xs
xsm
sm
md
lg

งาน “แห่เทียนพรรษา” บนศรัทธาที่แตกต่าง / ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี

1...

เทียน 1 เล่ม ประกอบด้วยเนื้อเทียน ไส้เทียน และน้ำตาเทียนยามที่เทียนถูกจุด

แต่สำหรับ พระครูกิตติวรรโณบล เจ้าอาวาสวัดหนองบัว จ.อุบลราชธานี เทียนที่ท่านบอกกล่าวกับผมเมื่อ 3 ปีที่แล้วกลับผิดแผกแตกต่างออกไป เพราะเทียนที่ท่านพูดถึงนั้นเป็นเทียนเข้าพรรษาต้น (เล่ม) ใหญ่มหึมาที่เต็มไปด้วยเปลือกและกระพี้

ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น?!?

“งานแห่เทียนเข้าพรรษาเดี๋ยวนี้มันมีแต่กระพี้ มีแต่เปลือก หาแก่นแทบไม่ได้แล้ว คนสมัยก่อนเขาทำกันด้วยศรัทธาเพื่อเป็นพุทธบูชา แต่มาสมัยนี้ทางราชการกลับมาส่งเสริมให้ทำเทียนเพื่อประกวด ส่งเสริมให้ทำเทียนเล่มใหญ่โตเพื่อการท่องเที่ยว แต่ว่าใช้งานจริงไม่ได้”

พระครูกิตติฯ อดีตช่างแกะสลักเทียนฝีมือระดับอ๋อง บ่นให้ฟังในวันที่ผมเจอท่านกำลังขมักเขม้นคุมลูกวัดแกะสลักเทียนพรรษาอยู่ ก่อนที่ท่านจะเล่าถึงศรัทธาอันงดงามของชาวอีสานในอดีตให้ฟัง

“เมืองอุบลฯ สมัยก่อนถือเป็นดงผึ้งที่เต็มไปด้วยผึ้งป่า ผึ้งหลวง และขี้ผึ้งก็ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเทียนในยุคนั้น เมื่อขี้ผึ้งในอุบลฯ มีเยอะชาวบ้านจึงนำมาประดิดประดอยเป็นลวดลายต่างๆ ประดับต้นเทียนเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา คนอีสานสมัยก่อนเขาถือกันว่าเวลาทำอะไรถวายพระจะต้องทำกันอย่างประณีตสวยงาม”

จากที่พระครูกิตติฯ เล่าให้ฟังทำให้ผมพอจะเริ่มปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า ทำไมประเพณีแห่เทียนพรรษาที่อุบลฯ ถึงสวยงามและมีเอกลักษณ์โดดเด่นกว่าใครๆ แต่ว่าในสมัยก่อนก็เป็นเพียงงานบุญที่จัดขึ้นตามหมู่บ้านใครหมู่บ้านมัน จนมาในสมัยที่ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ มาเป็นผู้สำเร็จราชการที่อุบลฯ ก็ได้ริเริ่มให้จัดงานแห่เทียนพรรษาขึ้นแทนงานบุญบั้งไฟที่มีเรื่องต่อยตีกันทุกปี อีกทั้งยังริเริ่มให้มีการประกวดต้นเทียนเพื่อสนับสนุนให้ช่างทำเทียนที่มีฝีมือมีกำลังใจทำเทียนต่อไป

“สมัยนั้นงานแห่เทียนไม่ได้จัดใหญ่โตเหมือนปัจจุบัน แต่ว่าจะทำกันด้วยศรัทธาจริงๆ คือชาวบ้านจะช่วยกันบริจาคเทียนแล้วก็ช่วยกันทำ ส่วนใครที่ไม่มีฝีมือทางการทำเทียนก็จะเป็นพวกแรงงาน พวกทำอาหารเลี้ยง พอเสร็จแล้วก็จะแห่แหนไปถวายวัดด้วยความสนุกสนาน ถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจของชุมชนโดยแท้จริง”

“เพิ่งมาเมื่อ 10 กว่าปีนี้เองที่งานแห่เทียนเปลี่ยนแปลงไป เพราะภาครัฐเข้าไปจัดระเบียบงานเพื่อการท่องเที่ยว มีการทำต้นเทียนให้ใหญ่โตมโหฬาร มีการประกวดแข่งขันต้นเทียนชิงรางวัล แต่ว่ากลับละเลยจุดมุ่งหมายอันแท้จริงที่ทำเพื่อเป็นพุทธบูชาไป”

พูดถึงเรื่องที่ภาครัฐเข้าไปจัดระเบียบประเพณีอันดีงามของชาวบ้านเพื่อการท่องเที่ยวนี่ เท่าที่ผมเคยเห็นมาไม่ใช่มีแค่งานแห่เทียนพรรษาอุบลฯ เท่านั้น แต่ว่ามีอีกมากมายหลายงาน โดยส่วนใหญ่จะไปกะเกณฑ์ชาวบ้าน เด็กนักเรียนให้มาร่วมขบวนแห่ แล้วก็ให้เด็กๆ ไปยืนกลางแดดเปรี้ยงๆ เพื่อรอประธานกล่าวเปิดงาน รวมถึงกล่าวอวดอ้างผลงานตัวเองเสียยืดยาว ทำเอาเด็กๆ เป็นลมไปหลายคน ซึ่งใครที่เป็นแฟนสะเก็ดข่าวก็คงจะได้เห็นภาพเหล่านี้บ่อยๆ

แน่นอนว่าบรรดางานประเพณีราชการทั้งหลายได้ลดทอนจิตวิญญาณและความสนุกสนานของงานลงไปมาก ส่วนงานแห่เทียนพรรษาเมืองอุบลฯ นั้น ท่านพระครูกิตติได้ให้ทัศนะว่า

“การจัดงานเพื่อการท่องเที่ยวถือเป็นสิ่งดี เพราะเป็นการสร้างรายได้ให้ชุมชน แต่ก็อย่าละเลยศรัทธาอันดีงามของชาวบ้าน และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจัดทำต้นเทียนอย่างใหญ่โตทุกปี เพราะเทียนต้นใหญ่ใช้เงินหลายแสนบาท เมื่อทำมาแล้วก็ไม่ได้ใช้แถมยังหาที่เก็บลำบากอีก สู้นำเงินที่ทำเทียนเสียใหญ่โตไปทำนุบำรุงศาสนาจะดีกว่า ส่วนใครที่มาเที่ยวงานก็ควรให้เข้าได้ซึมซับถึงประเพณีอันดีงามของชาวพุทธกลับไปด้วย ไม่ใช่แค่มาเพื่อถ่ายรูปกับต้นเทียนยักษ์อย่างเดียว”

“คนสมัยก่อนเขาทำต้นเทียนเพื่อเอาบุญ แต่คนสมัยหนี้เขาทำต้นเทียนเพื่อเอาหน้าแต่เป็นหนี้”


แหม...พระครูท่านกล่าวได้โดนใจดีแท้

2...

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่งานแห่เทียนเข้าพรรษาโด่งดังไปไกลถึงเมืองนอกนั้น แน่นอนว่าหน่วยงานสำคัญที่มีส่วนในการสร้างชื่อให้งานแห่เทียนอุบลฯ ก็คงจะหนีไม่พ้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. หน่วนงานที่มีความสามารถเป็นเลิศในการหยิบเอาธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของคนไทยมาเป็นจุดขายเพื่อการท่องเที่ยว

โดยในงานแห่เทียนพรรษาเมืองอุบลฯ ปีที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ในชื่อ “โรจน์เรืองเมืองศิลป์” นั้นผมได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ใหญ่ใน ททท.ที่เป็นตัวจักรสำคัญในการจัดงาน ซึ่งเธอก็ได้บอกกับผมอย่างตรงไปตรงมาว่างานแห่เทียนของคนอุบลฯ นั้นเป็นงานที่ชาวอุบลฯ จัดกันอย่างสวยงามและยิ่งใหญ่มานานแล้ว ททท.เป็นเพียงผู้เลือกขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์การตลาดเพื่อชูเป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น โดยชาวพุทธควรแยกให้ออกว่าแก่นของงานนั้นอยู่ที่ศรัทธาในศาสนาพุทธ

เท่าที่เธออธิบายมาถือเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่มองงานศรัทธาควบคู่ไปกับการตลาดได้อย่างแยบยล แต่ว่าในหลายๆ ปีที่ผ่านมา ผมสังเกตว่าเวลาที่ ททท.พูดถึงงานแห่เทียนเข้าพรรษา สิ่งหนึ่งที่มักไม่เคยพลาดก็คือคำพูดที่ออกมาว่า “...งานแห่เทียนปีนี้คาดว่าจังหวัดอุบลฯ จะมีคนมาเที่ยวหลายแสนคน และมีเงินสะพัดหลายร้อยล้านบาท...”

อา...หรือว่า นี่คือแก่นของ ททท.

3...

หากใครที่เคยไปร่วมงานประเพณีแห่เทียนพรรษาที่จังหวัดอุบลฯ แน่นอนว่าความยิ่งใหญ่สวยงามตระการตาของขบวนต้นเทียนนับเป็นสิ่งที่สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

เทียนหลายๆ ต้นแกะได้อย่างวิจิตรงดงาม แต่ว่าในความวิจิตรงดงามของเทียนบางต้นนั้นกลับแฝงไปด้วยเรื่องราวความยากลำบากของช่างทำเทียนที่แกะเทียนด้วยความศรัทธาจำนวนหนึ่ง

ช่างสมคิด สอนอาจ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเทียนประเภทติดพิมพ์ชนิดหาตัวจับยาก ที่รับทำเทียนให้วัดศรีประดู่ด้วยแรงศรัทธามาโดยตลอดได้เคยปรารภให้ผมฟังว่า

“แต่ก่อนการทำเทียนพรรษาถือเป็นงานบุญ งานรวมญาติที่พอถึงช่วงวันเข้าพรรษาญาติพี่น้องที่ไปทำงานต่างถิ่นก็จะกลับคืนบ้าน แล้วมารวมตัวกันด้วยแรงศรัทธาเพื่อช่วยทำต้นเทียนประจำหมู่บ้าน มาหล่อเทียน แกะเทียน มีอะไรก็แบ่งปันกันกิน เมื่อทำเสร็จแล้วก็จัดขบวนแห่ไปวัดกันอย่างสนุกสนาน สมัยนั้นเทียนแต่ละต้นใช้ช่างประมาณ 4-5 คน เพราะว่าทำต้นไม่ใหญ่แต่ว่าใช้งานได้จริง”

“แต่มาสมัยนี้งานแห่เทียนมันเปลี่ยนไป เพราะทางอำเภอกำหนดให้ทางวัดส่งเข้าประกวดเพื่อหน้าตาของอำเภอ โดยมีเงินงบประมาณสนับสนุน 20,000-30,000 บาท แต่ว่าเทียนต้นใหญ่ที่ทำจริงๆ นั้นใช้งบประมาณหลายแสนบาทต่อต้น สำหรับเงินสนับสนุนนี่ชาวบ้านเรายังพอเรี่ยรายกันได้ แต่เรื่องของช่างนี่สินับวันยิ่งหายากลำบากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเทียนต้นใหญ่ต้องใช้ช่างหลายสิบคน และใช้เวลาทำเป็นเดือน ทำให้ไปเบียดบังเวลางานของช่างส่วนใหญ่ที่ปกติก็ปากกัดตีนถีบทำมาหาเลี้ยงชีพกันอยู่แล้ว”


ช่างสมคิดตัดพ้อก่อนที่จะเล่าเพิ่มเติมว่า เพราะเหตุนี้ทำให้ช่างทำเทียนหลายๆ คนเลิกราไป ส่วนบางคนที่ฝีมือดีเมื่อทำเทียนด้วยความศรัทธาแล้วอดอยากก็เลยเปลี่ยนเจตนารมณ์ไปเป็นช่างเทียนรับจ้างเสียเลย เพราะเดี๋ยวนี้มีหลายๆ วัดนิยมจ้างทำเทียนเก่งๆ ไปทำเทียนเพื่อส่งเข้าประกวด

ผมฟังช่างสมคิดแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าการที่ช่างทำเทียนฝีมือดีหลายๆ คนเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์จากการทำเทียนเพื่อเป็นพุทธบูชาหันไปทำเทียนเพื่อหาเลี้ยงชีพนั้น เป็นเพราะศรัทธาของพวกเขาเปลี่ยน หรือว่า “มีคน” ทำให้ศรัทธาของพวกเขาเปลี่ยนไป?!?

4...

สำหรับปีนี้จังหวัดอุบลฯ ได้จัดงานประเพณีแห่เทียนขึ้นระหว่างวันที่ 18-22 ก.ค. 48

ในงานนี้นอกจากจะน่าตื่นตาตื่นใจไปด้วยต้นเทียนที่สวยงามตระการตาและกิจกรรมที่น่าสนใจแล้ว งานแห่เทียนพรรษาอุบลฯ ยังเปี่ยมไปด้วยศรัทธาของผู้คนมากมาย ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานและผู้ที่มาเที่ยวชมงาน ซึ่งศรัทธาของแต่ละคนที่มีต่อต้นเทียนอาจจะผิดแผกแตกต่างกันไป แต่หากว่าเป็นศรัทธาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานอันดีงามแล้วก็ถือเป็นเรื่องที่น่าชมเชย แต่หากว่าใครที่นำศรัทธาอันดีงามเหล่านั้นไปแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องถูกสาปแช่งก่นด่า!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น