ฟาร์มโชคชัยต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยว ผุดโครงการ ฟาร์มโชคชัยบูติกแคมป์ เต๊นท์ติดแอร์ เจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการพักผ่อนแบบเน้นสร้างสมาธิ กลับสู่วิถีธรรมชาติ สร้างความต่างจากรีสอร์ทอื่น
นายโชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ฟาร์มโชคชัย กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า จากการที่บริษัทฯได้เปิด “โครงการท่องเที่ยวฟาร์มโชคชัย” (AGRO TOUR ) ซึ่งเป็นธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ฟาร์มโชคชัย ปากช่อง นครราชสีมา ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวและผู้คนทั่วไป จึงมีแผนที่จะต่อยอดธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกโดยการสร้างที่พักที่แตกต่างจากที่พักโครงการอื่นๆ คือ “ฟาร์มโชคชัย บูติก แคมป์”
โดยโครงการดังกล่าวนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ 200 ไร่ ในพื้นที่ของฟาร์มโชคชัยเอง ซึ่งเดิมทีเนื้อที่ผืนดังกล่าวเป็นสวนที่ปลูกต้นไม้มานานแล้ว ได้พัฒนาจัดสร้างเป็นที่พักแบบเต๊นท์จำนวน 50 เต๊นท์ขนาดใหญ่ติดแอร์ มี 2 เตียงต่อเต๊นท์ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น แต่ในเต๊นท์ที่พักจะไม่มีวิทยุกับโทรทัศน์ ซึ่งจะตอกย้ำคอนเซ็ปท์ของการเน้นสร้างสมาธิได้
“รูปแบบของโครงการ ฟาร์มโชคชัย บูติก แคมป์ จะมีความกลมกลืนกับฟาร์มโชคชัยและสภาพแวดล้อมแตกต่างจากโครงการที่พักอื่นๆ เนื่องจากต้องการเน้นความเป็นธรรมชาติและเน้นการพักผ่อนแบบมีสมาธิ เราไม่สร้างที่พักที่เป็นอาคารสูงหรือรีสอร์ทหรูๆ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนกันหมด ไม่ต่างกัน ไม่มีจุดเด่น และตั้งใจให้โครงการนี้เป็นเหมือนสถานที่แบบ องค์กรแห่งการเรียนรู้ส่วนหนึ่งด้วย
กลุ่มเป้าหมายเริ่มแรกนี้จะเน้นไปที่กลุ่มสัมมนา ประชุม ต่างๆ และต่อไปจึงจะขยายไปสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปหรือ เอฟไอที ที่จะเริ่มเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมปีนี้ โดยกลุ่มสัมมนากลุ่มแรกนี้ได้ร่วมมือกับอาจารย์ กฤษณ์ รุยาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย แปซิฟิก อินโดนเวชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด หรือเอพีไอซี(APIC) ซึ่งเป็นสถาบันทางด้านการจัดอบรม สัมมนาต่างๆ ให้กับผู้บริหารระดับสูงขององค์กร จะเข้าร่วมประชุมสัมมนาและพักในโครงการในวันที่ 16-17 กรกฎาคมศกนี้
การคิดราคาค่าเข้าใช้บริการที่พักนั้น ถ้าเป็นแบบกลุ่มสัมมนาจะมีหลายราคาแล้วแต่รูปแบบการประชุมสัมมนา ประมาณครั้งละ 3 วัน 2 คืน ส่วนอีกกลุ่มคือ เอฟไอที คิดราคา 3,700 บาทต่อคนต่อ 2 วัน 1 คืน
สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตร เปิดมาตั้งแต่ปี 2543 โดยเปิดให้ท่องเที่ยวในพื้นที่ประมาณ 3,000 ไร่ ปัจจุบันมีผู้เข้ามาเที่ยวมากกว่า 200,000 คนต่อปีแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนไทย กลุ่มครอบครัวมากกว่าต่างประเทศ โดยทำการตลาดผ่านทางช่องทางร้านอาหารของกลุ่มบริษัท และติดต่อกับบริษัททัวร์ต่างๆ
โดยขณะนี้ได้เพิ่มจำนวนรอบการเข้าชมเพราะจะได้สามารถรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวได้พอดี โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 14 รอบต่อวันรอบละประมาณ 80 คน จากเดิมที่มีเพียง 10 รอบต่อวันเท่านั้น ซึ่งแต่ละรอบจะใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง และได้มีการเพิ่มสถานที่ดูและการแสดงใหม่ๆตลอดเวลาเพื่อเป็นการสร้างความแปลกใหม่และดึงดูดความต้องการมากขึ้นด้วยคือ เริ่มตั้งแต่การดูโรงรีดนม โรงผลิตนม โรงคาวบอย และการชมโชว์ต่างๆเช่น สุนัขต้อนแกะ สวนสัตว์เปิด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงปีที่แล้วได้ปรับค่าบัตรเข้าชมจากเดิมผู้ใหญ่ 180 บาทเป็น 200 บาท และเด็กจากราคาเดิม 150 บาทเป็น 180 บาท