โดย : ปิ่น บุตรี

“การไปเยือนสิบสองปันนา เป็นเหมือนกับการเดินทางไปเยี่ยมญาติที่มีรากเดียวกันแต่ว่าต้องพลัดพรากจากกันไปเป็นเวลานาน”
เพื่อนผมคนหนึ่งมันชอบพูดประโยคนี้เสมอเมื่อพูดถึงชาวไทลื้อในเขตปกครองตนเอง “สิบสองปันนา” มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าไอ้เจ้าเพื่อนคนนี้มันคิดคำพูดขึ้นมาเอง หรือว่ามันแอบไปจำสำนวนใครมา แต่ว่าผมเห็นด้วยกับคำพูดของมันเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเท่าที่ผมได้พูดคุยทักทายกับ 2 คุณป้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ "วัดสวนมอน" ในหมู่บ้านวัฒนธรรม เมืองกาหลั่นป้า
ผมรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับญาติผู้ใหญ่ใจดีที่เอ็นดูลูกหลาน แม้ว่าเราจะอยู่ต่างบ้านต่างเมืองและคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม
แต่ว่าบรรยากาศอันเปี่ยมไปด้วยน้ำมิตรมันก็เป็นแค่เพียงชั่วขณะ เพราะเมื่อผมออกจากวัดสวนมอน บรรยากาศข้างนอกกลับเต็มไปด้วยรังสีของของธุรกิจท่องเที่ยวแห่งยุคทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็น คนที่มาเชิญชวนให้ไปถ่ายรูปคู่กับ "นกยูง" อันเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของสิบสองปันนา เหล่าสาวๆในชุดไทลื้อเต็มยศที่ผมมารู้ทีหลังว่าส่วนใหญ่พวกหล่อนจริงเป็นสาวชาว"ฮั่น"โดยเกือบทั้งหมดล้วนทำหน้าตาปั้นปึ่ง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าหากยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปพวกหล่อนแล้วจะถูกเรียกเก็บตังค์หรือเปล่า บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เดินเร่ขายของหรือที่ตะโกนเรียกอยู่ในร้านริมทาง
เมื่อเจอกับบรรยากาศอันเปี่ยมไปด้วยรังสีของธุรกิจท่องเที่ยวเช่นนี้ เวลาที่ผมเดินผ่านจึงสวมบท “นายใบ้” และเดินจ้ำอ้าวเพื่อให้พ้นไปโดยเร็ว แต่ว่าจนแล้วจนรอดผมก็เกิดอาการตบะแตกต้องหันไปมองจนได้ เพราะเมื่อเดินไปยังโซนขายเสื้อผ้า จู่ๆก็มีเสียงเพลงไทยเคยร่วมสมัยดังไล่หลังมา
“เกิดมาไม่เคยเจอใครเหมือนเธอ หลับฝันละเมอภาพเธอคอยหลอนทุกคืน
หลับลงคราใด อยากนอนไม่ยอมตื่น ก็ทุกค่ำคืนเจอเธอที่ปลายฟ้าไกล...”
โอว...พวกเล่นเพลง“ซมซาน”ของ“วงโลโซ”ซะด้วย
ผมรีบหันไปตามต้นเสียงด้วยความอยากรู้ว่ามีคนไทยที่ไหนอารมณ์ดีมาส่งเสียงร้องเพลงจีบสาวท่ามกลางอากาศที่ร้อนระยับเช่นนี้
แต่ว่าผิดคาดเพราะต้นเสียงเพลงนั้นเป็นหนุ่มไทลื้อคนหนึ่งกำลังนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงของโลโซอยู่
หมอนี่เมื่อเจอหน้าผมก็ไม่ได้ร้องเพลงเฉยๆ แต่ว่าได้ส่งยิ้มมาทักทายด้วยใบหน้าที่ดูละม้ายดาราประกอบหนังฮ่องกง
แรกที่เจอหนุ่มไทลื้อคนนี้ยิ้มให้ ผมก็ออกอาการงุนงงเล็กน้อยถึงปานกลางว่าหมอนี่ยิ้มให้ผมทำไม เอ...หรือว่าเขาเป็นผู้ชายไม้ป่าเดียวกัน??? เอ...หรือเขาเห็นผมหน้าตาหล่อเหมือนเสก โลโซ ???
แต่ว่างานนี้ไม่ต้องคิดนาน เพราะพอหนุ่มไทลื้อคนนี้หุบยิ้มและหยุดร้องเพลง เขาได้ส่งสำเนียงไทยในสไตล์ไทลื้อมาทายทักผมว่า
“คนไทย ซื้อเสื้อ 100 หยวน(500 บาท)”
หนุ่มไทลื้อมือกีตาร์ก็ชี้ให้ผมดูเสื้อที่แขวนโชว์อยู่ในร้าน ซึ่งก็มีทั้ง เสื้อรูปช้างเขียนว่าไทยแลนด์และเชียงใหม่ เสื้อรูปวัดอรุณเขียนว่าแบงก์คอก เสื้อรูปโลโก้ทีวีของไทย และเสื้อที่เกี่ยวกับเมืองไทยอีกหลายอย่าง
โอ้...แม่เจ้าโว้ย เสื้อผ้าพวกนี้มันมาจากเมืองไทยทั้งนั้นแถมราคายังถูกกว่าเยอะเลย แล้วหมอนี่ยังมาเรียกให้ตูซื้ออีก
หนุ่มไทลื้อถามซ้ำอีกครั้งในประโยคเดิม แต่ลดราคาลงมาเป็น 90 หยวน
ผมส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมๆกับตอบเขาไปในอารมณ์เพลงโลโซว่า “โน...โน...โอ้ว...เย...”
หนุ่มไทลื้อเมื่อเห็นว่าคงขายเสื้อไม่ได้ เขาจึงหยิบกีตาร์มาครวญเพลงของโลโซต่อ ส่วนผมก็เดินโต๋เต๋เข้าไปในเขตหมู่บ้านเพื่อเยี่ยมชมบ้านและวิถีชีวิตของชาวไทลื้อ ซึ่งมีบรรยากาศคล้ายหมู่บ้านทางภาคเหนือสมัยก่อน บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวที่ปลูกเรียงติดกัน หลังคาคลุมต่ำมุงมด้วยกระเบื้องดินเผา(ดินขอ) ส่วนใต้ถุนบ้านนั้นก็เป็นพื้นที่อเนกประสงค์เอาไว้ นอนเอกเขนก ทอผ้า นั่งพูดคุย รับประทานอาหาร ในขณะที่ก็มีชานบ้าน(เติ๋น)เอาไว้นั่งเล่น รับแขก หลายๆบ้านแต่งยอดจั่วด้วยรูปสลักนกยูง สัญลักษณ์แห่งสิบสองปันนา

บ้านในหมู่บ้านนี้ดูร่มรื่นและมีหลายหลังที่มีป้ายเชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมบ้านได้ แต่ว่าบางบ้านก็ต้องระวังเหล่าเจ้าหมาให้ดี เพราะบ้านบางหลังเพียงผมเดินเฉียดไป พวกบรรดาเจ้าหมาทั้งหลายเห่าต้อนรับกันขรม โดยเฉพาะบ้านหลังหนึ่งที่ตัวบ้านสวยงามมาก แต่ว่าวันนั้นเจ้าของไม่อยู่พอผมเดินเข้าเขตบ้านเท่านั้นแหละ เจ้าตูบ เจ้าด่าง เจ้าเห่า เจ้าโฮ่ง เจ้าดุ ยกขบวนมาต้อนรับกันทั้งแก๊งทีเดียว
งานนี้ถ้าไม่ได้วิชาไป-มา ทิ้งร่องรอยของหลวงพ่อ “โกย”รับรองว่าต้องสังเวยคมเขี้ยวแน่ๆ แต่จะว่าไปถ้าไอ้หมาพวกนี้มันไม่มาไล่ ผมก็คงไม่ได้เจอกับครอบครัวไทลื้อผู้น่ารักในบ้านหลังนั้นแน่นอน
เพราะเมื่อผมวิ่งหนีหมาหัวซุกหัวซุนมาทางบ้านหลังนี้ คุณป้าชาวไทลื้อที่กำลังปอกมะพร้าวอ่อนขายอยู่ ได้ออกมาไล่หมาแล้วชวนผมไปนั่งพักผ่อนใต้ถุนบ้าน แล้วตะโกนเรียกลูกสาวที่อยู่บนบ้านให้ลงมาเสิร์ฟน้ำชารับแขก
สักประมาณหนึ่งอึดใจเห็นจะได้สาวเจ้าในชุดไทลื้อหน้าตาน่ารักสดใสเดินถือแก้วน้ำมาเสิร์ฟอย่างนุ่มนวลพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วโลกแทบหยุดหมุน !?!

“อี่ตัวดี” คือคำนิยามที่ผมให้กับสาวเจ้าผู้นี้ ซึ่งชาวไทลื้อเรียกผู้หญิงว่า “อี่” เรียกผู้ชายว่า “ไอ่” ส่วนคำว่าอี่ตัวดีนั้นก็เปรียบได้กับ “สาวคนงาม”
ผู้หญิงไทยคนไหนที่หากไปเยือนสิบสองปันนาแล้วมีเด็กๆมาบอกว่าอี่ตัวดี ก็ขออย่าได้ตกใจ เพราะว่าเด็กคนนั้นชมว่าพี่เป็นคนสวย คนงาม ส่วนหากเด็กๆถามต่อว่า “เจ้าเอาโผแล้วบ่” ก็อย่าได้ตกใจอีกเช่นกัน เพราะนี่คือคำที่ถามว่า “พี่แต่งงานหรือยัง”
สำหรับอี่ตัวดีคนนี้แม้ว่าเธอจะนั่งอยู่ข้างๆ แต่ว่าผมก็ทำได้แค่ส่งยิ้ม(หวาน)ให้เธอเท่านั้น เพราะว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่อง เนื่องจากอี่ตัวดีเธอใช้ภาษาจีนเป็นหลัก ภาษาไทลื้อและภาษาอังกฤษพอพูดบ้างเล็กน้อย ซึ่งก็เหมือนกับหนุ่ม-สาวไทลื้อรุ่นใหม่ทั่วไปในปัจจุบันที่ส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทลื้อกันไม่ได้แล้ว
แต่ว่าทางคุณแม่ เอ๊ย!!! คุณป้าที่นอกจากจะไล่หมาให้ก็สุดแสนจะใจดี หันมาบอกกับผมว่าลูกสาวของป้านั้นชื่อ “กงเซียนะ” ก่อนที่จะพักการปอกมะพร้าวและหันมาพุดคุยกับผมด้วยภาษาไทลื้อที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง บางทีคุณป้าก็ทำหน้าที่เป็นล่ามให้ลูกสาวพูดคุยกับผม และจากการพูดคุยกับคุณป้าทำให้ผมได้รู้ว่าบ้านหลังนี้มีนักท่องเที่ยวไทยมาแวะเวียนค่อนข้างบ่อย ทำให้คุณป้าคุ้นเคยกับคนไทยเป็นอย่างดี
ครั้นพอถึงเวลาที่ต้องอำลาจากกัน อี่ตัวดีเสิร์ฟน้ำชาให้ดื่มอีกแก้วพร้อมกับยกมือไหว้ลา พร้อมกับพูดว่า “สวัสดีค่ะ”
งานนี้ที่ใต้ถุนบ้านครอบครัวชาวไทลื้อที่น่ารัก ผมอิ่มทั้งน้ำชา อิ่มรอยยิ้ม และอิ่มไมตรี เดินอิ่มอกอิ่มใจกลับออกไปพร้อมๆกับความประทับใจที่ยากจะลืมเลือน ซึ่งทุกๆครั้งที่มีคนพูดเรื่องราวของชาวไทลื้อแห่งสิบสองปันนา ภาพรอยยิ้ม บ้านเรือน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวไทลื้อที่คล้ายกับบรรยากาศทางภาคเหนือของไทยในอดีตที่ผมได้ไปประสบพบเจอในสิบสองปันนา ก็มักจะผุดขึ้นมาในหัวของผมเสมอ...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ตั้งอยู่ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทลื้อ มีเมือง"เชียงรุ้ง"เป็นเมืองหลวง ซึ่งจากเมืองไทยมีสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส บินตรงจากกรุงเทพฯสู่เชียงรุ้ง
สำหรัยผู้ที่ต้องการนั่งรถจากเมืองไทยไปสิบสองปันนา(เมืองเชียงรุ้ง) จากเมืองไทยไปข้ามแม่น้ำโขง ที่ อ.เชียงของ สู่ เมืองห้วยทราย สปป.ลาว จากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงน้ำทา(พักค้างคืน) เพื่อข้ามชายแดนลาวที่บ่อเต็นเข้าสู่บ่อหานเมืองสิบสองปันนา จากนั้นเดินทางสู่เมืองเชียงรุ้ง เมืองหลวงของสิบสองปันนา
ในสปป.ลาว ไม่ต้องทำวีซ่า ส่วนเข้าเมืองจีนต้องทำวีซ่า
“การไปเยือนสิบสองปันนา เป็นเหมือนกับการเดินทางไปเยี่ยมญาติที่มีรากเดียวกันแต่ว่าต้องพลัดพรากจากกันไปเป็นเวลานาน”
เพื่อนผมคนหนึ่งมันชอบพูดประโยคนี้เสมอเมื่อพูดถึงชาวไทลื้อในเขตปกครองตนเอง “สิบสองปันนา” มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าไอ้เจ้าเพื่อนคนนี้มันคิดคำพูดขึ้นมาเอง หรือว่ามันแอบไปจำสำนวนใครมา แต่ว่าผมเห็นด้วยกับคำพูดของมันเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเท่าที่ผมได้พูดคุยทักทายกับ 2 คุณป้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ "วัดสวนมอน" ในหมู่บ้านวัฒนธรรม เมืองกาหลั่นป้า
ผมรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับญาติผู้ใหญ่ใจดีที่เอ็นดูลูกหลาน แม้ว่าเราจะอยู่ต่างบ้านต่างเมืองและคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม
แต่ว่าบรรยากาศอันเปี่ยมไปด้วยน้ำมิตรมันก็เป็นแค่เพียงชั่วขณะ เพราะเมื่อผมออกจากวัดสวนมอน บรรยากาศข้างนอกกลับเต็มไปด้วยรังสีของของธุรกิจท่องเที่ยวแห่งยุคทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็น คนที่มาเชิญชวนให้ไปถ่ายรูปคู่กับ "นกยูง" อันเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของสิบสองปันนา เหล่าสาวๆในชุดไทลื้อเต็มยศที่ผมมารู้ทีหลังว่าส่วนใหญ่พวกหล่อนจริงเป็นสาวชาว"ฮั่น"โดยเกือบทั้งหมดล้วนทำหน้าตาปั้นปึ่ง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าหากยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปพวกหล่อนแล้วจะถูกเรียกเก็บตังค์หรือเปล่า บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เดินเร่ขายของหรือที่ตะโกนเรียกอยู่ในร้านริมทาง
เมื่อเจอกับบรรยากาศอันเปี่ยมไปด้วยรังสีของธุรกิจท่องเที่ยวเช่นนี้ เวลาที่ผมเดินผ่านจึงสวมบท “นายใบ้” และเดินจ้ำอ้าวเพื่อให้พ้นไปโดยเร็ว แต่ว่าจนแล้วจนรอดผมก็เกิดอาการตบะแตกต้องหันไปมองจนได้ เพราะเมื่อเดินไปยังโซนขายเสื้อผ้า จู่ๆก็มีเสียงเพลงไทยเคยร่วมสมัยดังไล่หลังมา
“เกิดมาไม่เคยเจอใครเหมือนเธอ หลับฝันละเมอภาพเธอคอยหลอนทุกคืน
หลับลงคราใด อยากนอนไม่ยอมตื่น ก็ทุกค่ำคืนเจอเธอที่ปลายฟ้าไกล...”
โอว...พวกเล่นเพลง“ซมซาน”ของ“วงโลโซ”ซะด้วย
ผมรีบหันไปตามต้นเสียงด้วยความอยากรู้ว่ามีคนไทยที่ไหนอารมณ์ดีมาส่งเสียงร้องเพลงจีบสาวท่ามกลางอากาศที่ร้อนระยับเช่นนี้
แต่ว่าผิดคาดเพราะต้นเสียงเพลงนั้นเป็นหนุ่มไทลื้อคนหนึ่งกำลังนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงของโลโซอยู่
หมอนี่เมื่อเจอหน้าผมก็ไม่ได้ร้องเพลงเฉยๆ แต่ว่าได้ส่งยิ้มมาทักทายด้วยใบหน้าที่ดูละม้ายดาราประกอบหนังฮ่องกง
แรกที่เจอหนุ่มไทลื้อคนนี้ยิ้มให้ ผมก็ออกอาการงุนงงเล็กน้อยถึงปานกลางว่าหมอนี่ยิ้มให้ผมทำไม เอ...หรือว่าเขาเป็นผู้ชายไม้ป่าเดียวกัน??? เอ...หรือเขาเห็นผมหน้าตาหล่อเหมือนเสก โลโซ ???
แต่ว่างานนี้ไม่ต้องคิดนาน เพราะพอหนุ่มไทลื้อคนนี้หุบยิ้มและหยุดร้องเพลง เขาได้ส่งสำเนียงไทยในสไตล์ไทลื้อมาทายทักผมว่า
“คนไทย ซื้อเสื้อ 100 หยวน(500 บาท)”
หนุ่มไทลื้อมือกีตาร์ก็ชี้ให้ผมดูเสื้อที่แขวนโชว์อยู่ในร้าน ซึ่งก็มีทั้ง เสื้อรูปช้างเขียนว่าไทยแลนด์และเชียงใหม่ เสื้อรูปวัดอรุณเขียนว่าแบงก์คอก เสื้อรูปโลโก้ทีวีของไทย และเสื้อที่เกี่ยวกับเมืองไทยอีกหลายอย่าง
โอ้...แม่เจ้าโว้ย เสื้อผ้าพวกนี้มันมาจากเมืองไทยทั้งนั้นแถมราคายังถูกกว่าเยอะเลย แล้วหมอนี่ยังมาเรียกให้ตูซื้ออีก
หนุ่มไทลื้อถามซ้ำอีกครั้งในประโยคเดิม แต่ลดราคาลงมาเป็น 90 หยวน
ผมส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมๆกับตอบเขาไปในอารมณ์เพลงโลโซว่า “โน...โน...โอ้ว...เย...”
หนุ่มไทลื้อเมื่อเห็นว่าคงขายเสื้อไม่ได้ เขาจึงหยิบกีตาร์มาครวญเพลงของโลโซต่อ ส่วนผมก็เดินโต๋เต๋เข้าไปในเขตหมู่บ้านเพื่อเยี่ยมชมบ้านและวิถีชีวิตของชาวไทลื้อ ซึ่งมีบรรยากาศคล้ายหมู่บ้านทางภาคเหนือสมัยก่อน บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวที่ปลูกเรียงติดกัน หลังคาคลุมต่ำมุงมด้วยกระเบื้องดินเผา(ดินขอ) ส่วนใต้ถุนบ้านนั้นก็เป็นพื้นที่อเนกประสงค์เอาไว้ นอนเอกเขนก ทอผ้า นั่งพูดคุย รับประทานอาหาร ในขณะที่ก็มีชานบ้าน(เติ๋น)เอาไว้นั่งเล่น รับแขก หลายๆบ้านแต่งยอดจั่วด้วยรูปสลักนกยูง สัญลักษณ์แห่งสิบสองปันนา
บ้านในหมู่บ้านนี้ดูร่มรื่นและมีหลายหลังที่มีป้ายเชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมบ้านได้ แต่ว่าบางบ้านก็ต้องระวังเหล่าเจ้าหมาให้ดี เพราะบ้านบางหลังเพียงผมเดินเฉียดไป พวกบรรดาเจ้าหมาทั้งหลายเห่าต้อนรับกันขรม โดยเฉพาะบ้านหลังหนึ่งที่ตัวบ้านสวยงามมาก แต่ว่าวันนั้นเจ้าของไม่อยู่พอผมเดินเข้าเขตบ้านเท่านั้นแหละ เจ้าตูบ เจ้าด่าง เจ้าเห่า เจ้าโฮ่ง เจ้าดุ ยกขบวนมาต้อนรับกันทั้งแก๊งทีเดียว
งานนี้ถ้าไม่ได้วิชาไป-มา ทิ้งร่องรอยของหลวงพ่อ “โกย”รับรองว่าต้องสังเวยคมเขี้ยวแน่ๆ แต่จะว่าไปถ้าไอ้หมาพวกนี้มันไม่มาไล่ ผมก็คงไม่ได้เจอกับครอบครัวไทลื้อผู้น่ารักในบ้านหลังนั้นแน่นอน
เพราะเมื่อผมวิ่งหนีหมาหัวซุกหัวซุนมาทางบ้านหลังนี้ คุณป้าชาวไทลื้อที่กำลังปอกมะพร้าวอ่อนขายอยู่ ได้ออกมาไล่หมาแล้วชวนผมไปนั่งพักผ่อนใต้ถุนบ้าน แล้วตะโกนเรียกลูกสาวที่อยู่บนบ้านให้ลงมาเสิร์ฟน้ำชารับแขก
สักประมาณหนึ่งอึดใจเห็นจะได้สาวเจ้าในชุดไทลื้อหน้าตาน่ารักสดใสเดินถือแก้วน้ำมาเสิร์ฟอย่างนุ่มนวลพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วโลกแทบหยุดหมุน !?!
“อี่ตัวดี” คือคำนิยามที่ผมให้กับสาวเจ้าผู้นี้ ซึ่งชาวไทลื้อเรียกผู้หญิงว่า “อี่” เรียกผู้ชายว่า “ไอ่” ส่วนคำว่าอี่ตัวดีนั้นก็เปรียบได้กับ “สาวคนงาม”
ผู้หญิงไทยคนไหนที่หากไปเยือนสิบสองปันนาแล้วมีเด็กๆมาบอกว่าอี่ตัวดี ก็ขออย่าได้ตกใจ เพราะว่าเด็กคนนั้นชมว่าพี่เป็นคนสวย คนงาม ส่วนหากเด็กๆถามต่อว่า “เจ้าเอาโผแล้วบ่” ก็อย่าได้ตกใจอีกเช่นกัน เพราะนี่คือคำที่ถามว่า “พี่แต่งงานหรือยัง”
สำหรับอี่ตัวดีคนนี้แม้ว่าเธอจะนั่งอยู่ข้างๆ แต่ว่าผมก็ทำได้แค่ส่งยิ้ม(หวาน)ให้เธอเท่านั้น เพราะว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่อง เนื่องจากอี่ตัวดีเธอใช้ภาษาจีนเป็นหลัก ภาษาไทลื้อและภาษาอังกฤษพอพูดบ้างเล็กน้อย ซึ่งก็เหมือนกับหนุ่ม-สาวไทลื้อรุ่นใหม่ทั่วไปในปัจจุบันที่ส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทลื้อกันไม่ได้แล้ว
แต่ว่าทางคุณแม่ เอ๊ย!!! คุณป้าที่นอกจากจะไล่หมาให้ก็สุดแสนจะใจดี หันมาบอกกับผมว่าลูกสาวของป้านั้นชื่อ “กงเซียนะ” ก่อนที่จะพักการปอกมะพร้าวและหันมาพุดคุยกับผมด้วยภาษาไทลื้อที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง บางทีคุณป้าก็ทำหน้าที่เป็นล่ามให้ลูกสาวพูดคุยกับผม และจากการพูดคุยกับคุณป้าทำให้ผมได้รู้ว่าบ้านหลังนี้มีนักท่องเที่ยวไทยมาแวะเวียนค่อนข้างบ่อย ทำให้คุณป้าคุ้นเคยกับคนไทยเป็นอย่างดี
ครั้นพอถึงเวลาที่ต้องอำลาจากกัน อี่ตัวดีเสิร์ฟน้ำชาให้ดื่มอีกแก้วพร้อมกับยกมือไหว้ลา พร้อมกับพูดว่า “สวัสดีค่ะ”
งานนี้ที่ใต้ถุนบ้านครอบครัวชาวไทลื้อที่น่ารัก ผมอิ่มทั้งน้ำชา อิ่มรอยยิ้ม และอิ่มไมตรี เดินอิ่มอกอิ่มใจกลับออกไปพร้อมๆกับความประทับใจที่ยากจะลืมเลือน ซึ่งทุกๆครั้งที่มีคนพูดเรื่องราวของชาวไทลื้อแห่งสิบสองปันนา ภาพรอยยิ้ม บ้านเรือน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวไทลื้อที่คล้ายกับบรรยากาศทางภาคเหนือของไทยในอดีตที่ผมได้ไปประสบพบเจอในสิบสองปันนา ก็มักจะผุดขึ้นมาในหัวของผมเสมอ...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ตั้งอยู่ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทลื้อ มีเมือง"เชียงรุ้ง"เป็นเมืองหลวง ซึ่งจากเมืองไทยมีสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส บินตรงจากกรุงเทพฯสู่เชียงรุ้ง
สำหรัยผู้ที่ต้องการนั่งรถจากเมืองไทยไปสิบสองปันนา(เมืองเชียงรุ้ง) จากเมืองไทยไปข้ามแม่น้ำโขง ที่ อ.เชียงของ สู่ เมืองห้วยทราย สปป.ลาว จากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงน้ำทา(พักค้างคืน) เพื่อข้ามชายแดนลาวที่บ่อเต็นเข้าสู่บ่อหานเมืองสิบสองปันนา จากนั้นเดินทางสู่เมืองเชียงรุ้ง เมืองหลวงของสิบสองปันนา
ในสปป.ลาว ไม่ต้องทำวีซ่า ส่วนเข้าเมืองจีนต้องทำวีซ่า