xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยว“พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช” สนุก-น่าตื่นตาตื่นใจและได้ความรู้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

ฉันจำได้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก เวลาที่เอาแต่วิ่งเล่นไม่ยอมกินข้าวปลา แม่มักจะขู่ว่า ระวังซีอุยจะมากินตับเด็ก(ดื้อ)ที่ไม่ยอมกินข้าว เท่านั้นแหละ ได้ผลชะงัดทีเดียว เพราะฉันรีบวิ่งไปหาแม่โดยไว และแล้วการป้อนข้าวมื้อนั้นก็จบลงด้วยการที่แม่ไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย

แต่สำหรับฉันนี่ซิ.. นอนหวาดผวาไปทั้งคืน เพราะเรื่องซีอุยที่เคยได้ยินได้ฟังมานั้น น่ากลัวเอาการอยู่ โดยพวกผู้ใหญ่เล่ากันว่า “ซีอุย แซ่อึ้ง” เป็นฆาตกรจิตวิปริต เมื่อฆ่าคนแล้วก็จะผ่าท้อง แหวกเอาตับไตไส้พุงออกมากินหน้าตาเฉย

พอฉันโตขึ้นมา ก็ถึงรู้ว่าที่ “โรงพยาบาลศิริราช” ได้เก็บร่างของซีอุยไว้ใน “พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช” ให้ผู้ที่สนใจเข้าไปเที่ยวชม

ครั้นเมื่อมีโอกาส (เพราะไปทำธุระที่ท่าพระจันทร์และมีเวลาเหลือเฟือ) ฉันจึงถือโอกาสนั่งเรือข้ามฟากจากท่าพระจันทร์ไปยังท่าวังหลัง แล้วเดินตรงไปที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อจะเข้าไปดูร่างของซีอุยที่เก็บดองไว้

แต่ว่างานนี้ฉันไม่ได้ไปดูแค่ร่างของซีอุยอย่างเดียว เพราะที่พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราชนั้น มีพิพิธภัณฑ์อยู่ด้วยกันถึง 6 ห้อง คือ พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน, พิพิธภัณฑ์ประวัติการแพทย์แผนไทย อวย เกตุสิงห์, พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยา, พิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิส, พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์คองดอน และพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์และห้องปฏิบัติการ สุด แสงวิเชียร ที่แบ่งเป็น 2 ตึกคือตึกอดุลยเดชวิกรมกับตึกกายวิภาคศาสตร์

สำหรับจุดแรกฉันเลือกที่จะไปดูซีอุยที่ “พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน” ซึ่งตั้งอยู่ในตึกอดุลยเดชวิกรมก่อน แต่บอกตรงๆใจจริงฉันก็ยังหวั่นๆอยู่ เพราะความกลัวที่ฝังอยู่ในใจตั้งแต่ยังเด็ก แต่เป็นไงเป็นกัน เพราะยังไงฉันก็ไม่ยอมถอยหลังกลับแน่ๆ

แต่พอฉันมาถึง พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ฯ กลับไม่น่ากลัวอย่างที่คิด แม้ว่าในพื้นที่แห่งนี้จะเป็นการแสดงชิ้นส่วนต่างๆของวัตถุพยานจากคดีฆาตกรรม ฆ่าตัวตายรวมไปถึงชิ้นส่วนมนุษย์ต่างๆที่ตายผิดธรรมชาติแล้ว ในห้องนี้ฉันยังได้เห็นเครื่องมือที่ใช้ในการชันสูตรพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 และกะโหลกศีรษะจำลองวิถีกระสุนในระยะต่างๆอีกด้วย

ฉันเดินไปเดินมาจนทั่ว สายตาก็สอดส่ายมองหาซีอุย นั่นไง.. “ซีอุย แซ่อึ้ง” ที่หลังจากถูกประหารชีวิตแล้วก็ถูกฉีดฟอร์มาลีนเพื่อรักษาศพไว้ จากนั้นทางโรงพยาบาลได้นำมาจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้

เมื่อเดินไปอีกหน่อยจึงได้เห็นเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของ “คดีนวลฉวี” ฉันขนลุกเกรียวเพราะเคยดูหนังดูละครในเรื่องนี้อยู่หลายรอบ พาลให้นึกจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง แล้วต้องนึกรำพันในใจว่า..จิตมนุษย์ยากแท้ หยั่งถึง รักกันดีๆยังมาฆ่ากันตายได้ นอกจากนี้ยังมีโครงกระดูกของ “ศ.นพ.สงกรานต์ นิยมเสน” ผู้ริเริ่มงานด้านนิติเวชศาสตร์ของศิริราชและอดีตหัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์และเป็นผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ แขวนไว้ในมุมหนึ่งของห้องด้วย

ฉันเดินมาเรื่อยๆ ก็มาถึงที่ “พิพิธภัณฑ์ประวัติการแพทย์ไทย อวย เกตุสิงห์” ที่จัดแสดงวิวัฒนาการ การแพทย์แผนไทยสมัยโบราณไว้อย่างครบครัน มีสมุนไพรและเครื่องมือที่ใช้บด-ปรุงยาให้ชมมากมาย หันไปทางขวาเห็นการจำลองร้านขายสมุนไพรในสมัยก่อน เดินไปอีกหน่อยจะพบกับการจัดแสดงการอยู่ไฟของหญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ซึ่งเชื่อกันว่าจะต้องอยู่ไฟเพื่อให้มดลูกเข้าอู่และเพื่อให้แม่แข็งแรง

ถัดมาเป็น “พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยา” ที่รวบรวมพยาธิและสัตว์มีพิษต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ หรือปรสิตในอีกความเข้าใจคือสิ่งมีชีวิตที่มาอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์แล้วก่อให้เกิดโรค ในห้องนี้ยังได้จัดแสดงวงจรการเกิดพยาธิต่างๆเอาไว้อย่างน่าสนใจ อย่างเช่นกลไกการเกิดพยาธิใบไม้ในตับ และยังมีตู้โชว์อาหารชนิดต่างๆที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดพยาธิชนิดต่างๆด้วย อาทิ ลาบ ก้อย แหนม มีพยาธิพันธุ์ต่างๆถูกเก็บรักษาไว้ในขวดโหล

ดูอย่างพยาธิตัวตืดที่นอนขดตัวเป็นเส้นหนาๆนั่นซิ หรือจะเป็นพยาธิตัวจี๊ดที่สามารถไชไปได้ทุกที่ในร่างกายคนซึ่งพอมันไชผ่านไปแล้วก็ได้ทิ้งร่องรอยของการไชไว้ด้วยทำให้เกิดแผลที่บวมปูดเนื่องจากเซลล์ส่วนนั้นถูกทำลาย ฉันดูมาถึงตอนนี้ก็เริ่มหนาวๆร้อนๆเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองได้เผลอกินอาหารที่มีพยาธิเหล่านั้นเข้าไปด้วยรึเปล่า

เยื้องกับพิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยาคือ “พิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิส” ณ ที่นี้เองที่ฉันได้ทราบความเป็นมาของการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราชว่าถือเป็นอุปกรณ์การเรียนและเป็นสื่อการสอนอย่างหนึ่ง (ในหลายๆอย่าง) ของนักศึกษาแพทย์ แต่ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ถือเป็นแหล่งการเรียนรู้แห่งใหม่สำหรับประชาชนทั่วไปที่สามารถเข้ามาชมได้ ฉันว่าเป็นความคิดที่ดีทีเดียวที่ประชาชนทั่วไป (รวมทั้งฉัน)จะได้รับความรู้และเห็นวิวัฒนาการการแพทย์ของไทย

สำหรับพิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิสนั้น เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดง เกี่ยวกับชิ้นส่วนร่างกายของมนุษย์ที่ตายหรือเจ็บป่วยจากการเป็นโรคร้ายต่างๆ ที่เข้ามาเกาะกินร่างกายจนก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่เจ้าของร่าง บางรายต้านทานก็ไหวก็เสียชีวิตไป

ฉันเดินดูห้องนี้ด้วยใจระทึก เพราะเมื่อเห็นชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์มากมายที่เป็นโรค นำมาตัดเป็นแผ่นๆหรือตัดเป็นชิ้นๆแล้วใส่ขวดโหลแสดงให้เห็นถึงโรคร้ายที่มากัดกินร่างกายของมนุษย์ อาทิ โรคมะเร็งที่ปอด หรือเดินไปอีกหน่อยจะเจอกับศพเด็กที่เพิ่งคลอดออกมาแล้วตายด้วยโรคเด็กดักแด้ ฉันเพ่งมองแบบกลัวๆกล้าๆก็เห็นผิวหนังเหมือนกับเกล็ดปลาทั่วตัวไม่เว้นแม้กระทั่งส่วนหัว เห็นคำบรรยายว่าโรคนี้จะก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานมาก เพราะผิวหนังที่แข็งเหมือนเกล็ดปลานั้นจะหลุดลอกอยู่ตลอดเวลาและเมื่อไรก็ตามที่หลุดออกมาแล้ว จะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดน้ำเหลืองไหลเยิ้ม ซึ่งส่วนใหญ่ตายเพราะเสียน้ำและเกลือแร่

หลังออกจากตึกอดุลยเดชวิกรมแล้ว ฉันออกมาสูดอากาศเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อเดินไปยัง “พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์คองดอน” ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 3 ของตึกกายวิภาคศาสตร์ เหตุที่บอกว่าต้องเตรียมจิตใจนั้น ก็เป็นเพราะรู้มาว่าที่แห่งนี้เราจะได้เห็นร่างกายมนุษย์มากมาย ทั้งที่เป็นชิ้นส่วนหรือยังเป็นโครงร่างอยู่ รวมไปถึงโครงกระดูกมนุษย์ด้วย

ตอนนี้ฉันนึกถึงเพลง “ตุ๊มต่อม” ของ “เกิร์ลรี่ เบอรี่” ขึ้นมาทันใด แต่ไหนๆเมื่อมาแล้วก็เลยตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปยังชั้น 3 ผ่านบรรดารูปของนักกายวิภาคที่มีชื่อเสียงจากประเทศต่างๆรวมไปถึงเหล่าคณาจารย์ที่เคยสอนอยู่ที่นี่

พอเดินมาถึงห้องพิพิธภัณฑ์กายวิภาคแล้ว ฉันก็ต้องแปลกใจเพราะตัวเองไม่ได้กลัวอย่างที่คิด แต่กลับรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่จัดแสดงภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็นระบบประสาททั้งร่างกาย หรือระบบหลอดเลือดแดงทั้งร่างกายที่โยงใยเป็นเส้นสาย ทำให้ฉันต้องทึ่งกับความสามารถของแพทย์ไทยยิ่งนัก เพราะของอย่างนี้มิได้ทำกันง่ายๆเลย ต้องอาศัยฝีมือ ความเชี่ยวชาญและความละเอียดอย่างยิ่ง

ฉันเดินต่อไปเรื่อยๆ สายตาก็มองสิ่งอยู่ในขวดโหลใสภายในบรรจุตัวอ่อนของมนุษย์ขนาดเล็กที่เรียกว่าเอมบริย์โอ (อายุไม่เกิน 8 สัปดาห์) และไล่ไปจนถึงอายุที่ครบกำหนดคลอดหรือที่เรียกว่าฟีตัส แถวถัดไปเป็นการแสดงอวัยวะภายในต่างๆ โดยแยกเป็นระบบคือ ระบบขับถ่ายปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ
นอกจากนี้ผนังด้านตะวันออกยังแสดงรูปวิกลแต่กำเนิด แต่หากมองไปยังตู้ฝังที่ติดกับผนังจะเห็นฝาแฝดติดกันในลักษณะต่างๆมากมาย

เสร็จจากพิพิธภัณฑ์กายวิภาคแล้ว ฉันมุ่งหน้าลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อไปดูวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ “พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์และห้องปฏิบัติการ สุด แสงวิเชียร” ที่นี่มีการแสดงแผนภูมิของสัตว์กลุ่มไปรเมทตั้งแต่ 70 ล้านปีจนถึงปัจจุบัน และยังมีเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ของพื้นโลก โดยเริ่มจากแผนภูมิแสดงระยะเวลาสิ่งมีชีวิตเมื่อราว 550 ล้านปีก่อน จนถึงกลุ่มเลี้ยงลูกด้วยนม เมื่อประมาณ 70 ล้านปี พร้อมตัวอย่างของจริงให้ได้ดูด้วย

และเมื่อฉันเดินชมสิ่งที่น่าสนใจในพิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราชจนทั่ว สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ก็คือ ฉันเริ่มเห็นด้วยกับความคิดที่ว่าการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะหากเป็นเมื่อก่อนฉันคงส่ายหน้าและขอมีเงินแทนดีกว่า นอกจากนี้การที่เกิดมามีอวัยวะครบ 32 ถือว่าเป็นสิ่งวิเศษที่สุดแล้ว ส่วนความสุขในวัตถุต่างๆถือได้ว่าเป็นของนอกกาย แต่ร่างกายและจิตใจต่างหากที่มีค่ากับตัวเรา
รายละเอียดพิพิธภัณฑ์ศิริราชและการเดินทาง
ร้านอาหารบริเวณโรงพยาบาลศิริราช “ยืนพื้น” กวยจั๊บน้ำข้นรสเข้มถึงใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น