xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยวภาคเหนือตามรอย “พระแก้วมรกต”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม พระแก้วมรกต ถือได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองไทยมาช้านาน ดังมีใจความในเรื่อง ตำนานพระแก้วมรกต ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์สำหรับอาลักษณ์อ่านในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วันสวดมนต์เย็น พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล พิมพ์ในหนังสือ ตำนานพระแก้วมรกตฉบับสมบูรณ์ ของสำนักพิมพ์บรรณาคาร(พ.ศ.2504) กล่าวถึงพระราชพิธีตอนสถาปนาพระนครในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ความว่า...

...ชีพ่อพราหมณ์ ตั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียร แลสมโภชพระอารามกับทั้งพระนครถ้วนคำรบสามวันเป็นกำหนด จึงพระราชทานนามพระนครใหม่ให้ต้องกับพระนามพระพุทธรัตนปฏิมากรว่า กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทราอยุธยาบรมราชธานี เพราะเป็นที่เก็บรักษาพระมหามณีรัตนปฏิมากรองค์นี้ไว้เป็นเครื่องสิริสำหรับพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ผู้สร้างพระนครนี้...

ข้อความข้างต้นจึงมีความชัดเจนเกี่ยวกับความหมายของพระแก้วมรกต ในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการปกครองของสยามประเทศแห่งใหม่ ต่อจากกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี

แต่ทราบหรือไม่ว่าก่อนที่พระแก้วมรกตจะมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ที่กรุงเทพมหานครดังเช่นปัจจุบันนี้ พระแก้วมรกตได้เคยประดิษฐานตามวัดต่างๆ ในแถบภาคเหนือของประเทศไทยเรามาก่อน ซึ่งหากย้อนไปเมื่อหลายร้อยปี ขวานทองแห่งนี้ยังมิได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่หากเป็นแว่นแคว้นเขตแดนของเมืองต่างๆ

ด้วยเหตุนี้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”  จึงออกเดินทางตามเส้นทางที่พระแก้วมรกตเคยประดิษฐานอยู่ในภาคเหนือ เพื่อไปตามดูรอยพระแก้วมรกต ซึ่งนับว่าเป็นทริปที่มากไปด้วยสิริมงคลไม่น้อย

ย้อนตำนานพระแก้วฯ จากชมพูทวีปสู่สยามประเทศ

ประยุทธ ทองเพิ่ม มัคคุเทศก์จากบริษัทหนุ่ม-สาวทัวร์ หนึ่งในผู้รอบรู้เรื่องราวอดีตของพระแก้วมรกต ได้เท้าความถึงตำนานพระแก้วมรกตว่า ในปี พ.ศ.500 พระนาคเสนเถระ เมืองปาฏีบุตร (รัฐปัตนะ อินเดีย) เป็นผู้สร้างพระแก้วมรกต สถิตอยู่ได้ประมาณ 300 ปี ต่อมาในสมัยพระเจ้าสิริกิติกุมารเกิดสงครามกับพวกนอกศาสนา จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานไว้ที่เกาะลังกาประมาณ พ.ศ.800 และอยู่ที่เกาะลังกามาเป็นเวลานานถึง 200 ปี

“ต่อมาในปี พ.ศ.1000 พระเจ้าอนุรุทธมหาราช หรืออโนรธามังช่อ แห่งพุกาม ซึ่งมีพระเดชานุภาพมาก ได้ส่งพระเถระไปขอพระไตรปิฎกและพระแก้วมรกต โดยให้บรรทุกเรือสำเภามา แต่ระหว่างทางเกิดลมพัดแรงจึงถูกพายุพัดพาไปที่กัมพูชา ภายหลังพระเจ้าอนุรุทธมหาราชได้ส่งคนไปขอพระแก้วมรกตคืน แต่พระนารายณ์วงศ์แห่งกรุงกัมพูชาให้คืนมาแต่พระไตรปิฎก แต่ไม่คืนพระแก้วมรกตมาด้วย ต่อมาเกิดน้ำท่วมที่กัมพูชาจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาที่เมืองอินทปัฐ นครวัดและประดิษฐานเป็นเวลา 3 เดือนเศษ”

ในปี พ.ศ.1890 ได้มีผู้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาที่กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) และในช่วงสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งทรงครองราชย์ครั้งที่ 2 นั้นได้มีการปราบปรามสุโขทัยให้เป็นเมืองขึ้น ขณะนั้นเมืองวชิรปราการ กำแพงเพชร) ซึ่งเป็นหัวเมืองหนึ่งแห่งกรุงสุโขทัย จึงต้องตกเป็นของกรุงศรีอยุธยาด้วย

ซึ่งต่อมากรุงศรีอยุธยาได้ส่งขุนนางผู้ใหญ่คือพระยาญาณดิศไปปกครองเมืองกำแพงเพชร นางจันทร์ผู้เป็นมารดาของพระยาญาณดิศ ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย ซึ่งที่เมืองกำแพงเพชรนี้เองที่สันนิษฐานว่าได้ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร โดยด้านทิศเหนือของวัดสร้างติดกับบริเวณวังโบราณ (สระมน) วัดพระแก้วนี้จัดได้ว่าเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาโดยจะมีเฉพาะเขตพุทธาวาสเท่านั้น เช่นเดียวกับที่วัดมหาธาตุ สุโขทัยและวัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา

“เชื่อกันว่าเดิมนั้นพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ตอนหน้าสุดของวัด โดยจะมีฐานไพทีขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง ด้านบนมีฐานมณฑปย่อมุม แต่ปัจจุบันส่วนยอดได้หักพังหมดแล้ว ซึ่ง ณ ตรงนี้เองที่เชื่อกันว่าในอดีตเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและในตำนานพระพุทธสิหิงค์ได้กล่าวไว้ว่า พระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่เมืองกำแพงเพชรในสมัยพระยาญาณดิศเป็นเจ้าเมือง ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระญาติวงศ์กับกษัตริย์อยุธยา

ภายหลังพระยาญาณดิศ ได้มอบพระแก้วให้กับเจ้ามหาพรหม แห่งเมืองเชียงรายเมื่อปี พ.ศ.1979 ซึ่งในเวลานั้นเมืองเชียงรายเกิดความระส่ำระส่าย เจ้าเมืองเชียงรายหวังจะซ่อนพระแก้วมรกตให้พ้นจากสายตาของศัตรู จึงได้เอาปูนทาพร้อมลงรักปิดทอง นำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่วัดพระแก้ว ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่าวัดป่าเยี้ยะ” พี่ประยุทธให้ข้อมูลเพิ่ม

ฟ้าผ่าจนเจอพระแก้วฯ ที่เมืองเชียงราย

หลวงพี่สิริมงคโล พระลูกวัดพระแก้ว จ.เชียงรายได้ย้อนอดีตถึงความเป็นมาเมื่อครั้งพบพระแก้วมรกตว่า “มีเรื่องเล่าว่าวันนั้นท้องฟ้ามืดมิด ฟ้าร้องคำรามลั่นและแล้วเมื่อไม่มีใครคาดคิดก็เกิดอัสุนีบาต (ฟ้าผ่า) ที่องค์เจดีย์ พบพระแก้วพอกปูนจึงได้นำไปไว้ในวิหารเป็นเวลา 2 เดือน ระหว่างนั้นปูนเกิดกะเทาะออกที่พระนาสิก (จมูก) จึงได้ช่วยกันกะเทาะปูนออกทั้งองค์ พบว่าเป็นพระพุทธรูปแก้วทึบทั้งองค์ งดงามยิ่งนัก ชาวเมืองเชียงรายจึงได้ขนานนามวัดนี้ใหม่ว่า วัดพระแก้ว”

พระเจดีย์ที่พบพระแก้วมรกตนั้น เป็นเจดีย์ฐานย่อมุมแปดเหลี่ยม ถือได้ว่าเป็นลักษณะจำเพาะของศิลปะแบบล้านนา ภายหลังท่านเจ้าคุณพระพุทธวงศ์วิวัฒน์เป็นเจ้าอาวาส ได้ขออนุญาตกรมศิลปากรบูรณะตั้งแต่ปี พ.ศ 2495-2497 ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2535-2540 พระเทพรัตนมุนี เจ้าอาวาสวัดพระแก้วในปัจจุบันได้ขออนุญาติกรมศิลปากรหุ้มทองแผ่นทองแดง ลงรักปิดทองทั้งองค์ พระเจดีย์จึงได้กลับมางดงามดังเช่นเดิม

นอกจากนี้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”  ยังได้ทราบมาว่าในปัจจุบันวัดพระแก้วเชียงรายเป็นที่ประดิษฐานพระหยก ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2534 ในวาระที่สมเด็จพระศรีคนครินทรบรมราชชนนีมีพระชนมายุครบ 90 พรรษา ขนาดหน้าตักกว้าง 47.9 ซม. สูง 65.9 ซม.(มีขนาดเล็กกว่าพระแก้วมรกตเพียง 1 เซนติเมตร) โดยมีเศรษฐีชาวแคนาดาเป็นผู้บริจาคหยก ภายหลังจากที่ได้นำไปแกะสลักที่โรงงานหยกวาลินนานกู มหานครปักกิ่ง สาธาณรัฐประชาชนจีนแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2534 และจังหวัดเชียงรายได้ประกอบพิธีแห่เข้าเมืองเชียงรายในวันที่ 19 ตุลาคม 2534

เกิดเหตุให้ต้องประดิษฐานอยู่ ณ เมืองลำปาง

อาจารย์ศักดิ์ รัตนชัย นายกสมาคมเพื่อการรักษาสมบัติวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง รำลึกถึงเหตุการณ์คราพระแก้วมรกตไม่ยอมไปประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ ราวกับเรื่องราวเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานว่า “ในปีเดียวกันนั้นเองที่เจ้าสามฝั่งแกน แห่งเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบความจึงสั่งให้เมืองเชียงรายซึ่งในขณะนั้นเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเชียงใหม่ จึงมีคำสั่งให้อัญเชิญพระแก้วขึ้นหลังช้างเพื่อนำมาประดิษฐานที่เมืองเชียงใหม่

พอเดินทางมาถึงทางแยกที่จะไปเมืองลำปางหรือในอดีตคือเมืองเขลางค์นคร ช้างเชือกนั้นก็วิ่งตื่นไปทางเมืองลำปาง ไม่ว่าควาญช้างจะพยายามทำให้ช้างเดินทางมุ่งไปยังเมืองเชียงใหม่ยังไงก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ทำให้พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่ลำปาง ณ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ตั้งแต่ปี พ.ศ.1979-พ.ศ.2011 เป็นเวลาถึง 32 ปี ปูชนียสถานที่สำคัญในวัดคือองค์พระบรมธาตุดอนเต้า พระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และภายในวัดยังมีวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ที่มีอายุกว่าพันปีซึ่งเก่าแก่พอๆ กับวัดนี้เลยทีเดียว”

ย้ายจากลำปางสู่เมืองเชียงใหม่

"ผู้จัดการท่องเที่ยว" กำลังจินตนาการถึงเหตุการณ์ครั้งที่ช้างไม่ยอมเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่เพลินๆ พี่ประยุทธก็เล่าต่อว่า “ใน พ.ศ.2011 ในสมัยของพระเจ้าติโลกราชได้ครองเมืองเชียงใหม่ จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานที่ซุ้มจระนำซึ่งอยู่ในผนังด้านหลังของพระธาตุเจดีย์หลวง(ภายหลังในปี 2088 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จึงทำให้ยอดเจดีย์หักโค่นลงดังที่เห็นในปัจจุบัน) วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ จนถึงปี พ.ศ.2096 รวมระยะเวลาถึง 85 ปี”

ซึ่งในปัจจุบันวัดเจดีย์หลวงวรวิหารถือได้ว่าเป็นวัดหลวงที่มีความงดงามยิ่ง หน้าประตูทางเข้าวิหารมีบันไดนาคเลื้อยเป็นรูปมกรคลายนาค ใช้หางเกี่ยวกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตูวิหาร และในบริเวณวัดยังมีเสาอินทขิล หรือเสาหลักเมือง สร้างขึ้นเมื่อครั้งพ่อขุนเม็งรายมหาราช ในปี พ.ศ.1839 และในทุกๆ ปีแรม 12 ค่ำเดือน 8 (เหนือ) ประมาณเดือนพฤษภาคมจะมีประเพณี “เข้าอินทขิล” เป็นการฉลองหลักเมือง

พี่ประยุทธยังเสริมอีกว่า “มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบว่าที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหารนี้ เป็นวัดที่มีพระอุโบสถและพระวิหารรวมกัน เนื่องจากพระอุโบสถหลังเก่าทรุดโทรมและคับแคบ และพระวิหารนั้นใหญ่โตกว่า รองรับผู้คนได้มากกว่า แต่เนื่องจากเป็นวัดหลวงจะกระทำการสิ่งใดจะต้องขอพระราชทานอนุญาตจากพระมหากษัตริย์ก่อน ทางวัดฯ และกรมศิลปากรจึงได้ขอพระราชทานอนุญาตวิสุงคามสีมา คือการรวมเอาพระอุโบสถกับพระวิหารเข้าไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งหากใครได้เข้าไปในพระวิหารแล้วให้สังเกตใบเสมา 8 ใบที่อยู่บริเวณเสาให้ดี เพราะที่ตรงนั้นเปรียบได้กับเขตของพระอุโบสถในวิหาร”

ข้ามเขตแดนสู่เมืองหลวงพระบาง-เวียงจันทน์

ต่อมาในปี พ.ศ.2096 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ในสมัยนั้น ต้องไปปกครองเมืองหลวงพระบาง จึงได้นำพระแก้วมรกตไปด้วย เหตุน้องของพระเจ้าไชยเชษฐาชิงราชสมบัติกัน เสนาบดีกรุงศรีสัตนาคนหุตจึงเชิญกลับไปเมืองหลวงพระบางเพื่อระงับเหตุจลาจล จึงรับครองกรุงศรีสัตนาคนหุตอยู่ ณ เมืองหลวงพระบาง โดยนำไปประดิษฐานไว้ที่หอหลวงพระบาง

จนเวลาล่วงเลยมา 12 ปี พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีอำนาจขึ้น พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเห็นว่าตั้งอยู่ที่เมืองหลวงพระบางจะสู้ศึกมอญไม่ได้ จึงย้ายราชธานีไปตั้งอยู่ ณ เมืองเวียงจันทน์ พร้อมกันนั้นได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย โดยประดิษฐานที่หอพระแก้ว (ตรงข้ามวัดสระเกศ) เมืองเวียงจันทน์ในปี พ.ศ.2096-2322 รวมเวลายาวนานถึง 226 ปี

กลับคืนสู่สยามประเทศ

พอฟังเรื่องราวและผ่านการเดินทางมาเป็นระยะทางพอสมควรแล้ว “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เริ่มจะมองเห็นภาพและจินตนาการออกแล้วว่า ในสมัยก่อนนั้น การเกิดฟ้าผ่าและทำให้เกิดการพบเจอพระสำคัญที่ภายหลังถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธและคนไทยทั้งชาตินั้นยิ่งใหญ่เพียงไร แต่เรื่องราวยังไม่จบเท่านี้ เพราะในปี พ.ศ.2321 เมื่อรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี เกิดการสงครามขึ้นในระหว่างกรุงธนบุรีกับกรุงศรีสัตนาคนหุต

ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก(เจ้าพระยาจักรี) เสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้เป็นจอมพลขึ้นไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต เมื่อได้เมืองเวียงจันทน์แล้ว ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระบางลงมายังกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีทำการสมโภชแล้วประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณฯ กรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.2322-2327 เป็นเวลา 5 ปี

ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงสร้างกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อปีขาล พ.ศ.2325 แล้ว ได้โปรดให้สร้างพระอารามขึ้นในพระราชวัง เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ครั้นพอพระอุโบสถสร้างเสร็จ จึงโปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตแห่มาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันจันทร์ เดือน 4 ขึ้น 14 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ 2327 รวมเวลา 221 ปี


“มีเรื่องเล่ากันว่าหากใครกราบไหว้เพื่อขอให้พระแก้วมรกตดลบันดาลให้สมประสงค์นั้น จะต้องบนด้วยของสามสิ่ง คือข้าวเหนียว ปลาร้าหลนและไข่ต้ม เหตุเพราะมีความเชื่อว่าเป็นอาหารที่พระแก้วมรกตทรงโปรดปราน เนื่องจากทรงประดิษฐานอยู่ที่เวียงจันทน์และหลวงพระบางเป็นเวลานานนั่นเอง” พี่ประยุทธออกความเห็น

ตำนานการเดินทางของพระแก้วมรกตแม้จะเกิดขึ้นมาเป็นเวลากว่าสองพันปีแล้ว แต่เมื่อชนรุ่นหลังได้เดินทางตามเส้นทางดังกล่าว ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมแห่งแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และต่อพระพุทธศาสนาอย่างมากมายทีเดียว

*    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *   
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
พุทธลักษณะของพระแก้วมรกต 
ตัวอย่างรายการท่องเที่ยว “เยือนเมืองเหนือ...กราบรอยพระแก้วมรกต”
ย้อนรอยประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระแก้วมรกต

ที่พัก
ร้านอาหาร การเดินทาง
สอบถามรายละเอียดและการเดินทางของวัดที่พระแก้วมรกตเคยประดิษฐานอยู่ ได้ที่
ททท.ภาคเหนือ เขต 1 (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน) โทร.0-5324-8604,0-5324-8607,0-5324-1466
ททท.ภาคเหนือ เขต 2 โทร.(เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) โทร.0-5371-7433,0-5374-4674-5
ททท.ภาคเหนือ เขต 3 (พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์) โทร.0-5525-2743
ททท.ภาคเหนือ เขต 4 (ตาก พิจิตร กำแพงเพชร) โทร.0-5551-4341-3
 
กำลังโหลดความคิดเห็น