xs
xsm
sm
md
lg

คืนหนึ่งใน“มาเก๊า”กับ โลก เหล้า และน้ำมิตร(1)/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี

 
โลก...

แม้ผมจะรู้ว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดีที่สร้างความชิปหายให้กับใครมานักต่อนักแล้ว แต่ว่าเมื่อผมมีโอกาสได้ไปเยือน เมืองแห่งการพนันอันโด่งดังอย่าง ”มาเก๊า” ไอ้ความอยากรู้อยากเห็น และอยากสัมผัสในบรรยากาศของบ่อนกาสิโน หรือที่เรียกอย่างโก้หรูว่า“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” มันก็ทำให้ผมอดที่จะเดินสองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้าบ่อนกาสิโนไม่ได้(ส่วนจะเป็นกาสิโนที่ไหนผมขอสงวนนาม แต่บอกใบ้ให้ว่าเป็นกาสิโนแห่งใหม่ที่กำลังมาแรง)

ครั้นพอเดินเข้าบ่อน ไอ้ความอยากลอง อยากเสี่ยงโชค มันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องไปแลกชิปเพื่อลองเล่นไพ่บาคาร่ากับทางบ่อนดูสักตั้ง

ครั้นพอเล่นได้ ไอ้ความโลภอยากได้เงินเพิ่มมากขึ้น มันก็ทำให้ผมแทงหนักมือขึ้น แต่ด้วยความที่ผมไม่ใช่เซียนพนันอย่าง“เกาจิ้ง” (พระเอกหนังเรื่อง “คนตัดเซียน” ภาคแรกและภาคพิเศษ รับบทบาทโดย“โจวเหวิน ฟะ” ) สุดท้ายทางบ่อนกินชิปผมหมดตูด

ครั้นพอถูกบ่อนกินตังค์ไปจนกะเป๋าเบามันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องนั่งแท๊กซี่ตัวปลิวไปหาสุราดื่มที่ย่าน “หว่องฉิ่ว” (Wong Chiu)ซึ่งเป็นย่านร้านเหล้าย่านดังแห่งมาเก๊า เพื่อดับอารมณ์เสียดายที่ตอนเล่นได้กำไรตั้งเกือบ 3 เท่าของชิปที่แลกทำไมตัวเองถึงไม่ยอมเลิก

...แต่ก็อย่างว่านี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์โลกส่วนใหญ่ที่มักจะไม่รู้จักพอ...

เหล้า...

ในคืนนั้นที่ย่านหว่องฉิ่วผมเลือกนั่งร้านที่มีดนตรีสดๆเล่นให้ฟังกันแบบเต็มวง เพราะว่าชอบในน้ำเสียงและหน้าตา(ดี)ของสองสาวนักร้องนำของวงที่หน้าตาเหมือนคนไทยมากๆ หนึ่งนั้นผิวขาวอวบ อึ๋ม ส่วนอีกหนึ่งนั้นผิวคล้ำกว่า แต่ว่าเรือนร่างระหงสมส่วน ตาคมกลมโต

ยิ่งในคืนวันนั้นนักร้องสองสาวคู่หูดูโอเล่นใส่กระโปรงลายทหารสั้นจุ๊ดจู๋ พร้อมๆกับโชว์ลีลาการเต้นแบบสุดเหวี่ยง งานนี้บอกได้คำเดียวว่า ถ้าไม่เมาไม่เลิกรา และถ้าสองสาวยังไม่เลิกร้อง ผมก็ยังไม่ยอมออกจากร้าน

ระหว่างจิบเบียร์ไปดูสองสาวร้องเพลงไปอย่างเพลิดเพลินในอารมณ์ จู่ๆก็มีหนุ่มใหญ่แว่นหนาหน้าตาสไตล์จีนเดินเข้ามาถามในภาษาอังกฤษสำเนียงจีนว่า “สวัสดีครับ คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า?”

ครั้นพอผมตอบไปว่าใช่ พี่คนนั้นก็หันมาพูดไทยในสำเนียงจีนว่า ตัวเขานั้นเป็นเจ้าของร้านที่ผมไปนั่ง และเคยไปอยู่ที่เยาวราชมา 5 ปี มีชื่อเล่นแบบไทยๆว่า“เบิร์ด” รู้สึกดีใจมากที่เจอคนไทย

จากนั้นเราสองคนก็นั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งผมก็ได้ซักถามสิ่งที่ค้างคาใจไปว่า สองสาวนักร้องคู่หูดูโอนั้นเป็นคนไทยหรือเปล่า

“ไม่ใช่ เธอเป็นคนฟิลิปปินส์ทั้งคู่ แต่เดี๋ยวผมจะไปตามคนไทยในร้านมาแนะนำให้น้องได้รู้จัก”

จากนั้นพี่เบิร์ดก็เดินไปตามชายหนุ่มตัวเล็กหุ่นนักมวยที่หน้าตามองปราดเดียวก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นคนไทยมาแนะนำให้ผมรู้จักก่อนที่แกจะขอตัวเข้าไปดูแลร้าน โดยปล่อยให้เรา 2 คนนั่งจิบเบียร์คุยกันตามประสาคนไทยที่อยู่ไกลบ้าน

แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกัน แต่ว่าด้วยความที่เป็นคนไกลบ้านเหมือนกัน และเป็นคอสุราเหมือนกัน งานนี้มิตรภาพของเราเกิดขึ้นอย่างง่ายดายและรวดเร็ว โดยมีสุราเป็นตัวเชื่อม

...สุราไหลลงคอ ถ่ายทอดอารมณ์จากสายตา มิตรร่วมโต๊ะสุรา ไร้มารยาก็พาสุขใจ...

น้ำมิตร...

“พี่เษม” คือมิตรใหม่ที่ตัวจริงชื่อจริงของแกนั้นคือ “ภักดี วิเชียร” แต่เหตุที่มีคนมักเรียกแกว่า“เษม”หรือถ้าเป็นเพื่อนๆก็เรียกว่า“ไอ้เษม”นั้นมาจากชื่อฉายาที่แกใช้ชกมวยสมัยอยู่เมืองไทย ซึ่งก็คือ “เกษมเล็ก ควอลิตี้ยิม”นักมวยจากนครศรีธรรมราช ซึ่งตอนที่ชกมวยในเมืองไทยได้รับฉายาว่า “นักมวยวิชามาร” เนื่องจากว่ามีแท๊กติกและลูกเล่น แพรวพราวชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่งของเมืองไทย

แม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักมวยแม่เหล็กระดับเงินแสน แต่ว่าเกษมเล็กหรือที่ผมเรียกแกว่า“พี่เษม”เนื่องจากอาวุโสกว่า นั้น ก็จัดเป็นนักมวยระดับชั้นแนวหน้าของเมืองไทย เพราะพี่เษมเคยเป็นชกมวยมีดีกรีเป็นถึงแชมป์เปี้ยนมวยไทยเวทีราชดำเนินรุ่น 115 ปอนด์ ซึ่งเป็นนักชกในระดับเงินหมื่น ที่สามารถทำเงินได้หลายหมื่นบาทต่อเดือน

แต่ก็อย่างว่าชีวิตนักมวยนั้นเปรียบดังหมาล่าเนื้อ ที่พอแก่ตัวเข้าก็ดูไร้ค่าสำหรับเจ้าของค่าย

เมื่ออยู่เมืองไทยไร้งานหมดเงิน ไอ้ครั้นจะกลับบ้านไปทำสวนก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับทางบ้านเท่าไหร่ เพราะว่าทางบ้านมีคนทำกันอยู่แล้ว งานนี้พี่เษมจึงเลือกเดินทางมายังมาเก๊า ตามคำชวนของนักมวยรุ่นพี่ เพราะว่าในช่วงนั้นนักมวยไทยที่แขวนนวมไปแล้วนิยมเดินทางมาขุดทองที่มาเก๊ากันเป็นจำนวนไม่น้อย

“สมัยมาอยู่มาเก๊าใหม่ๆ ผมมาเป็นครูสอนมวยไทย แต่ก็อย่างว่าไอ้เรามันคนกินเหล้า ดูดบุหรี่ และก็ชอบเที่ยว แต่ว่าพอมาเป็นครูมวยที่นี่ มันมีข้อจำกัดหลายอย่าง เจ้านายเขาห้ามกินเหล้า สูบบุหรี่ ห้ามเรื่องผู้หญิง พี่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเรา ผมทนเป็นครูมวยไปประมาณ 2 ปี พอดีพี่รี่(เชอรี่ ส.วานิช อดีตนักมวยเงินแสนชื่อดัง)ที่เป็นนักมวยรุ่นพี่และเป็นนักมวยไทยผู้ร่วมมาบุกเบิกอาชีพบอดี้การ์ดในมาเก๊าชวนให้มาเป็นการ์ดคุมร้านเหล้าให้พี่ใหญ่ หรือพี่เบิร์ดเจ้าของร้านนี้นั่นแหละ”

สำหรับพี่ใหญ่หรือพี่เบิร์ดที่ผมรู้จักนั้นนับเป็นคนจีนที่เหล่านักมวยไทยที่ไปประกอบอาชีพในเมืองมาเก๊าต่างให้ความเคารพนับถือ เพราะว่าพี่ใหญ่นั้นเป็นผู้กว้างขวางที่คอยช่วยเหลือเหล่านักมวยไทยที่ไปอยู่มาเก๊าตลอด ทั้งช่วยเหลือเรื่องเงิน เรื่องหาที่พัก และช่วยหาอาชีพให้

ส่วนคนไทยที่เหล่านักมวยไทยนับถือก็เห็นจะหนีไม่พ้นเชอรี่ ส.วานิช หรือพี่รี่ของน้องๆ ที่นอกจากจะมาเป็นผู้ร่วมบุกเบิกให้นักมวยไทยมาทำอาชีพบอดี้การ์ดในมาเก๊าแล้ว ยังเป็นผู้ชักชวนนักมวยไทยรุ่นน้องๆที่เมื่อแขวนนวมแล้วไม่รู้ว่าจะไปทำอาชีพอะไรในเมืองไทยให้มาเป็นบอดี้การ์ดในมาเก๊า

“สมัยผมมาอยู่มาเก๊าใหม่ๆ คิดถึงบ้านมากๆ เราคุยกับใครไม่รู้เรื่องเลยส่วนเรื่องอาหารการกินก็ไม่ถูกปาก ไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยรู้ทาง แต่ว่าตอนนี้ชินแล้ว”

จากนั้นพี่เษมก็เล่าถึงเรื่องราวของการเป็นการ์ดคุมร้านเหล้าในมาเก๊าว่า ชีวิตในแต่ละวันจะทำงานประมาณ 7 ชั่วโมง ทำทุกวัน แต่ว่าหากไม่สบายหรือเมาแฮงก์หนักก็ขอลาหยุดได้ แต่ส่วนมากพี่เษมจะกินเพียงเมากรึ่ม ๆเพราะเวลาต้องต่อยตีกับลูกค้าจะได้มีความกล้า

“นานๆถึงจะมีลูกค้ามาเมาอาละวาด ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าฝรั่งเพราะมันถือว่ามันตัวโต มีทั้งที่เมาแล้วป่วนร้านอย่างขึ้นไปร้องเพลง ขึ้นไปลวนลามนักร้อง หาเรื่องกับบ๋อย นอกจากนี้ก็มีพวกพังข้าวของ หรือไม่ก็หาเรื่องกับโต๊ะข้างๆ”

“เมื่อมันเมามาอย่างนี้พี่ก็ต้องทำให้มันหยุดเมาด้วยการต่อยเข้าจุดโฟกัส งานนี้ต้องต่อยให้ร่วงอย่างเดียว เพราะหากมันไม่ร่วงมันสวนมา เราอาจเสร็จมันได้เพราะมันตัวใหญ่กว่า อย่างในครั้งนั้นมีฝรั่งตัวใหญ่มากมันเมาอาละวาด พอผมต่อยไอ้ฝรั่งคนนั้นไป มันไปมันไม่ร่วงแต่ว่ามันสร่างเมา ผมเลยต้องใช้เชิงมวยวิชามาร คือคว้าขวดที่อยู่ใกล้มือฟาดไอ้ฝรั่งตัวโตก่อน แต่มันยิ่งกลับเดินเข้าใส่ จนสุดท้ายเด็กในร้านเดินกรูกันเข้ามามันเลยหยุด ส่วนผมก็ต้องชิ่งออกจากร้านกลับไปก่อน แต่งานนี้ไม่ต้องห่วง เพราะวันรุ่นขึ้นพี่ใหญ่จะไปเคลียร์กับตำรวจให้“

“ที่มาเก๊ามันดีอยู่อย่างคือ พอมีเรื่องเขาไม่ทำกันจนตาย แต่จะทำกันแค่พอเจ็บตัว ส่วนวันรุ่งขึ้นก็เลิกแล้วกันไป ไม่มีอาฆาตเหมือนบ้านเรา”

พี่เษมเล่าถึงชีวิตที่โลดโผนพร้อมกระดกเบียร์ที่เหลืออยู่ก้นขวดเข้าปาก

“เอ้า เบียร์หมดซะแล้ว เดี๋ยวขอตัวไปหยิบเบียร์ในร้านมาเพิ่มก่อน ส่วนเรื่องค่าเบียร์ไม่มีปัญหาวันนี้พี่เลี้ยงเต็มที่ ไหนๆก็มาเที่ยวมาเก๊าแล้วยังไงก็ขอเจ้าถิ่นเป็นเจ้ามือ”

ว่าแล้วพี่เษมก็เดินหายเข้าไปในร้าน ส่วนสองสาวนักร้องนั้นเธอเลิกร้องเพลงไปตอนไหนผมไม่รู้ตัวเลย เพราะว่ามันแต่คุยกับพี่เษมเสียเพลิน แต่ว่าราตรีนี้ในเมืองมาเก๊ายังคงอีกยาวไกล เพราะเมื่อพี่เษมเดินกลับมาที่โต๊ะ แกไม่ได้มาพร้อมๆกับขวดเบียร์อย่างเดียว แต่ว่าแกได้พาพรรคพวกเพื่อนนักมวยคนไทยมาร่วมวงสัมนาและร่ำสุรากันอีก 2 คน

สำหรับมิตรใหม่ 2 คนนี้ นอกจากจะมานั่งพูดคุยถึงสีสันการชีวิตของนักมวยปลดระวางในมาเก๊าแล้ว ครืนนั้นพวกเขายังพาผมตะลุยชมสีสันราตรีของมาเก๊า และพาไปสัมผัสกับชีวิตราตรีของคนไทยกลุ่มหนึ่งในมาเก๊าที่ย่าน “ยี้มาโหล่” อันเป็นย่านคนไทยในมาเก๊า ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกันในตอนต่อไป...
กำลังโหลดความคิดเห็น