทบันทายสรีนี่เอง
ด้วยความที่กลัวเสียงดนตรีจะหายไป ผมจึงพักจากอาการตะลึงพรึงเพริศในการชมความวิจิตรของลวดลายจำหลักหินชั่วขณะ เดินไปยังต้นเสียงเพื่อดูว่า วงดนตรีวงไหนหนอ??? ทำไมถึงได้เล่นดนตรีที่ฟังแล้วให้อารมณ์โศกเศร้าเหงาเปลี่ยวพิกล
ครั้นพอได้เห็นวงดนตรีเสียงโศกที่นอกกำแพงปราสาท ผมก็พลอยเกิดความรู้สึกโศกเศร้าตามเสียงดนตรีไปด้วย เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้น คือวงดนตรีวณิพกชาวบ้านจำนวน 10 คน กำลังนั่งบรรเลงเพลงในทำนองที่ฟังแล้วค่อนคุ้นหูข้างเพราะว่าฟังคล้ายกับเพลงไทยเดิมบ้านเรา โดยนักดนตรีส่วนหนึ่งของวงดนตรีวงนี้จะพิการ คนเป่าใบไม้ขาขาดนั่งถอดขาเทียมวางไว้ คนเล่นจะเข้ สีซอ ตีกลอง ล้วนต่างตาบอด
สำหรับวงดนตรีวงนี้หากมองผ่านๆก็คือวงดนตรีวณิพกเหมือนๆกับที่เห็นทั่วไปในบ้านเรา แต่ว่าจากที่ผมไปเลียบๆเคียงๆถามไกด์เขมรที่เดินพาคนไทยชมปราสาทบันทายสรีอยู่นั้นก็ได้ความว่า นักดนตรีเหล่านี้คือเหยื่อของสงครามกลางเมืองเขมร ซึ่งคนไม่กี่คนแก่งแย่งอำนาจกัน แต่ว่าความเสียหาย การบาดเจ็บ ล้มตาย และพิการ กลับตกแก่ประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
นี่กระมังคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียงดนตรีของวงนี้ฟังเศร้าสร้อยนัก
งานนี้ผมทำได้เพียงวางแบงก์ใส่ในพานหน้าวงดนตรี พร้อมกับตั้งคำถามเล็กๆขึ้นในใจว่า สงครามไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนต่างก็โหดร้ายเสมอ แต่เหตุไฉนจึงมีมนุษย์ส่วนหนึ่งกระหายสงครามอยู่ร่ำไป...
เซ็ง...
ดนตรีเสียงโศกทำเอาผมซึมหม่นไปชั่วขณะ แต่ว่าเมื่อกลับมาเดินชมความงามของลวดลายจำหลักหิน อารมณ์ตะลึงพรึงเพริศก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง
แล้วในระหว่างที่ผมเดินถ่ายรูปและชมความงามอยู่หลายรอบ สายตาก็เหลือบไปเห็นสาวชาวเขมรที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลปราสาทปราสาทบันทายสรี เธอไปหลบนั่งทำหน้าเบื่อเซ็งในกรอบหน้าต่างบานหนึ่งของปราสาท ซึ่งคงเป็นเพราะเจ้าหน้าที่สาวคนนี้คุ้นเคยกับปราสาทบันทายสรีจนทะลุปรุโปร่ง เพราะต้องมาดูแลทุกวัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่รู้สึกอินังขังขอบกับปราสาทที่ได้รับการยกย่องให้เป็นรัตนมณีแห่งศิลปะเขมร อันเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเดินทางส่วนใหญ่
แต่ดูเหมือนว่าความรู้เซ็งของเจ้าหน้าที่สาวคนนี้ที่ผมแอบสังเกตเห็นจะด้อยลงไปถนัด เมื่อเจอกับกลุ่มคนที่“เซ็งกว่า”
พวกเขาเป็นนักท่องเที่ยวคุณนายคนไทยกลุ่มหนึ่งที่มาหลบมุมแอบยืนเมาท์ไกด์(แต่บังเอิญผมได้ยิน) ด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กๆว่า “ให้มาดูอะไรก็ไม่รู้ ร้อนก็ร้อน มีแต่หินเก่าๆ ซากพังๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย”
งานนี้ยังดีที่คุณนายกลุ่มนั้นแค่ไปแอบเซ็ง โดยไปได้ไปเซ็งบ่อนบรรดาเพื่อนๆร่วมทริป ซึ่งเรื่องนี้ถือว่า“นานาจิตตัง”เพราะคนเรานั้นล้วนต่างจิตต่างใจ มีความคิดเห็น ความรัก ความชอบ แตกต่างกันออกไป
เช่นเดียวกับบรรดาอารมณ์อันหลากหลายที่เกิดขึ้นในวันที่ผมไปเดินชมความงามของปราสาทบันทายสรี
ในขณะที่ผมและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างตะลึงพรึงเพริศในความงามของลวดลายจำหลักหิน นักดนตรีเหยื่อสงครามกลับเศร้าสร้อย
ในขณะที่ผมและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างตะลึงพรึงเพริศในความงามของลวดลายจำหลักหิน เจ้าหน้าที่สาวชาวเขมรกับแสดงอาการเบื่อ เซ็ง
ในขณะที่ผมและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างตะลึงพรึงเพริศในความงามของลวดลายจำหลักหิน กลุ่มนักท่องเที่ยวคุณนายคนไทย กลับออกอาการเซ็งเพราะไม่รู้ว่ากำลังเดินดูอะไรอยู่
สิ่งเหล่านี้คืออารมณ์บางส่วนที่เกิดขึ้น ณ ปราสาทบันทายสรี รัตนมณีแห่งศิลปะเขมร ที่ในวันนี้ผมยังคงสงสัยอยู่ว่า เหล่าช่างชาวขอมโบราณผู้จำหลักหินที่ปราสาทบันทายสรี พวกเขาอยู่ในอารมณ์ไหนตอนจำหลักหิน ทำไมถึงได้สร้างสรรค์งานจำหลักลายหินที่ช่างวิจิตรเพริศแพร้วกระไรปานนั้นขึ้นมาได้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ปราสาทบันทายสรี อยู่ในเมืองเสียมเรียบ ห่างจากนครวัด นครธม ไปทางเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร สำหรับการเที่ยวชมปราสาทขอมในเขมรนั้นจะเสียค่าเที่ยวชม 20 เหรียญสหรัฐ(ประมาณ 1 พันบาท) ต่อวัน/คน ส่วนถ้าอยากเที่ยวนาน 3 วัน ซื้อตั๋ว 40 เหรียญ/คน เที่ยว 4-7 วัน ซื้อตั๋ว 60 เหรียญ/คน ส่วนค่าวีซ่าเข้าเขมรก็อยู่ที่ 20 เหรียญ(สถานทูตกัมพูชาในเมืองไทย อยู่ที่ ถ.ราชดำริ โทร. 0-2254-6630)
การไปเที่ยวปราสาทบันทายสรี นครวัด นครธม หรือปราสาทอื่นๆในเสียบเรียบ หากไม่ไปกับบริษัททัวร์ก็สามารถเดินไปได้โดย
ทางเครื่องบิน : มีสายการบินบางกอกแอร์เวยส์บินตรง กรุงเทพฯ-เสียมเรียบ ทุกวัน วันละ 4 เที่ยว สอบถาม 1771
ทางรถยนต์ : เส้นทางที่สะดวกที่สุดคือเข้าทาง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ผ่านด่านคลองลึกเข้าสู่ประเทศกัมพูชาที่ด่านปอยเปต แล้วผ่านจังหวัดบันเตียเมียนเจย สู่จังหวัดเสียมเรียบ ระยะทาง 154 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4-5 ชม.เนื่องจากถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ (หากเป็นหน้าฝนอาจใช้เวลา 6-7 ชม.)
ปัจจุบันประเทศกัมพูชายังไม่อนุญาตให้คนไทยนำรถทะเบียนไทยไปขับในกัมพูชาได้ ยกเว้นกรณีที่ขออนุญาตสถานทูตกัมพูชาเป็นกรณีพิเศษ เช่นไปคาราวานทัวร์
ทั้งนี้ผู้ที่ไปเที่ยวชมปราสาทขอมต่างๆในเมืองเสียมเรียบ หากต้องการได้อรรถรสมากขึ้นควรหาหนังสืออ่านเพิ่มเติม ที่น่าสนใจก็มี นิราศนครวัด:สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ถกเขมร : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ,ตำนานแห่งนครวัด:จิตร ภูมิศักดิ์, เมืองพระนคร-นครวัดนครธม : ยอร์ช เซเดส์ แปลโดย ปราณี วงษ์เทศ, ชายชรากับบ่วงกรรมและคำสาป นครวัด นครธม : ธีรภาพ โลหิตกุล, เที่ยวเขมร : วีระ ธีรภัทร