หากจะพูดถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับคนไทยมาช้านาน และถือเป็นมิตรสนิทอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนและกลมเกลียว ก็คงจะเป็นชาวจีนนี่เอง…
เมืองไทยเราเริ่มมีการติดต่อค้าขายกับชาวจีนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และชาวจีนก็เริ่มเข้ามาตั้งรกรากลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา จึงไม่น่าแปลกใจที่ว่า ในบางเรื่องเราแทบจะแยกความเป็นไทยกับจีนไม่ออกเนื่องจากวัฒนธรรมของทั้งสองชาติได้ผสมกลมกลืนกันมาเป็นเวลานานแล้ว เรื่องที่ว่านั้นก็รวมไปถึงเรื่องของศิลปะด้วย โดยศิลปะจีนนั้นได้แทรกตัวอยู่ร่วมกับศิลปะไทยได้อย่างลงตัวโดยเฉพาะตามวัดวาอารามหลายๆแห่ง
ซึ่งเรามักจะได้พบเห็นการผสมผสานระหว่างศิลปะไทยกับศิลปะจีนในศาสนสถานที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เพราะในช่วงนั้น เป็นช่วงที่การค้าของประเทศไทยกับประเทศจีนรุ่งเรืองที่สุด ถึงขนาดที่พระองค์ได้รับฉายาว่าเป็น “เจ้าสัว” เนื่องจากความสามารถในการแต่งสำเภาไปค้าขาย และในช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่มีชาวจีนอพยพเดินทางมาพร้อมกับเรือสำเภา เข้ามาอยู่อาศัยและทำมาหากินพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งคนจีนเหล่านี้ต่อมาก็ได้เป็นกำลังสำคัญในการช่าง การสร้างวัดต่างๆ มากมาย
ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ศิลปะแบบจีนในวัดนั้นได้ชื่อว่าเป็น “พระราชนิยม” ซึ่งจะมีจุดเด่นตรงที่หลังคาของโบสถ์หรือวิหารในส่วนที่เป็นหน้าบันนั้นจะเป็นแบบเรียบๆ ตัดส่วนที่เป็นช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หรือที่เรียกว่าเครื่องบนออกทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่ว่าชำรุดเสียหายได้ง่ายและเปลืองเวลาในการทำ แต่มีการประดับหน้าบันด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นลวดลาย เช่น ดอกไม้ หรือสัตว์ต่างๆ ตามแบบจีน เช่นหงส์ หรือมังกรแทน
การที่ศิลปะแบบจีนนั้นกลายมาเป็นพระราชนิยม ทำให้เหล่าขุนนาง รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาในยุคนั้นต่างก็นิยมสร้างวัดตามแบบพระราชนิยมเช่นเดียวกัน ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงมีวัดหลายแห่งด้วยกันที่มีลักษณะของศิลปะแบบจีนให้เราได้ชมกันอยู่เป็นจำนวนมาก
วัดราชโอรสาราม วัดประจำรัชกาลที่ 3
หากจะกล่าวถึงวัดไทยที่มีศิลปะแบบจีนอยู่เต็มรูปแบบมากที่สุด และสวยงามที่สุด ก็คงจะต้องกล่าวถึงวัดราชโอรสารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า วัดราชโอรส ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก รวมทั้งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 3 ซึ่งใครที่ได้เข้าไปชมภายในวัดราชโอรสาราม อาจจะเผลอนึกไปได้ว่ากำลังเดินอยู่ในวัดจีน
วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมชื่อวัดจอมทอง เมื่อคราวที่รัชกาลที่ 3 ยังมีตำแหน่งเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ในรัชกาลที่ 2 นั้น ท่านได้ทรงเป็นแม่ทัพคุมพลเตรียมไปรบกับพม่า และได้มาประทับแรมที่หน้าวัดจอมทองนี้ ท่านได้ทรงทำพิธีเบิกโขลนทวาร ตามลักษณะพิชัยสงคราม และทรงอธิษฐานให้ประสบความสำเร็จกลับมา และเมื่อทรงเลิกทัพเสด็จกลับพระนครแล้ว จึงโปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดจอมทองใหม่ทั้งวัด และถวายเป็นพระอารามหลวงแด่รัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นผู้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า "วัดราชโอรส" เพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชโอรสซึ่งเป็นผู้บูรณะ
วัดแห่งนี้จึงมีศิลปะแบบจีนอยู่แทบทุกตารางนิ้วตามพระราชนิยมของผู้บูรณะ ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าวัด ที่มีหลังคาสี่ชั้นแบบจีนเด่นชัด ส่วนพระอุโบสถของวัดราชโอรสนี้มีหลังคาแบบจีนสองชั้น มุงด้วยกระเบื้องแบบไทย ไม่มีเครื่องบน หน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นลวดลายแจกันดอกเบญจมาศ มีสัตว์ที่เป็นมงคลตามความเชื่อของชาวจีนอย่างมังกร หงส์ นกยูงอยู่รอบๆ แจกัน
นอกจากหน้าบันแล้ว บริเวณหน้าประตูทางเข้าอุโบสถยังมีตุ๊กตากระเบื้องเคลือบขนาดใหญ่กว่าคนจริงเป็นรูปชาวจีนหน้าตาดุดันยืนเฝ้าประตูอยู่ดูน่าเกรงขาม ส่วนบนบานประตูโบสถ์เป็นภาพประดับมุกลายมังกรดั้นเมฆที่ถือว่ามีแห่งเดียวในประเทศไทยและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ส่วนภายนอกพระอุโบสถก็ยังมีศาลาราย วิหารคด ถะ (เจดีย์จีน) ซึ่งเป็นศิลปะแบบจีนเห็นได้ชัด ตั้งอยู่เคียงกับพระปรางค์ และเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองแบบไทยได้อย่างไม่ขัดเขิน
ไม่เพียงเฉพาะพระอุโบสถเท่านั้น แต่วิหารพระพุทธไสยาสน์ก็มีศิลปะจีนอันโดดเด่นเช่นกัน ตรงที่ประตูทางเข้าไปสู่พระระเบียงนั้นเจาะเป็นช่องกลมเหมือนประตูจีน เมื่อเข้าไปด้านในแล้ว บริเวณบันไดทางขึ้นพระวิหารมีแผงกระเบื้องเคลือบกังไสแบบจีน ภายในมีตุ๊กตาที่คงจะแสดงถึงเรื่องราวต่างๆ น่าเสียดายที่หักพังไปมากแล้วจนไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเรื่องอะไร
นอกจากนั้นบานประตูและหน้าต่างด้านนอกของพระวิหารก็ยังมีความสวยงามด้วยรูปเสี้ยวกาง (ทวารบาลของจีน) ยืนอยู่บนประแจจีน ในมือถือดอกไม้และถาดผลไม้ชนิดต่างๆ เข้ากับหลังคาวิหารแบบจีน ประดับด้วยเครื่องกระเบื้องเป็นรูปแบบตามพระราชนิยม
แม้ว่าสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในวัดราชโอรสนี้จะเป็นศิลปะแบบจีนแทบทั้งหมด แต่ก็ยังคงคุณค่าของความเป็นวัดไทยไว้ได้อย่างงดงาม และถือเป็นมรดกอันสำคัญชิ้นหนึ่งของแผ่นดิน
วัดกัลยาณมิตร กับหลวงพ่อซำปอกง
วัดกัลยาณมิตรเป็นอีกวัดหนึ่งที่ขุนนางสร้างขึ้น ซึ่งขุนนางท่านนี้ก็คือ เจ้าพระยานิกรบดินทร์ หรือ โต กัลยาณมิตร ซึ่งเป็นทั้งข้าราชบริพารและพระสหายของรัชกาลที่ 3 เจ้าพระยานิกรบดินทร์สืบเชื้อสายมาจากชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งมีความสามารถในการเดินเรือ และได้ช่วยเหลือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าในการแต่งเรือสำเภาไปค้าขายจนแผ่นดินร่ำรวย
ที่ดินของวัดนี้ เป็นที่ดินที่เจ้าพระยานิกรบดินทร์อุทิศให้เพื่อสร้างวัด และได้น้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งท่านก็ได้พระราชทานนามว่า วัดกัลยาณมิตร รวมทั้งได้ทรงสร้างวิหารหลวงและพระประธานในวิหารหลวง ซึ่งก็คือหลวงพ่อโต หรือพระพุทธไตรรัตนนายก โดยทรงมีพระราชประสงค์ให้เป็นพระพุทธรูปใหญ่อยู่ริมแม่น้ำแบบเดียวกันกับที่วัดพนัญเชิง ในสมัยอยุธยา หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะอย่างอย่างมากในหมู่ชาวจีน ท่านยังมีชื่อเรียกแบบจีนว่า ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกงอีกด้วย
วัดแห่งนี้มีวิหารเป็นแบบศิลปะไทย และมีพระประธานซึ่งเป็นที่เคารพของชาวจีน ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเป็นลวดลายดอกไม้แบบจีน รวมทั้งมีเสี้ยวกางอยู่บนประตูวิหารอีกด้วย ส่วนด้านหน้าวิหารมีซุ้มประตูหิน และเสาหินแบบจีน ซึ่งเป็นที่สำหรับจุดธูปเทียนบูชา และสำหรับพระอุโบสถ มีลักษณะแบบศิลปะจีน มีหลังคาและหน้าบันตามแบบพระราชนิยม ส่วนภายในมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์
บริเวณวัดกัลยาณมิตรจะมีตุ๊กตาหินรวมทั้งเจดีย์หินแบบจีน หรือที่เรียกว่า ถะ ซึ่งเป็นศิลปะจีนที่งดงามมาก หากใครได้ผ่านไปในแม่น้ำเจ้าพระยาก็คงจะได้เห็นถะ ตั้งเด่นอยู่ริมน้ำเบื้องหน้าวิหารหลวงพ่อโต เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของวัดกัลยาณมิตรไปแล้ว
วัดเทพธิดาราม งดงามด้วยศิลปะจีน
วัดเทพธิดารามนี้เป็นหนึ่งในสามวัดที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น โดยคำว่าเทพธิดาในชื่อวัดก็หมายถึง กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งเป็นพระราชธิดาองค์โตที่เป็นที่โปรดปรานของพระราชบิดา โดยกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพก็ได้บริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อร่วมก่อสร้างวัดด้วย
เมื่อเป็นวัดที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างแล้ว ก็แน่นอนว่าย่อมต้องมีศิลปะแบบจีนให้เห็นแน่นอน ซึ่งพระอุโบสถ วิหาร และศาลาการเปรียญที่ตั้งเรียงกันอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่มีลักษณะหลังคาและหน้าบันเหมือนกันทั้งหมด คือไม่มีเครื่องบน และประดับด้วยเครื่องกระเบื้องเคลือบเป็นลวดลายแบบจีน
ที่วัดเทพธิดารามนี้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะจีน นั่นก็คือ ตุ๊กตาหิน ซึ่งมีทั้งรูปคนและรูปสัตว์ และที่น่าสนใจก็คือตุ๊กตากินในวัดนี้ส่วนมากเป็นรูปผู้หญิง คงเพื่อให้สอดคล้องกับชื่อวัดซึ่งสร้างให้กับเจ้านายผู้หญิง ช่างที่สลักตุ๊กตานั้นเป็นช่างชาวจีน ซึ่งเมื่อมาแกะสลักตุ๊กตาที่เลียนแบบลักษณะท่าทางและการแต่งกายของสตรีชาวไทยตามสายตาของช่างชาวจีนก็ทำให้ตุ๊กตาเหล่านี้มีลักษณะแปลกตาน่าชม เช่น อาจจะดูเป็นคนไทยที่มีหน้าตาออกไปทางเชื้อสายจีนมากสักหน่อย ต่างจากตุ๊กตาหินของวัดอื่นๆ ที่จะเป็นรูปคนจีนทั้งหมด
* * * * * * * * * * * * *
นอกจากวัดทั้งสี่ที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็ยังมีวัดอื่นๆ ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้น รวมทั้งบูรณปฏิสังขรณ์รวมทั้งหมดก็กว่า 70 วัด ซึ่งแต่ละวัดก็มีศิลปะแบบจีนแทรกอยู่มากบ้างน้อยบ้าง เช่น ตุ๊กตาศิลาจีนนับร้อยตัว ทั้งในวัดสุทัศนเทพวรารามและวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม รูปเสี้ยวกางหรือทวารบาล บนบานประตูวัดบวรนิเวศน์วิหาร และลวดลายเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ที่ผสมผสานไปกับศิลปะแบบไทยๆ
แม้จะมีศิลปะของต่างชาติเข้ามาผสมกับศิลปะแบบไทยเรา ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าของความเป็นศาสนสถานแบบไทยๆ ลดลงไป แต่กลับผสมกลมกลืนจนกลายเป็นความงามที่ลงตัว และเป็นเหมือนสัญลักษณ์แสดงถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างชาติไทยและจีน ที่มีอยู่ตลอดมา และคงจะมีอยู่ตลอดไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วัดราชโอรสารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนเอกชัย แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพ มีรถประจำทางสาย 43, 120 ผ่าน
วัดกัลยาณมิตร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรีแขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร มีรถประจำทางสาย149, 40, 57 และปอ.177 ผ่าน
วัดเทพธิดารามวรวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนมหาไชยใกล้วัดราชนัดดา แขวงสำราญราษฏร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีรถประจำทางสาย 56, 35, 159 ผ่าน