โดย : ปิ่น บุตรี

โลก...
ครั้นรัตติกาลย่างกรายมาเยี่ยมเยียน “มาเก๊า” เมืองแห่งการพนัน ใช่จะมีเพียงแสงสีและความคึกคักของบ่อนกาสิโน แต่ว่ายามราตรีที่มาเก๊านั้นยังมีความคึกคักของร้านเหล้า ดิสโกเธค รวมไปถึงความคึกคักของเหล่าผีเสื้อราตรีโสเภณีกลางคืนที่ติดปีกบินออกจับเหยื่อหรือไม่ก็ให้เหยื่อจับ
สำหรับคนไทยกลุ่มหนึ่งในมาเก๊า โดยเฉพาะกลุ่มอดีตนักมวยไทยที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำมาหากินด้วยการเป็นการ์ดอยู่ที่นั่น พอย่ำยามราตรีย่างกรายมาเยี่ยมเยือนก็เป็นอันได้เวลาออกทำหน้าที่ของพวกเขาอีกครั้ง มีทั้งพวกที่ไปเป็นการ์ดคุมร้านเหล้า ผับ บาร์ การ์ดคุมบ่อนกาสิโน การ์ดคุมดิสโก้เธค และพวกบอดี้การ์ดที่คอยพิทักษ์เศรษฐี เจ้าพ่อ มาเฟีย ซึ่งชีวิตของพวกเขาเหล่านี้นอกจากจะโลดโผนแล้วยังเป็นชีวิตที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อการเลือดตกยางออกไม่น้อย
แต่ก็อย่างว่าเสี่ยงตายที่มาเก๊า ยังไงๆมันก็ดีกว่าอดตายอยู่ที่เมืองไทย ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีนักมวยไทยเดินทางมาเป็นการ์ดที่มาเก๊ากันหลายสิบคน...
เหล้า...
มาเก๊า ในคืนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ณ ร้านเหล้าร้านหนึ่งแห่งย่านหว่องฉิ่ว
ผมได้มีโอกาสรู้จักกับอดีตนักมวยไทยชื่อดัง 2 คนที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำอาชีพการ์ดอยู่ที่นั่นโดยบังเอิญ หนึ่งนั้นคือ“เชอรี่ ส.วานิช”หรือ “พี่รี่” การ์ดนักมวยไทยรุ่นบุกเบิกที่เดินทางไปเป็นการ์ดให้เศรษฐีผู้กว้างขวางคนหนึ่งในมาเก๊า ส่วนอีกหนึ่งคือ “เกษมเล็ก ควอลิตี้ยิม”หรือ “พี่เษม” นักมวยไทยรุ่นน้องที่ไปเป็นการ์ดคุมร้านเหล้าที่ย่านหว่องฉิ่ว โดยร้านนี้มี 2 สาวนักร้องที่หน้าตาน่ามองไม่น้อย
และเมื่อสุรานำพามิตรภาพของพวกเราให้แน่นแฟ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งพี่รี่และพี่เษมต่างก็เล่าประสบการณ์ชีวิตบางส่วนของการเป็นการ์ดในมาเก๊าให้ผมฟัง ครั้นเมื่อถึงเวลาอันควรพี่รี่ก็ชวนผมไปรู้จักกับอดีตนักมวยไทยหลายๆคน และพาไปสัมผัสกับชีวิตกลางคืนของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ย่านยี้มาโหล่ ย่านที่มีคนไทยอาศัยอยู่กันมาก
แต่ว่าก่อนจะไปที่นี้มาโหล่ พี่รี่พาผมไปยังดิสโกเธคแห่งหนึ่ง เพื่อแนะนำให้รู้จักกับ “เด็ดดวง ป.พงษ์สว่าง” หรือ พี่ ”เด็ดดวง” อดีตยอดมวยไทยรุ่นเล็กค่าตัวเรือนแสนที่เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกอาชีพการเป็นการ์ดในมาเก๊าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว พอเด็ดดวงมา อีกไม่นานเชอรี่ก็ตามมาบ้าง
สำหรับผมเคยดูพี่เด็ดดวงชกมวยไทยอยู่หลายไฟล์ เมื่อมาเจอตัวจริงที่เวลาผ่านมา 10 กว่าปี รู้สึกว่าพี่เด็ดดวงจะท้วมขึ้นเล็กน้อยตามวัยที่มากขึ้น แต่ว่าหุ่นเตี้ย ล่ำ ในสไตล์“มะขามข้อเดียว” อันเป็นเอกลักษณ์ของพี่เด็ดดวงนั้น ยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
และด้วยความที่พี่เด็ดดวงเป็นคนเตี้ยล่ำ ทำให้คนที่เห็นไม่ค่อยกลัวแก แต่ว่าพอพี่เด็ดดวงโชว์ลีลาแม่ไม้เพลงไทยเท่านั้นแหละ ทั้งฝรั่ง ทั้งจีนที่ตัวใหญ่กว่าต้องกระเจิงกันเป็นแถว
ครั้นพอพี่เด็ดดวงมาเป็นการ์ดคุมดิสโกเธค ก็ทำให้แกสบายขึ้น เพราะความสูงของเด็กที่มาเที่ยวนั้นไม่ต่างจากแกเท่าไหร่
“เมื่อมาเป็นการ์ดคุมเธค พี่ว่าพี่สบายกว่าพวกที่เป็นการ์ดคุมผับ บาร์ หรือการ์ดคุมบ่อนนะ เพราะพวกคนเที่ยวประเภทนั้นมันเป็นผู้ใหญ่ มีหมดทั้งนักเลง อันธพาล มาเฟีย หรือไม่ก็พวกฝรั่งตัวโตๆ ที่บางทีหาเรื่องเมาแล้วเบี้ยว ด้วยการป่วนร้าน เราตัวเตี้ยอย่างนี้เวลาเข้าไปเคลียร์ก็เหนื่อยหน่อย”
“แต่ว่าพอมาคุมเธค เจอแต่พวกเด็กๆก็เลยสบายหน่อย และพวกวัยรุ่นมาเก๊าที่มาเที่ยวเธคนี่ เวลาตีกันส่วนมากจะชกต่อยกัน หรือถ้ายกพวกตะลุมบอนกันก็ไม่เล่นกันถึงตายแบบเด็กช่างกลบ้านเรา และก็ไม่มีประเภทมึงรู้มั๊ยกูลูกใครเหมือนลูกนักการเมืองบางคน ”
“เวลาพวกวัยรุ่นต่อยกันไม่ว่าจะเมาหรือแย่งหญิงกัน พี่ก็จะกันคนอื่นไม่ให้ไปเกี่ยวและระวังไม่ให้ข้าวของเสียหายแล้วปล่อยให้เขาต่อยกันสักพัก จากนั้นถึงเข้าไปลากตัวออกไปข้างนอก ส่วนถ้าออกไปแล้วอยากจะต่อยกันต่อก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยวแล้วแต่ว่าอย่ามาต่อยกันในเธคของเรา แต่ก็มีที่พอเราเข้าไปห้ามเข้าไปเคลียร์ เห็นเราตัวพอๆกับมันก็เลยหันมาจะมีเรื่องกับเราแทน นั่นแหละที่พี่ต้องใช้เชิงมวยไทย คือต่อยเข้าจุดโฟกัสเอาให้ร่วงเพื่อไม่ให้ยืดเยื้อและยังเป็นการปรามคนอื่นไปด้วย แต่ส่วนใหญ่พวกวัยรุ่นจะมีเรื่องกันเองมากกว่า”
พี่เด็ดดวงเล่าชีวิตบางส่วนของการเป็นการ์ดคุมเธคให้ผมฟัง ซึ่งเท่าที่ผมได้ไปสัมผัสเธคในมาเก๊ามานั้น รู้สึกว่าจะไม่แตกต่างกับบ้านเราเท่าไหร่ คือเป็นสถานที่อโคจรที่เต็มไปด้วย เหล้า ยา และลีลาเร่าร้อนของเหล่านักเต้นทั้งชายหญิง ที่หลายๆคนแสดงออกทางเซ็กอย่างชัดเจน แถมเด็กส่วนใหญ่อายุก็อยู่ในวันเรียนกันทั้งนั้น
ส่วนสิ่งที่เธคมาเก๊าต่างไปจากเธคบ้านเราในช่วงที่ไปเที่ยวก็คือเธคที่นี่เปิดกันยันเช้า และก็ไม่มีรัฐมนตรีไปคอยตามดมฉี่เหมือนบ้านเรา
ผมกับพี่เชอรี่สนทนากับพี่เด็ดดวงอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะเดินทางไปยังย่านยี้มาโหล่ โดยพี่เด็ดดวงบอกว่าเมื่อเลิกงานประมาณเกือบเช้าจะตามไปสมทบ...
น้ำมิตร...
“ยี้มาโหล่”เป็นย่านของคนไทยในมาเก๊าที่ถึงแม้ว่าผมจะไปยังย่านนี้ในช่วงดึก ที่บ้านเรือนและร้านรวงส่วนใหญ่ปิดกันเกือบหมดแล้ว แต่ว่าผมก็ได้พบกับความเป็นไทยในเมืองมาเก๊าอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ที่แม้ว่าจะปิดไปแล้ว แต่ว่าชื่อร้านและป้ายต่างๆนั้นเป็นภาษาไทยเด่นหรา รถเข็นขายอาหารแบบไทยๆที่มีทั้งไก่ย่าง ข้าวเหนียว ส้มตำ ปลาเผา ซึ่งยังมีอยู่ 2-3 เจ้าที่ยังเปิดขายให้คนกลางคืนอยู่
และที่ย่านยี้มาโหล่นี่เอง ในช่วงดึกๆของแทบทุกวันจะมีอดีตนักมวยไทยหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนหน้าตาไปพบปะสังสรรค์กันในหลากหลายรูปแบบ
บ้างก็ตั้งวงร่ำสุรานั่งพูดถึงเรื่องราวสารพัดสารเพในเมืองไทยตามข่าวสารที่ได้รับรู้จากมาเก๊า ตั้งแต่เรื่องฉาวของดารา ไปจนถึงเรื่องการโกงกินของนักการเมือง
บ้างก็นั่งล้อมวงเล่นไพ่ เขย่าไฮโลกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ใครเล่นได้สุดท้ายก็เป็นผู้จ่ายค่าเหล้า ค่าเบียร์ ค่ากับแกล้มในคืนนั้น ส่วนใครเสียถ้าไม่ยกก้นออกไปก็หยิบยืมเงินเพื่อนมาเล่นกันต่อได้ ซึ่งนักมวยไทยต่างยินดีที่จะเสียเงินในบ่อนมิตรภาพบ่อนนี้ แต่ไม่ยินยอมพร้อมใจในการไปเสียเงินในบ่อนกาสิโนบ่อนใหญ่ เพราะพวกเขาเพียงแค่เล่นกันอย่างขำขำ ได้เสียกันเพียงหลักสิบหลักร้อย มีการหยิบยืมและติดเงินกันเสมอ พอสิ้นเดือนใครได้เงินเยอะก็เป็นเจ้ามือเลี้ยงเหล้าไป
และนี่คือเรื่องราวที่พบได้ทั่วไปในร้านอาหารคนไทยบางร้านแห่งย่านยี้มาโหล่ นับเป็นเรื่องปกติสำหรับชีวิตกลางคืนของคนไทยในย่านนั้น
แต่สำหรับคืนนี้ ต่างไปจากปกติเพราะว่ามีคนแปลกหน้าแต่ว่าไม่แปลกแยกเพราะเป็นคนไทยด้วยกันอย่าง“ผม”เข้าไปร่วมเป็นหนึ่งในชุมชนคนหลังตี 2 ที่ร้านอาหาร“ลุงน้อย” ร้านที่พวกนักมวยไทยนิยมไปนั่งกันยามดึก
ร้านลุงน้อย แม้ว่าจะเป็นร้านห้องแถวเล็กๆ แต่ว่าก็มีความโดดเด่นตรงที่ร้านนี้มีอาหารไทยรสชาติไทยครบทุกภาคให้เลือกกิน แถมยังมีเมนูหายากอย่าง ไข่มดแดง ตำขนุน ให้เลือกกินอีกด้วย ส่วนสิ่งสำคัญที่ทำให้ร้านลุงน้อยมีนักมวยไทยไปลงกันแทบทุกคืนก็คือ ร้านลุงน้อยนั้นแปะได้ คือสามารถกินก่อนแล้วเอาเงินมาจ่ายทีหลังในสิ้นเดือนได้
สำหรับวิถีชีวิตของชุมชนคนกลางคืนที่ร้านลุงน้อยในคืนวันนั้นมีนักมวยตั้งวงไพ่ วงเหล้า และวงสนทนากันอยู่ 10 กว่าคน ซึ่งบรรยากาศของคืนวันนั้นก็เป็นคล้ายๆกับเช่นทุกวันดังที่ผมกล่าวมาข้างต้น แต่ว่าในคืนนี้มีความพิเศษตรงที่เมื่อมีอาคันตุกะคนไทยอย่าง “ผม”ไปเยือน ทำให้พวกเขาหลายๆคนเกิดความอยากกลับบ้านขึ้นมา
เพราะจะว่าไปแล้วการอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแม้ว่าจะมีเงินและน่าอยู่ขนาดไหน แต่ว่าพวกเหล่าอดีตนักมวยไทยส่วนใหญ่ที่เลือกไปใช้ชีวิตที่มาเก๊านั้น ต้องการเพียงแค่ไปทำงานหาเงิน ครั้นเมื่อแก่ตัวลงหรือหมดอายุขัยของอาชีพการ์ดก็คงจะมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง แล้ววันนั้นพวกเขาจะกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทยอีกครั้ง
เชอรี่ ส.วานิช วางแผนไว้ว่าเมื่อกลับเมืองไทยจะกลับไปแต่งเมีย แล้วเปิดบ่อนไก่ชน เพราะเป็นกีฬาที่เขาชอบมาก
เกษมเล็ก ควอลิตี้ยิม หากกลับเมืองไทยคงจะไปสืบทอดการทำสวนจากที่บ้าน
เด็ดดวง ป.พงษ์สว่าง ฝันอยากกลับไปเปิดร้านอาหารที่เมืองไทย
งานนี้ผมก็ได้แต่เอาใจช่วยให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง แต่กับเรื่องจริงที่ไม่ใช่ความฝันซึ่งผมได้พบเจอในมาเก๊าก็คือ มิตรภาพที่เหล่าอดีตนักมวยไทยหยิบยื่นให้ ซึ่งแม้ว่าเราจะรู้กันในระยะเวลาแค่คืนเดียว แต่ว่ามันก็เป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสีสัน มิตรภาพ และบรรยากาศแห่งความเป็นไทยในต่างแดนที่ยากจะลืมเลือน...
โลก...
ครั้นรัตติกาลย่างกรายมาเยี่ยมเยียน “มาเก๊า” เมืองแห่งการพนัน ใช่จะมีเพียงแสงสีและความคึกคักของบ่อนกาสิโน แต่ว่ายามราตรีที่มาเก๊านั้นยังมีความคึกคักของร้านเหล้า ดิสโกเธค รวมไปถึงความคึกคักของเหล่าผีเสื้อราตรีโสเภณีกลางคืนที่ติดปีกบินออกจับเหยื่อหรือไม่ก็ให้เหยื่อจับ
สำหรับคนไทยกลุ่มหนึ่งในมาเก๊า โดยเฉพาะกลุ่มอดีตนักมวยไทยที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำมาหากินด้วยการเป็นการ์ดอยู่ที่นั่น พอย่ำยามราตรีย่างกรายมาเยี่ยมเยือนก็เป็นอันได้เวลาออกทำหน้าที่ของพวกเขาอีกครั้ง มีทั้งพวกที่ไปเป็นการ์ดคุมร้านเหล้า ผับ บาร์ การ์ดคุมบ่อนกาสิโน การ์ดคุมดิสโก้เธค และพวกบอดี้การ์ดที่คอยพิทักษ์เศรษฐี เจ้าพ่อ มาเฟีย ซึ่งชีวิตของพวกเขาเหล่านี้นอกจากจะโลดโผนแล้วยังเป็นชีวิตที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อการเลือดตกยางออกไม่น้อย
แต่ก็อย่างว่าเสี่ยงตายที่มาเก๊า ยังไงๆมันก็ดีกว่าอดตายอยู่ที่เมืองไทย ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีนักมวยไทยเดินทางมาเป็นการ์ดที่มาเก๊ากันหลายสิบคน...
เหล้า...
มาเก๊า ในคืนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ณ ร้านเหล้าร้านหนึ่งแห่งย่านหว่องฉิ่ว
ผมได้มีโอกาสรู้จักกับอดีตนักมวยไทยชื่อดัง 2 คนที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำอาชีพการ์ดอยู่ที่นั่นโดยบังเอิญ หนึ่งนั้นคือ“เชอรี่ ส.วานิช”หรือ “พี่รี่” การ์ดนักมวยไทยรุ่นบุกเบิกที่เดินทางไปเป็นการ์ดให้เศรษฐีผู้กว้างขวางคนหนึ่งในมาเก๊า ส่วนอีกหนึ่งคือ “เกษมเล็ก ควอลิตี้ยิม”หรือ “พี่เษม” นักมวยไทยรุ่นน้องที่ไปเป็นการ์ดคุมร้านเหล้าที่ย่านหว่องฉิ่ว โดยร้านนี้มี 2 สาวนักร้องที่หน้าตาน่ามองไม่น้อย
และเมื่อสุรานำพามิตรภาพของพวกเราให้แน่นแฟ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งพี่รี่และพี่เษมต่างก็เล่าประสบการณ์ชีวิตบางส่วนของการเป็นการ์ดในมาเก๊าให้ผมฟัง ครั้นเมื่อถึงเวลาอันควรพี่รี่ก็ชวนผมไปรู้จักกับอดีตนักมวยไทยหลายๆคน และพาไปสัมผัสกับชีวิตกลางคืนของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ย่านยี้มาโหล่ ย่านที่มีคนไทยอาศัยอยู่กันมาก
แต่ว่าก่อนจะไปที่นี้มาโหล่ พี่รี่พาผมไปยังดิสโกเธคแห่งหนึ่ง เพื่อแนะนำให้รู้จักกับ “เด็ดดวง ป.พงษ์สว่าง” หรือ พี่ ”เด็ดดวง” อดีตยอดมวยไทยรุ่นเล็กค่าตัวเรือนแสนที่เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกอาชีพการเป็นการ์ดในมาเก๊าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว พอเด็ดดวงมา อีกไม่นานเชอรี่ก็ตามมาบ้าง
สำหรับผมเคยดูพี่เด็ดดวงชกมวยไทยอยู่หลายไฟล์ เมื่อมาเจอตัวจริงที่เวลาผ่านมา 10 กว่าปี รู้สึกว่าพี่เด็ดดวงจะท้วมขึ้นเล็กน้อยตามวัยที่มากขึ้น แต่ว่าหุ่นเตี้ย ล่ำ ในสไตล์“มะขามข้อเดียว” อันเป็นเอกลักษณ์ของพี่เด็ดดวงนั้น ยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
และด้วยความที่พี่เด็ดดวงเป็นคนเตี้ยล่ำ ทำให้คนที่เห็นไม่ค่อยกลัวแก แต่ว่าพอพี่เด็ดดวงโชว์ลีลาแม่ไม้เพลงไทยเท่านั้นแหละ ทั้งฝรั่ง ทั้งจีนที่ตัวใหญ่กว่าต้องกระเจิงกันเป็นแถว
ครั้นพอพี่เด็ดดวงมาเป็นการ์ดคุมดิสโกเธค ก็ทำให้แกสบายขึ้น เพราะความสูงของเด็กที่มาเที่ยวนั้นไม่ต่างจากแกเท่าไหร่
“เมื่อมาเป็นการ์ดคุมเธค พี่ว่าพี่สบายกว่าพวกที่เป็นการ์ดคุมผับ บาร์ หรือการ์ดคุมบ่อนนะ เพราะพวกคนเที่ยวประเภทนั้นมันเป็นผู้ใหญ่ มีหมดทั้งนักเลง อันธพาล มาเฟีย หรือไม่ก็พวกฝรั่งตัวโตๆ ที่บางทีหาเรื่องเมาแล้วเบี้ยว ด้วยการป่วนร้าน เราตัวเตี้ยอย่างนี้เวลาเข้าไปเคลียร์ก็เหนื่อยหน่อย”
“แต่ว่าพอมาคุมเธค เจอแต่พวกเด็กๆก็เลยสบายหน่อย และพวกวัยรุ่นมาเก๊าที่มาเที่ยวเธคนี่ เวลาตีกันส่วนมากจะชกต่อยกัน หรือถ้ายกพวกตะลุมบอนกันก็ไม่เล่นกันถึงตายแบบเด็กช่างกลบ้านเรา และก็ไม่มีประเภทมึงรู้มั๊ยกูลูกใครเหมือนลูกนักการเมืองบางคน ”
“เวลาพวกวัยรุ่นต่อยกันไม่ว่าจะเมาหรือแย่งหญิงกัน พี่ก็จะกันคนอื่นไม่ให้ไปเกี่ยวและระวังไม่ให้ข้าวของเสียหายแล้วปล่อยให้เขาต่อยกันสักพัก จากนั้นถึงเข้าไปลากตัวออกไปข้างนอก ส่วนถ้าออกไปแล้วอยากจะต่อยกันต่อก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยวแล้วแต่ว่าอย่ามาต่อยกันในเธคของเรา แต่ก็มีที่พอเราเข้าไปห้ามเข้าไปเคลียร์ เห็นเราตัวพอๆกับมันก็เลยหันมาจะมีเรื่องกับเราแทน นั่นแหละที่พี่ต้องใช้เชิงมวยไทย คือต่อยเข้าจุดโฟกัสเอาให้ร่วงเพื่อไม่ให้ยืดเยื้อและยังเป็นการปรามคนอื่นไปด้วย แต่ส่วนใหญ่พวกวัยรุ่นจะมีเรื่องกันเองมากกว่า”
พี่เด็ดดวงเล่าชีวิตบางส่วนของการเป็นการ์ดคุมเธคให้ผมฟัง ซึ่งเท่าที่ผมได้ไปสัมผัสเธคในมาเก๊ามานั้น รู้สึกว่าจะไม่แตกต่างกับบ้านเราเท่าไหร่ คือเป็นสถานที่อโคจรที่เต็มไปด้วย เหล้า ยา และลีลาเร่าร้อนของเหล่านักเต้นทั้งชายหญิง ที่หลายๆคนแสดงออกทางเซ็กอย่างชัดเจน แถมเด็กส่วนใหญ่อายุก็อยู่ในวันเรียนกันทั้งนั้น
ส่วนสิ่งที่เธคมาเก๊าต่างไปจากเธคบ้านเราในช่วงที่ไปเที่ยวก็คือเธคที่นี่เปิดกันยันเช้า และก็ไม่มีรัฐมนตรีไปคอยตามดมฉี่เหมือนบ้านเรา
ผมกับพี่เชอรี่สนทนากับพี่เด็ดดวงอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะเดินทางไปยังย่านยี้มาโหล่ โดยพี่เด็ดดวงบอกว่าเมื่อเลิกงานประมาณเกือบเช้าจะตามไปสมทบ...
น้ำมิตร...
“ยี้มาโหล่”เป็นย่านของคนไทยในมาเก๊าที่ถึงแม้ว่าผมจะไปยังย่านนี้ในช่วงดึก ที่บ้านเรือนและร้านรวงส่วนใหญ่ปิดกันเกือบหมดแล้ว แต่ว่าผมก็ได้พบกับความเป็นไทยในเมืองมาเก๊าอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ที่แม้ว่าจะปิดไปแล้ว แต่ว่าชื่อร้านและป้ายต่างๆนั้นเป็นภาษาไทยเด่นหรา รถเข็นขายอาหารแบบไทยๆที่มีทั้งไก่ย่าง ข้าวเหนียว ส้มตำ ปลาเผา ซึ่งยังมีอยู่ 2-3 เจ้าที่ยังเปิดขายให้คนกลางคืนอยู่
และที่ย่านยี้มาโหล่นี่เอง ในช่วงดึกๆของแทบทุกวันจะมีอดีตนักมวยไทยหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนหน้าตาไปพบปะสังสรรค์กันในหลากหลายรูปแบบ
บ้างก็ตั้งวงร่ำสุรานั่งพูดถึงเรื่องราวสารพัดสารเพในเมืองไทยตามข่าวสารที่ได้รับรู้จากมาเก๊า ตั้งแต่เรื่องฉาวของดารา ไปจนถึงเรื่องการโกงกินของนักการเมือง
บ้างก็นั่งล้อมวงเล่นไพ่ เขย่าไฮโลกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ใครเล่นได้สุดท้ายก็เป็นผู้จ่ายค่าเหล้า ค่าเบียร์ ค่ากับแกล้มในคืนนั้น ส่วนใครเสียถ้าไม่ยกก้นออกไปก็หยิบยืมเงินเพื่อนมาเล่นกันต่อได้ ซึ่งนักมวยไทยต่างยินดีที่จะเสียเงินในบ่อนมิตรภาพบ่อนนี้ แต่ไม่ยินยอมพร้อมใจในการไปเสียเงินในบ่อนกาสิโนบ่อนใหญ่ เพราะพวกเขาเพียงแค่เล่นกันอย่างขำขำ ได้เสียกันเพียงหลักสิบหลักร้อย มีการหยิบยืมและติดเงินกันเสมอ พอสิ้นเดือนใครได้เงินเยอะก็เป็นเจ้ามือเลี้ยงเหล้าไป
และนี่คือเรื่องราวที่พบได้ทั่วไปในร้านอาหารคนไทยบางร้านแห่งย่านยี้มาโหล่ นับเป็นเรื่องปกติสำหรับชีวิตกลางคืนของคนไทยในย่านนั้น
แต่สำหรับคืนนี้ ต่างไปจากปกติเพราะว่ามีคนแปลกหน้าแต่ว่าไม่แปลกแยกเพราะเป็นคนไทยด้วยกันอย่าง“ผม”เข้าไปร่วมเป็นหนึ่งในชุมชนคนหลังตี 2 ที่ร้านอาหาร“ลุงน้อย” ร้านที่พวกนักมวยไทยนิยมไปนั่งกันยามดึก
ร้านลุงน้อย แม้ว่าจะเป็นร้านห้องแถวเล็กๆ แต่ว่าก็มีความโดดเด่นตรงที่ร้านนี้มีอาหารไทยรสชาติไทยครบทุกภาคให้เลือกกิน แถมยังมีเมนูหายากอย่าง ไข่มดแดง ตำขนุน ให้เลือกกินอีกด้วย ส่วนสิ่งสำคัญที่ทำให้ร้านลุงน้อยมีนักมวยไทยไปลงกันแทบทุกคืนก็คือ ร้านลุงน้อยนั้นแปะได้ คือสามารถกินก่อนแล้วเอาเงินมาจ่ายทีหลังในสิ้นเดือนได้
สำหรับวิถีชีวิตของชุมชนคนกลางคืนที่ร้านลุงน้อยในคืนวันนั้นมีนักมวยตั้งวงไพ่ วงเหล้า และวงสนทนากันอยู่ 10 กว่าคน ซึ่งบรรยากาศของคืนวันนั้นก็เป็นคล้ายๆกับเช่นทุกวันดังที่ผมกล่าวมาข้างต้น แต่ว่าในคืนนี้มีความพิเศษตรงที่เมื่อมีอาคันตุกะคนไทยอย่าง “ผม”ไปเยือน ทำให้พวกเขาหลายๆคนเกิดความอยากกลับบ้านขึ้นมา
เพราะจะว่าไปแล้วการอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแม้ว่าจะมีเงินและน่าอยู่ขนาดไหน แต่ว่าพวกเหล่าอดีตนักมวยไทยส่วนใหญ่ที่เลือกไปใช้ชีวิตที่มาเก๊านั้น ต้องการเพียงแค่ไปทำงานหาเงิน ครั้นเมื่อแก่ตัวลงหรือหมดอายุขัยของอาชีพการ์ดก็คงจะมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง แล้ววันนั้นพวกเขาจะกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทยอีกครั้ง
เชอรี่ ส.วานิช วางแผนไว้ว่าเมื่อกลับเมืองไทยจะกลับไปแต่งเมีย แล้วเปิดบ่อนไก่ชน เพราะเป็นกีฬาที่เขาชอบมาก
เกษมเล็ก ควอลิตี้ยิม หากกลับเมืองไทยคงจะไปสืบทอดการทำสวนจากที่บ้าน
เด็ดดวง ป.พงษ์สว่าง ฝันอยากกลับไปเปิดร้านอาหารที่เมืองไทย
งานนี้ผมก็ได้แต่เอาใจช่วยให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง แต่กับเรื่องจริงที่ไม่ใช่ความฝันซึ่งผมได้พบเจอในมาเก๊าก็คือ มิตรภาพที่เหล่าอดีตนักมวยไทยหยิบยื่นให้ ซึ่งแม้ว่าเราจะรู้กันในระยะเวลาแค่คืนเดียว แต่ว่ามันก็เป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสีสัน มิตรภาพ และบรรยากาศแห่งความเป็นไทยในต่างแดนที่ยากจะลืมเลือน...