โดย : เพ็ญนภา กรัดทาน

จากกรุงเทพฯใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง เจ้านกเหล็กของการบินไทยก็พาฉันเหินทะยานลัดฟ้ามายัง “เมืองคุนหมิง” เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนบนระดับความสูง 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล และเป็นที่ตั้งของทะเลสาบใหญ่เตียนฉือ ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของจีน ทำให้อากาศมีความอบอุ่นตลอดปี หน้าหนาวไม่หนาวจัด และหน้าร้อนไม่ร้อนจัด จนได้รับฉายาว่า "นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ"
ช่วงที่ฉันเดินทางมานี้เป็นฤดูร้อน ซึ่งที่ “คุนหมิง” มีลักษณะอากาศที่เฉพาะแตกต่างจากเมืองอื่น คือมักมีฝนตกชุก และเมื่อมีฝนตกอุณหภูมิก็จะลดลง ทำให้อากาศเปลี่ยนเป็นหนาวได้ พวกเราจึงต้องถือเสื้อแจ็กเก็ตติดมือกันไว้ตลอดเวลา เผื่ออากาศเปลี่ยน
คุนหมิงมีประชากรราว 4 ล้านคน โดยประชากรราว 1 ล้านคน อาศัยอยู่ในเขตตัวเมือง ประชากรส่วนใหญ่ในคุนหมิงเป็นชาวฮั่น และมีภาษาท้องถิ่น คือภาษาคุนหมิง (Kunming Dialect) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มภาษาแมนดารินใต้ (Southern Mandarin) แต่ภาษาจีนกลาง หรือภาษาแมนดาริน (Chinese Mandarin) ก็เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารและเข้าใจกันได้ทั่วไป
ก่อนเดินทาง ฉันไม่เคยมีภาพคุนหมิงอยู่ในหัวเลย จึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เจออะไรบ้าง ภาพแรกของฉันที่เห็นเมืองคุนหมิง หลังรถมินิบัสที่มารับพวกเราผ่านออกมาจากสนามบินนานาชาติคุนหมิง ผ่านวงเวียนเล็กๆ ที่มีรูปปั้นช้างอยู่สี่มุม คือถนนสายไม่เล็กไม่ใหญ่สามเลน สองเลนเป็นของรถยนต์ฝั่งละเลน และอีกหนึ่งเลนเป็นของรถจักรยานและมอเตอร์ไซต์ (เท่าที่เห็นเป็นสกู๊ตเตอร์เสียมากกว่า) ตามแยกต่างๆ นอกเมืองหาไฟเขียวไฟแดงยากเต็มที คนขับรถทุกคนจึงต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง...

ยาวไปตามริมถนน มีสวนหย่อมเล็กๆ ปลูกไม่ประดับทั้งสีเขียวเข้มและอ่อนสลับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ลึกเช้าไปเป็นบ้านเรือนผู้คนที่มักเป็นอาคารที่พักมากกว่าบ้านเป็นหลังๆ สองข้างถนนเต็มไปด้วยร้านค้าเสื้อผ้าที่มีให้ชอปปิ้งกันไม่จบไม่สิ้น สถานบันเทิงยามค่ำคืนที่ปิดตัวเงียบในเวลากลางวัน กำลังเป็นที่นิยมของหนุ่มสาวชาวคุนหมิง
“คุนหมิง” มีความเป็นจีนยุคใหม่ เนื่องจากความเจริญที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการลงทุนจากนักธุรกิจต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากอาเซียน อาคารตกแต่งทันสมัย มีโรงแรมขนาดใหญ่ สถานบันเทิง และสินค้าแบรนด์ดังๆ ก็มาเปิดร้านที่นี่เป็นจำนวนมาก
...หลังเก็บของเข้าห้องพัก และทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย พวกเราก็พร้อมออกเดินทางไปในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกของการเดินทางในครั้งนี้

ไกด์ของเราเป็นหนุ่มหล่อชาวสับสองปันนา ที่มีชื่อไทยว่า “วิทย์” ผู้ซึ่งเรียนภาษาไทยจากมหาวิทยาลัยในยูนนานอยู่กว่า 2 ปี และเคยไปเรียนที่เชียงใหม่อีก 3 เดือน คำพูดของเขาชัดถ้อยชัดคำจนเราคิดว่าเขาเป็นคนไทยในทีแรก แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจภาษาไทยอีกหลายประโยค ทำให้วิทย์โดนพวกเราแกล้งสอนสิ่งที่ไม่สมควรพูดไปหลายคำ แต่เขาก็ยังทำหน้าที่อย่างดี ดูแลพวกเราไม่มีขาดตกบกพร่อง
สถานที่แรกที่ไกด์วิทย์พาพวกเราไปคือ “ภูเขาซีซาน” ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางออกจากตัวเมืองไป 29 กิโลเมตร และในระหว่างทางขับรถขึ้นเขาอันคดเคี้ยวและสูงนั้น ตามริมทางเราจะได้เห็นชาวจีนทั้งหนุ่มสาวและคนแก่เฒ่า เดินขึ้นเขากันเหมือนระยะทางนั้นใกล้นัก ไม่รู้ว่าเมื่อเรานั่งรถไปถึงบนเขาซีซานแล้ว พวกเขาจะเดินถึงไหนกัน...

ไกด์วิทย์พาพวกเราขึ้นมายังจุดรับนักท่องเที่ยวที่ต้องซื้อตั๋วเพื่อขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปยังประตูทางเข้ายอดเขาซีซาน แค่เห็นกระเช้าเหล็กที่ห้อยต่องแต่งก็ทำเอาฉันใจสั่นแล้ว แต่ยังไงก็คงต้องขึ้นไปอยู่ดี สองมือฉันจับเหล็กกั้นที่ไม่มีแม้ตัวล็อกไว้แน่น จนเพื่อนที่นั่งมาด้วยต้องคอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อกระเช้าเคลื่อนตัวออกสู่อากาศ
แม้จะกลัว แต่ก็อยากเห็นทิวทัศน์รอบๆ ฉันจึงลืมตาบ้างเป็นระยะๆ มองจากกระเช้าลงไปด้านล่างจะเห็นบรรยากาศเมืองคุนหมิงและทะเลสาบเตียนฉืออันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งนอกจากจะเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 6 ของจีนแล้ว พระราชวังอี้เหอหยวนในกรุงปักกิ่ง ยังได้ลอกแบบทะเลสาบแห่งนี้ไปสร้างในพระราชวังฤดูร้อน และตั้งชื่อว่าทะเลสาบคุนหมิงอีกด้วย
เวลาผ่านไปพอสมควร กระเช้าก็พาพวกเรามาถึงจุดลง ซึ่งจะมีทางเดินต่อไปเป็นขั้นบันไดเลียบขึ้นลงตามสันเขาไปเรื่อยๆ มีศาลาชมวิวให้หยุดพัก และป้ายบอกทางที่มีทั้งภาษาจีน, อังกฤษ และไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวไทยมาเที่ยวที่นี่กันมาก
จากอากาศแจ่มใส มาในตอนนี้สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา แต่ว่าพวกเราก็ยังคงเดินกันต่อไป ขึ้นลงบันได ลอดผ่านอุโมงค์ จนกระทั่งมาถึงประตูมังกร ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าปลาตัวหนึ่งเมื่อว่ายน้ำผ่านประตูแห่งนี้ก็กลายร่างเป็นมังกร จึงเชื่อกันว่าหากผู้ใดได้ลูบสะดือมังกรตรงประตูก็จะมีโชคลาภและมั่งคั่งร่ำรวย

เดินต่อจากประตูมังกรไปอีกสักพักใหญ่ ก็เจอบ่อวัวศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ซ่อนอยู่ใต้ซอกหิน โดยมีรูปปั้นวัวแม่ลูกหมอบอยู่ริมบ่อ มีเรื่องเล่าว่า บนเขาซีซานแห่งนี้ไม่มีแหล่งน้ำ พระในวัดจึงต้องเดินทางไปตักน้ำที่อื่นซึ่งไกลมาก วันหนึ่งพระท่านไม่สบาย วัวสองแม่ลูกซึ่งพระท่านชุบเลี้ยงไว้จึงเดินทางไปตักน้ำมาให้ แต่ระหว่างทางด้วยความที่หนทางลำบากยากเข็ญมาก ระหว่างทางกลับขึ้นเขาวัวสองแม่ลูกก็ได้สิ้นชีวิตลง แต่ด้วยความกตัญญูที่มีต่อพระท่าน จึงบังเกิดเป็นบ่อน้ำขึ้นตรงที่ที่ทั้งสองตายนั่นเอง
และไม่ไกลจากบ่อวัวศักดิ์สิทธิ์ จะมีรูปปั้นเต่ากับงู ซึ่งงูนั้นพันรอบตัวเต่าอยู่ ว่ากันว่าถ้าผู้หญิงได้ลูบก็จะมีอายุยืนยาว ส่วนผู้ชายนั้นก็ว่ากันไปตามจิตคิดลึกของแต่ละคน

นอกจากรูปปั้นและประตูมังกรแล้ว บนเขาซีซานยังมีศาลเจ้าแม่กวนอิมที่เอาไว้ไหว้บนบานขอลูกชาย และรูปปั้นกวนอูถือเงินจีนสีทอง ที่ต้องปีนขึ้นไปเอามือลูบคลำและกำใส่กระเป๋า เชื่อว่าจะร่ำรวย ใครกำใส่กระเป๋าใหญ่ก็ยิ่งได้เงินเยอะ แม้จะต้องลำบากกับการปีนป่าย ท่ามกลางฝนตกพรำๆ แต่พวกเราก็ไม่ท้อ เมื่อเห็นเงินทองกองอยู่ตรงหน้า
เรื่องเล่าความเชื่อเหล่านี้ ก็ไม่ต่างจากคนไทยมากนัก เป็นความเชื่อเพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจและสร้างความหวังของผู้คนบนโลก ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนก็มีเหมือนกันทั้งนั้น
สายฝนเริ่มบางลงแล้ว แดดเริ่มส่องแสงลอดลงมาตามช่องว่างระหว่างต้นไม้น้อยใหญ่บนเขา ขณะที่พวกเรานั่งรถมินิบัสคันเดิมลงจากเขา ถือเป็นการปิดทริปท่องคุนหมิงในวันแรก ส่วนในวันที่สองนั้นฉันมีโปรแกรมไปเที่ยว “ป่าหิน” ที่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของคุนหมิงที่ใครไปเที่ยวเมืองนี้แล้วไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง...(ติดตามอ่านเรื่องเที่ยวป่าหินได้ในตอนหน้า)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สำหรับผู้ที่สนใจไปเที่ยวคุนหมิงสามารถติดต่อได้ตามบริษัททัวร์ทั่วไป ส่วนใครที่จะเดินทางไปเที่ยวกันเอง จากเมืองไทยมีเครื่องบินบินตรงจากกรุงเทพฯสู่คุนหมิง ซึ่งนอกจากภูเขาซีซานแล้วคุนหมิงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ ตำหนักทอง วัดหยวนทง วัดทันหัว และป่าหินอันโด่งดัง
นอกจากนี้คุนหมิงยังสามารถนั่งรถหรือขับรถจากเมืองไทยไปได้ โดยจากเชียงรายไป อ.เชียงของ ข้ามแดนไปประเทศลาว(ห้วยทราย) จากนั้นไปเมืองหลวงน้ำทา(พักค้างคืน) เพื่อข้ามชายแดนลาวที่บ่อเต็นเข้าสู่บ่อหานเมืองสิบสองปันนา จากนั้นเดินทางสู่เมืองเชียงรุ้ง(พักค้างคืน) แล้ววันรุ่งขึ้นเดินทางจากเชียงรุ้งสู่คุนหมิงระยะทาง 676 กม.(ประมาณ 15 ชม.)
จากเมืองไทยเข้าลาวถือเพียงพาสสปอร์ต ส่วนจากลาวเข้าจีนต้องทำวีซ่า
ค่าเงินจีน 1 หยวนประมาณ 5 บาทไทย
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
รู้จักเมืองคุนหมิง
จากกรุงเทพฯใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง เจ้านกเหล็กของการบินไทยก็พาฉันเหินทะยานลัดฟ้ามายัง “เมืองคุนหมิง” เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนบนระดับความสูง 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล และเป็นที่ตั้งของทะเลสาบใหญ่เตียนฉือ ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของจีน ทำให้อากาศมีความอบอุ่นตลอดปี หน้าหนาวไม่หนาวจัด และหน้าร้อนไม่ร้อนจัด จนได้รับฉายาว่า "นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ"
ช่วงที่ฉันเดินทางมานี้เป็นฤดูร้อน ซึ่งที่ “คุนหมิง” มีลักษณะอากาศที่เฉพาะแตกต่างจากเมืองอื่น คือมักมีฝนตกชุก และเมื่อมีฝนตกอุณหภูมิก็จะลดลง ทำให้อากาศเปลี่ยนเป็นหนาวได้ พวกเราจึงต้องถือเสื้อแจ็กเก็ตติดมือกันไว้ตลอดเวลา เผื่ออากาศเปลี่ยน
คุนหมิงมีประชากรราว 4 ล้านคน โดยประชากรราว 1 ล้านคน อาศัยอยู่ในเขตตัวเมือง ประชากรส่วนใหญ่ในคุนหมิงเป็นชาวฮั่น และมีภาษาท้องถิ่น คือภาษาคุนหมิง (Kunming Dialect) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มภาษาแมนดารินใต้ (Southern Mandarin) แต่ภาษาจีนกลาง หรือภาษาแมนดาริน (Chinese Mandarin) ก็เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารและเข้าใจกันได้ทั่วไป
ก่อนเดินทาง ฉันไม่เคยมีภาพคุนหมิงอยู่ในหัวเลย จึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เจออะไรบ้าง ภาพแรกของฉันที่เห็นเมืองคุนหมิง หลังรถมินิบัสที่มารับพวกเราผ่านออกมาจากสนามบินนานาชาติคุนหมิง ผ่านวงเวียนเล็กๆ ที่มีรูปปั้นช้างอยู่สี่มุม คือถนนสายไม่เล็กไม่ใหญ่สามเลน สองเลนเป็นของรถยนต์ฝั่งละเลน และอีกหนึ่งเลนเป็นของรถจักรยานและมอเตอร์ไซต์ (เท่าที่เห็นเป็นสกู๊ตเตอร์เสียมากกว่า) ตามแยกต่างๆ นอกเมืองหาไฟเขียวไฟแดงยากเต็มที คนขับรถทุกคนจึงต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง...
ยาวไปตามริมถนน มีสวนหย่อมเล็กๆ ปลูกไม่ประดับทั้งสีเขียวเข้มและอ่อนสลับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ลึกเช้าไปเป็นบ้านเรือนผู้คนที่มักเป็นอาคารที่พักมากกว่าบ้านเป็นหลังๆ สองข้างถนนเต็มไปด้วยร้านค้าเสื้อผ้าที่มีให้ชอปปิ้งกันไม่จบไม่สิ้น สถานบันเทิงยามค่ำคืนที่ปิดตัวเงียบในเวลากลางวัน กำลังเป็นที่นิยมของหนุ่มสาวชาวคุนหมิง
“คุนหมิง” มีความเป็นจีนยุคใหม่ เนื่องจากความเจริญที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการลงทุนจากนักธุรกิจต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากอาเซียน อาคารตกแต่งทันสมัย มีโรงแรมขนาดใหญ่ สถานบันเทิง และสินค้าแบรนด์ดังๆ ก็มาเปิดร้านที่นี่เป็นจำนวนมาก
...หลังเก็บของเข้าห้องพัก และทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย พวกเราก็พร้อมออกเดินทางไปในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกของการเดินทางในครั้งนี้
ไกด์ของเราเป็นหนุ่มหล่อชาวสับสองปันนา ที่มีชื่อไทยว่า “วิทย์” ผู้ซึ่งเรียนภาษาไทยจากมหาวิทยาลัยในยูนนานอยู่กว่า 2 ปี และเคยไปเรียนที่เชียงใหม่อีก 3 เดือน คำพูดของเขาชัดถ้อยชัดคำจนเราคิดว่าเขาเป็นคนไทยในทีแรก แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจภาษาไทยอีกหลายประโยค ทำให้วิทย์โดนพวกเราแกล้งสอนสิ่งที่ไม่สมควรพูดไปหลายคำ แต่เขาก็ยังทำหน้าที่อย่างดี ดูแลพวกเราไม่มีขาดตกบกพร่อง
สถานที่แรกที่ไกด์วิทย์พาพวกเราไปคือ “ภูเขาซีซาน” ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางออกจากตัวเมืองไป 29 กิโลเมตร และในระหว่างทางขับรถขึ้นเขาอันคดเคี้ยวและสูงนั้น ตามริมทางเราจะได้เห็นชาวจีนทั้งหนุ่มสาวและคนแก่เฒ่า เดินขึ้นเขากันเหมือนระยะทางนั้นใกล้นัก ไม่รู้ว่าเมื่อเรานั่งรถไปถึงบนเขาซีซานแล้ว พวกเขาจะเดินถึงไหนกัน...
ไกด์วิทย์พาพวกเราขึ้นมายังจุดรับนักท่องเที่ยวที่ต้องซื้อตั๋วเพื่อขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปยังประตูทางเข้ายอดเขาซีซาน แค่เห็นกระเช้าเหล็กที่ห้อยต่องแต่งก็ทำเอาฉันใจสั่นแล้ว แต่ยังไงก็คงต้องขึ้นไปอยู่ดี สองมือฉันจับเหล็กกั้นที่ไม่มีแม้ตัวล็อกไว้แน่น จนเพื่อนที่นั่งมาด้วยต้องคอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อกระเช้าเคลื่อนตัวออกสู่อากาศ
แม้จะกลัว แต่ก็อยากเห็นทิวทัศน์รอบๆ ฉันจึงลืมตาบ้างเป็นระยะๆ มองจากกระเช้าลงไปด้านล่างจะเห็นบรรยากาศเมืองคุนหมิงและทะเลสาบเตียนฉืออันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งนอกจากจะเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 6 ของจีนแล้ว พระราชวังอี้เหอหยวนในกรุงปักกิ่ง ยังได้ลอกแบบทะเลสาบแห่งนี้ไปสร้างในพระราชวังฤดูร้อน และตั้งชื่อว่าทะเลสาบคุนหมิงอีกด้วย
เวลาผ่านไปพอสมควร กระเช้าก็พาพวกเรามาถึงจุดลง ซึ่งจะมีทางเดินต่อไปเป็นขั้นบันไดเลียบขึ้นลงตามสันเขาไปเรื่อยๆ มีศาลาชมวิวให้หยุดพัก และป้ายบอกทางที่มีทั้งภาษาจีน, อังกฤษ และไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวไทยมาเที่ยวที่นี่กันมาก
จากอากาศแจ่มใส มาในตอนนี้สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา แต่ว่าพวกเราก็ยังคงเดินกันต่อไป ขึ้นลงบันได ลอดผ่านอุโมงค์ จนกระทั่งมาถึงประตูมังกร ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าปลาตัวหนึ่งเมื่อว่ายน้ำผ่านประตูแห่งนี้ก็กลายร่างเป็นมังกร จึงเชื่อกันว่าหากผู้ใดได้ลูบสะดือมังกรตรงประตูก็จะมีโชคลาภและมั่งคั่งร่ำรวย
เดินต่อจากประตูมังกรไปอีกสักพักใหญ่ ก็เจอบ่อวัวศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ซ่อนอยู่ใต้ซอกหิน โดยมีรูปปั้นวัวแม่ลูกหมอบอยู่ริมบ่อ มีเรื่องเล่าว่า บนเขาซีซานแห่งนี้ไม่มีแหล่งน้ำ พระในวัดจึงต้องเดินทางไปตักน้ำที่อื่นซึ่งไกลมาก วันหนึ่งพระท่านไม่สบาย วัวสองแม่ลูกซึ่งพระท่านชุบเลี้ยงไว้จึงเดินทางไปตักน้ำมาให้ แต่ระหว่างทางด้วยความที่หนทางลำบากยากเข็ญมาก ระหว่างทางกลับขึ้นเขาวัวสองแม่ลูกก็ได้สิ้นชีวิตลง แต่ด้วยความกตัญญูที่มีต่อพระท่าน จึงบังเกิดเป็นบ่อน้ำขึ้นตรงที่ที่ทั้งสองตายนั่นเอง
และไม่ไกลจากบ่อวัวศักดิ์สิทธิ์ จะมีรูปปั้นเต่ากับงู ซึ่งงูนั้นพันรอบตัวเต่าอยู่ ว่ากันว่าถ้าผู้หญิงได้ลูบก็จะมีอายุยืนยาว ส่วนผู้ชายนั้นก็ว่ากันไปตามจิตคิดลึกของแต่ละคน
นอกจากรูปปั้นและประตูมังกรแล้ว บนเขาซีซานยังมีศาลเจ้าแม่กวนอิมที่เอาไว้ไหว้บนบานขอลูกชาย และรูปปั้นกวนอูถือเงินจีนสีทอง ที่ต้องปีนขึ้นไปเอามือลูบคลำและกำใส่กระเป๋า เชื่อว่าจะร่ำรวย ใครกำใส่กระเป๋าใหญ่ก็ยิ่งได้เงินเยอะ แม้จะต้องลำบากกับการปีนป่าย ท่ามกลางฝนตกพรำๆ แต่พวกเราก็ไม่ท้อ เมื่อเห็นเงินทองกองอยู่ตรงหน้า
เรื่องเล่าความเชื่อเหล่านี้ ก็ไม่ต่างจากคนไทยมากนัก เป็นความเชื่อเพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจและสร้างความหวังของผู้คนบนโลก ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนก็มีเหมือนกันทั้งนั้น
สายฝนเริ่มบางลงแล้ว แดดเริ่มส่องแสงลอดลงมาตามช่องว่างระหว่างต้นไม้น้อยใหญ่บนเขา ขณะที่พวกเรานั่งรถมินิบัสคันเดิมลงจากเขา ถือเป็นการปิดทริปท่องคุนหมิงในวันแรก ส่วนในวันที่สองนั้นฉันมีโปรแกรมไปเที่ยว “ป่าหิน” ที่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของคุนหมิงที่ใครไปเที่ยวเมืองนี้แล้วไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง...(ติดตามอ่านเรื่องเที่ยวป่าหินได้ในตอนหน้า)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สำหรับผู้ที่สนใจไปเที่ยวคุนหมิงสามารถติดต่อได้ตามบริษัททัวร์ทั่วไป ส่วนใครที่จะเดินทางไปเที่ยวกันเอง จากเมืองไทยมีเครื่องบินบินตรงจากกรุงเทพฯสู่คุนหมิง ซึ่งนอกจากภูเขาซีซานแล้วคุนหมิงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ ตำหนักทอง วัดหยวนทง วัดทันหัว และป่าหินอันโด่งดัง
นอกจากนี้คุนหมิงยังสามารถนั่งรถหรือขับรถจากเมืองไทยไปได้ โดยจากเชียงรายไป อ.เชียงของ ข้ามแดนไปประเทศลาว(ห้วยทราย) จากนั้นไปเมืองหลวงน้ำทา(พักค้างคืน) เพื่อข้ามชายแดนลาวที่บ่อเต็นเข้าสู่บ่อหานเมืองสิบสองปันนา จากนั้นเดินทางสู่เมืองเชียงรุ้ง(พักค้างคืน) แล้ววันรุ่งขึ้นเดินทางจากเชียงรุ้งสู่คุนหมิงระยะทาง 676 กม.(ประมาณ 15 ชม.)
จากเมืองไทยเข้าลาวถือเพียงพาสสปอร์ต ส่วนจากลาวเข้าจีนต้องทำวีซ่า
ค่าเงินจีน 1 หยวนประมาณ 5 บาทไทย
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
รู้จักเมืองคุนหมิง