xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยว 3 วัดในเมืองกรุงฯ ตามรอย “สุนทรภู่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย...หนุ่มลูกทุ่ง

       “แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์      มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด            ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน”

                                                                               (พระอภัยมณี)


บทกลอนอันไพเราะ ข้อความอันจับจิต นี้ ฉันเชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านหูผ่านตากันมาบ้างล่ะ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องพระอภัยมณี ผลงานที่ขึ้นชื่อของ “สุนทรภู่” กวีเอกของไทยผู้ไม่ธรรมดา เพราะถึงขนาดที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ยกย่องให้เป็นเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม หรือนัยหนึ่งก็คือเป็น “กวีเอกของโลก” เมื่อปี พ.ศ. 2529

ผลงานของสุนทรภู่แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่น่าสนใจ พอๆ กับเรื่องราวชีวิตจริงของท่านที่มีหลากหลายน่าศึกษา เพราะตลอดช่วงชีวิตท่านได้ตระเวนไปยังที่ต่างๆ มากมาย ฉันเลยเกิดความคิดว่าจะตามรอยท่านสุนทรภู่ แต่ครั้นจะตามทุกเขตแคว้นที่ท่านไป คงต้องใช้เวลานานเป็นเดือนๆ แน่ ฉันจึงเลือกไปแค่ 3 วัดในเมืองกรุง ซึ่งสุนทรภู่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องตั้งแต่เล็กกระทั่งล่วงเข้าสู่วัยชรา

 
วัดชีปะขาว : เรื่องราวในวัยเด็กของสุนทรภู่

สุนทรภู่เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2329 ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย ซึ่งน่าจะอยู่แถวสถานีรถไฟธนบุรี ท่านไม่ใช่คนบ้านกล่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง อย่างที่หลายคนเข้าใจสับสน เพราะจริงๆ แล้วที่นั่นเป็นบ้านเกิดของพ่อท่าน

ในช่วงวัยเด็กจนถึงวัยหนุ่ม ท่านจึงได้ศึกษาเล่าเรียนที่ วัดชีปะขาว หรือ วัดศรีสุดารามวรวิหาร ที่อยู่ใกล้บ้านท่านปัจจุบันอยู่ในซอยบางขุนนนท์ ไม่ไกลจากถนนจรัญสนิทวงศ์เท่าใด
 
คนแก่แถวนั้นเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนบริเวณวัดและย่านนี้เป็นสวนลิ้นจี่ เต็มไปด้วยความสงบ แต่มาถึงตอนนี้ สภาพเก่าๆ เหล่านั้นไม่เหลือแล้ว กลายเป็นบ้านของผู้คนที่อยู่กันอย่างหนาแน่นแทน

ฉันเดินเข้าไปในวัดเพื่อสอบถามว่ายังคงมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสุนทรภู่หลงเหลืออยู่หรือไม่ ปรากฏว่าสิ่งเดียวที่มีอยู่และทำให้รู้ว่า วัดชีปะขาวนี้เคยเป็นทั้งที่เรียน ที่เล่น และที่ทำงานของสุนทรภู่ เพราะท่านเคยเป็นครูสอนผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นเสมียน นั่นก็คือ “อนุสาวรีย์สุนทรภู่” ซึ่งมีปรากฏในโคลงนิราศสุพรรณ ตอนหนึ่งว่า

    "วัดปะขาวคราวรุ่นรู้          แรกเรียน
ทำสูตรสอนเสมียน               สมุดน้อย
เดินระวางระวังเวียน              หว่างวัด ปะขาวเฮย
เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย           สวาทห้างกลางสวน"

อนุสาวรีย์สุนทรภู่นี้ เป็นรูปปั้นจำลองท่านในวัยเด็ก ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยีการถ่ายภาพ จึงไม่มีใครบอกได้ว่าหน้าตาของท่านจะเป็นเช่นที่เห็นอยู่หรือไม่

อย่างที่บอกไปว่าอดีตของสุนทรภู่ ณ บริเวณนี้แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือไว้ แม้กระทั่งปัจจุบันก็เหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าที่วัดนี้มีอนุสาวรีย์ของท่านอยู่ รอบๆ บริเวณจึงดูเงียบเหงา ที่แท่นหน้ารูปปั้นเห็นเพียงรอยเทียนที่ถูกจุดและพวงมาลัยเก่าๆ แห้งๆ วางไว้อย่างเดียวดาย

ใครที่ได้ไปแถวบางขุนนนท์ ซึ่งเป็นย่านของกินมีชื่อแล้ว ก็น่าจะแวะเข้าไปสัมผัสความสงบที่วัดชีปะขาว ถือโอกาสทำบุญให้อาหารปลาที่อยู่ในคลองบางกอกน้อยหน้าวัด และอย่าลืมไปทำความเคารพอนุสาวรีย์สุนทรภู่ซึ่งตั้งอยู่ที่ด้านหลังของ “รูปปั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี)” ด้วยก็แล้วกัน

 
วัดราชบูรณะ : พระสุนทรภู่บวชแล้วถูกขับออกจากวัด

จากความสามารถในงานกวี ทำให้สุนทรภู่มีความรุ่งโรจน์มากที่สุดในช่วงรัชกาลที่ 2 แต่แล้วชีวิตก็ต้องผกผันเพราะได้ไปแก้บทพระนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำต่อหน้าพระที่นั่ง พระองค์ทรงอับอายข้าราชบริพาร จึงเป็นเหตุให้ขุนสุนทรโวหารถูกถอดยศถาบรรดาศักดิ์ ถึงคราวตกอับต้องออกบวช

อันที่จริงแล้วสุนทรภู่ได้บวชและตระเวนจำพรรษาในหลายวัดมาตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 2 เช่นที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) วัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) วัดมหาธาตุ
 
ส่วนที่ วัดราชบูรณะ หรือ วัดเลียบ เป็นวัดที่ท่านบวชในปี พ.ศ. 2367 และได้มีโอกาสถวายอักษรเจ้าฟ้าชายกลาง และเจ้าฟ้าชายปิ๋ว พระโอรสในรัชกาลที่ 2

จนกระทั่งคราวหนึ่ง พระภู่เกิดอธิกรณ์ (ต้องโทษ,คดี) เพราะดื่มเหล้า จึงถูกขับออกจากวัด เหตุที่คาดว่าท่านเกิดการวิวาทกับพระในวัด ด้วยความตอนหนึ่งในนิราศภูเขาทองกล่าวว่า

      "โอ้อาวาสราชบูรณะพระวิหาร       แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น            เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
จะหยิบยกอธิบดีเป็นที่ตั้ง                   ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้าง                     มาอ้างว้างวิญญาในสาคร"


สุนทรภู่มีความอาลัยรักในศิษย์ทั้งสอง ก่อนที่จะจากไปจึงได้ถวายอักษรเป็น “เพลงยาวถวายโอวาท” ซึ่งเป็นสุภาษิตคำสั่งสอนที่ติดใจคนทั่วไปมาก อย่างเช่น “อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย”

เป็นที่น่าเสียดายว่าอดีตของสุนทรภู่อย่างเช่น พระวิหารที่เคยอยู่ ก็ไม่คงเหลือไว้ เพราะเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดเลียบกลายเป็นเป้ารับระเบิดแบบเต็มๆ แทนการไฟฟ้านครหลวงและสะพานพุทธที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ วัดเลียบเสียหายหนัก กว่าจะฟื้นฟูให้กลับคืนมาได้ก็ใช้เวลานานหลายสิบปี

มีเพียง พระปรางค์ ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่เป็นปูชนียวัตถุชิ้นเดียวของวัดที่รอดพ้นจากภัยทางอากาศในสงครามโลกครั้งที่ 2

ถึงวันนี้ไม่เหลือร่องรอยอดีตของสุนทรภู่ แต่ฉันก็ถือโอกาสนี้เดินเที่ยวบริเวณรอบวัด ถึงแม้จะขัดตาไปบ้างกับบางจุดที่กลายเป็นที่จอดรถไป แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะยุคสมัยเปลี่ยนอะไรๆก็เปลี่ยน แม้แต่ “ต้นเลียบ” ที่เคยมีอยู่มากในวัด ก็ยังเหลืออยู่ไม่กี่ต้น ใครอยากรู้ว่าต้นเลียบเป็นอย่างไร คงต้องตามไปค้นหากันดู

 
วัดเทพธิดาราม : ยามบวช ณ บั้นปลาย

อีกวัดหนึ่งที่ฉันจะไม่ไปไม่ได้เลย เพราะเป็นวัดสำคัญที่ยังมีเรื่องราวและการเก็บรักษาข้าวของเครื่องใช้ของสุนทรภู่ไว้เป็นอย่างดี นั้นก็คือ “วัดเทพธิดาราม”

กล่าวคือหลังจากที่พระสุนทรภู่ได้จากวัดเลียบ ก็ได้ได้เดินทางไปยังสุพรรณบุรี ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง แล้วเดินทางกลับกรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดารามเมื่อปี พ.ศ. 2383 ขณะนั้นอายุได้ 54 ปี อยู่ที่วัดนี้ได้ 3 พรรษาท่านก็ลาสิกขาบท ด้วยเหตุผลเพื่อเตรียมตัวตาย โดยมีสาเหตุมาจากฝันร้าย ว่าชะตาขาดจนถึงแก่ชีวิต
จึงได้แต่งนิราศรำพันพิลาป ซึ่งเป็นบทกวีที่ทำให้ทราบเรื่องราวในชีวิตของท่านอีกเป็นอันมาก

     “เป็นคราวเคราะห์ก็ต้องพรากจากวิหาร      กลัวพวกพาลผู้ร้ายจำย้ายหนี
อยู่วัดเทพธิดาด้วยบารมี                             ได้ผ้าปีปัจจัยไทยทาน
ถึงยามเคราะห์ก็เผอิญให้เหินห่าง                  ไม่เหมือนอย่างอยู่ที่พระวิหาร
โอ้ใจหายกลายกลับอัประมาณ                     โดยกันดารเดือดร้อนไม่หย่อนเย็น”

เพราะเป็นวัดที่ท่านบวชในช่วงเกือบจะบั้นปลาย จึงยังคงมีเรื่องราวและร่องรอยของท่านอยู่มาก โดยภายในวัดเทพธิดารามมี “กุฏิสุนทรภู่” ที่ท่านได้พำนัก ดังในบทหนึ่งของรำพันพิลาป

     “เคยอยู่กินถิ่นที่กระฎีก่อ         เป็นตึกต่อต่างกำแพงฝากแฝงฝา
เป็นสองฝ่ายท้ายวัดวิปัสสนา         ข้างโบสถ์บาเรียนเรียงเคียงเคียงกัน”


ก่อนหน้านี้ฉันเคยมีโอกาสมาที่วัดเทพธิดารามมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเยี่ยมชมกุฎิสุนทรภู่มากนัก เพราะมัวแต่ไปชมงานศิลปะและสถาปัตยกรรมในเขตอุโบสถ มาครั้งนี้จึงตั้งใจมุ่งตรงมาที่กุฎิท่าน ซึ่งได้เก็บเครื่องอัฐบริขาร เมื่อครั้งที่ท่านยังอยู่ในสมณเพศ ปัจจุบันได้รักษาไว้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปมาเยี่ยมชมและศึกษาค้นคว้า

แค่เพียงด้านนอก ฉันก็สะดุดตากับไม้ดัดที่เป็นรูปนางยักษ์ผีเสื้อสมุทร หนึ่งในตัวละครสำคัญในเรื่องพระอภัยมณี ผลงานเลื่องชื่อของสุนทรภู่ และเมื่อเข้าไปข้างในสุนทรภู่ก็ได้เห็นรูปปั้นครึ่งตัวของสุนทรภู่ตั้งเด่นอยู่ที่มุมห้องด้านใน ฉันเข้าไปไหว้ทำความเคารพและถือโอกาสเยี่ยมชมภายในกุฏิท่าน ซึ่งข้าวของเครื่องใช้ของท่านหลายๆอย่าง ยังคงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี มีทั้งสมุดข่อย 200 ปี คัมภีร์พระมาลัย ตำรารักษาโรคต่างๆ รวมถึงเครื่องใช้ขณะจำพรรษา เครื่องใช้เล่นแร่แปรธาตุ และอีกหลายอย่าง

สุนทรภู่ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70 ปี คาดว่าคงจะได้รับพระราชทานเพลิงศพ ที่วัดสระเกศหรือวัดสุวรรณาราม วัดใดวัดหนึ่ง

สิ่งที่ฉันได้จากการตามรอยสุนทรภู่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงจะรู้ประวัติเรื่องราวชีวิต 4 แผ่นดินของท่าน แต่ยังได้ตระหนักว่า ถึงแม้เวลาจะเปลี่ยนผัน สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปร ทว่าชื่อเสียงและคุณงามความดีของคนไม่มีวันเสื่อมสลาย ดังเช่น “สุนทรภู่” ซึ่งท่านได้ลาจากไปเนิ่นนาน แต่เราคนไทยก็ยังระลึกถึงท่านอยู่เสมอ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน มีงาน “ชุมชนบางกอกน้อย เปิดถิ่นบานบ้านเกิด มหากวีกระฏุมพีสยาม สุนทรภู่อยู่วังหลัง คนบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี” บริเวณรอบลานพระอุโบสถวัดอมรินทราราม (หลวงพ่อโบสถ์น้อย) ปากคลองบางกอกน้อย สถานีรถไฟธนบุรี สอบถามได้ที่ โทร. 0-2411-0576

ส่วนที่วัดเทพธิดาราม มีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ ในวันที่ 26 มิถุนายน เป็นประจำทุกปี ซึ่งปีนี้มีการจัดกิจกรรมต่างๆมากมาย ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้


อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ทำไม ?? อนุสาวรีย์ "สุนทรภู่" ตั้งอยู่ที่ระยอง
เที่ยว "วัดเทพธิดาราม" ชมความงามศิลปะสมัย ร.3
กำลังโหลดความคิดเห็น