xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตต้องสู้ ของเด็กขายโปสการ์ดแห่ง“เขาพระวิหาร” / ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี

        "ที่นี่ไม่มีสนามเด็กเล่น มีแต่สนามเด็กจริงๆ
ที่นี่ไม่มีเด็กเล่นขายของ มีแต่เด็กขายของจริงๆ
เด็กขายภาพ(ถ่ายพื้นเมือง) ให้นักท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวซื้อความสงสารจากเด็กๆ
ที่นี่มีแต่ภาพการซื้อขาย

ซื้อไหมคะคุณ? ซื้อไหมครับบอง?
มิตรภาพอย่างดี ราคาถูกๆ"


บทกวีโดย “กุดจี่ : พรชัย แสนยะมูล”

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่รู้จักกับกวีรุ่นใหม่ อย่าง “กุดจี่” หรือ “พรชัย แสนยะมูล” แต่อย่างใด และก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คุณกุดจี่ได้พูดถึงเด็กขายโปสการ์ดที่ไหน แต่รู้ว่าเป็นเด็กขายโปสการ์ดในเขมรเพราะมีประโยค“ซื้อไหมครับบอง?”เป็นเครื่องการันตี เพราะคำว่า”บอง”ในภาษาเขมรก็คือคำว่า“พี่”ในภาษาไทยนั่นเอง

ซึ่งผมเดาว่ากวีบทนี้คุณกุดจี่น่าจะพูดถึงเด็กขายโปสการ์ดที่เสียมเรียบ เพราะว่าในช่วง 5 ปีหลังมานี่มีนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวชมความงามและความยิ่งใหญ่ของนครวัด นครธมกันเยอะมาก

แต่สำหรับผมเมื่ออ่านกวีบทนี้ของคุณกุดจี่แล้ว กลับนึกถึงหนูน้อย“สะไล นะ”เด็กขายโปสการ์ดที่เขาพระวิหาร ซึ่งผมรู้จักกับเธอครั้งแรกในการเที่ยวเขาพระวิหารครั้งแรกเช่นกัน...

1...

เหตุการณ์ที่ผมรู้จักกับหนูน้อยสะไล นะ ครั้งแรกผ่านมาเกือบ 4 ปีแล้ว แต่ว่าผมยังคงจำได้ดี

วันผมได้มีโอกาสเดินทางร่วมไปกับกรุ๊ปทัวร์เพื่อตระเวนเที่ยวตามจุดน่าสนใจในภาคอีสาน จากอุบลฯไปจนถึงศรีสะเกษ

แน่นอนว่า เขาพระวิหาร คือหนึ่งในไฮไลท์อันโดดเด่นประจำทริป

ครั้นพอรถบัสนำเที่ยวจอดแนบนิ่งยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

ไกด์นำเที่ยวได้เดินนำผมและเพื่อนร่วมทริปคนอื่นๆเดินฝ่าเปลวแดดที่ร้อนระยับข้ามจากฝั่งไทยเข้าไปฝั่งกัมพูชาเพื่อขึ้นสู่ “ปราสาทเขาพระวิหาร” โดยไกด์ได้กำชับว่าพยายามอย่าซื้อของจากเด็กๆที่มานำเสนอขายของ เพราะเกรงว่า เมื่อซื้อของเด็กคนหนึ่งแล้ว เด็กคนอื่นๆจะกรูเข้ามาเสนอขายของกันเพียบไปหมด

แต่ว่าผิดคาด!!!

เพราะในวันที่ผมขึ้นเขาพระวิหารครั้งแรกนั้น พวกเด็กๆขายของที่ระลึก อย่าง โปสการ์ด และเงินเขมร กลับไม่มามะรุมมะตุ้มตื้อขายของกันจนสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้นักท่องเที่ยว แต่ว่าส่วนใหญ่จะเดินเข้ามาเพื่อเสนอขายของ ซึ่งหากนักท่องเที่ยวบอกปฏิเสธไปพวกเด็กๆเหล่านั้นก็จะเบนเข็มไปขายนักท่องเที่ยวคนอื่นแทน(อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กๆพวกนี้ยังมือใหม่อยู่เลยตื้อไม่ค่อยเก่ง)

แต่ที่ผมเห็นอดอมยิ้มไม่ได้ก็คือ พวกเด็กๆเหล่าจะมีวิธีสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวได้อย่างยอดเยี่ยม คือเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวสูงวัย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวสตรีที่ดูท่าทางว่าจะเดินขึ้นเขาพระวิหารไม่ค่อยไหวเพราะทางเดินขึ้นเขาพระวิหารนั้นโหดเอาเรื่องเหมือนกันสำหรับผู้สูงอายุ เด็กๆพวกนี้ก็จะเดินเข้าไปช่วยประคับประคอง ช่วยกางร่มให้ ช่วยถือของ ช่วยจูงมือพาเดินจากจุดที่สูงชันเดินขึ้นลำบากไปจนถึงจุดที่เดินสบาย

โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะหยิบยื่นเงินทิปให้เป็นรางวัลตอบแทน ส่วนเด็กบางคนได้โชค 2 ชั้นคือได้ทั้งทิปและขายของที่ระลึกได้ แต่ก็มีบางคนที่ดวงซวยคือไม่ได้อะไรเลย แถมบางครั้งยังโดนนักท่องเที่ยวด่าเข้าให้อีกด้วย ซึ่งนี่ถือเป็นสนามชีวิตจริงของเด็กขายของที่ระลึกแห่งเขาพระวิหารที่เลือกเกิดไม่ได้

"ที่นี่ไม่มีสนามเด็กเล่น มีแต่สนามเด็กจริงๆ ที่นี่ไม่มีเด็กเล่นขายของ มีแต่เด็กขายของจริงๆ...

2...

...เด็กขายภาพ(ถ่ายพื้นเมือง) ให้นักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวซื้อความสงสารจากเด็กๆ...

ด้วยความสนใจในชีวิตของเด็กๆขายของที่ระลึก ทำให้ผมแอบเดินตามถ่ายรูปพวกเขา จนตัวเองเดินหลุดออกมาจากกรุ๊ปทัวร์แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

แต่ว่าผมก็ยังคอยยกกล้องแอบส่องถ่ายภาพของเด็กๆไปเรื่อย

ในขณะที่ผมเดินแอบถ่ายภาพคนอื่น ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งคะเนอายุประมาณ 6-7 ขวบ แอบเดินตามผมมาเช่นกันโดยที่ผมรู้ตัวแต่แกล้งทำเป็นว่าไม่เห็นอะไร

ครั้นพอเธอเผลอผมก็หันกล้องกลับไปแอบถ่ายหนูน้อยคนนั้น...แชะ แชะ จนในที่สุดเธอรู้ตัวเอาแถวเสานางเรียง แต่ว่าเธอก็ยังแอบเกินตามผมมา ซึ่งพอเธอเห็นผมหันกล้องไป ก็จะวิ่งดุ๊กๆเข้าไปยืนแอบหลังเสา พอผมออกเดินเธอก็จะค่อยๆย่องตามมา และเมื่อผมหันกลับเธอจะวิ่งเข้าแอบหลังเสานางเรียงอีก ซึ่งผมนึกมานึกไปมันคล้ายๆกับการสะกดรอยในหนังจีนกำลังภายในยังไงยังงั้น

สุดท้ายเมื่อผมเห็นว่ามันจะสุดทางเสานางเรียงซึ่งเธอไม่มีที่แอบแล้ว ผมจึงเรียกน้องหนูคนนั้นมาเพื่อขอซื้อโปสการ์ด และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพต่างวัยในเขาพระวิหาร...

3...

...ที่นี่มีแต่ภาพการซื้อขาย ซื้อไหมคะคุณ? ซื้อไหมครับบอง? มิตรภาพอย่างดี ราคาถูกๆ"

"สะไล นะ" คือชื่อของน้องหนูคนนั้น อาชีพของเธอก็คือขายโปสการ์ดให้กับนักท่องเที่ยว

"ซื้อมั๊ยคะ โปสการ์ดสวยๆ แผ่นละ 5 บาท ถ้าซื้อเป็นชุด 10 แผ่น 30 บาท" แม้ว่าสะไล นะ จะพูดไทยไม่ค่อยชัด แต่กับประโยคขายโปสการ์ดเธอพูดได้อย่างชัดเจนคล่องแคล่ว

สำหรับผมเมื่อแอบถ่ายรูปสะไล นะเสียหลายรูป เพื่อเป็นการคืนทุนผมจึงซื้อโปสการ์ดเธอมา 2 ชุด พร้อมๆกับถือโอกาสซักถามเรื่องราวของเธอไปในระหว่างที่เลือกรูป

สะไล นะ เป็นเด็กที่อยู่ในหมู่บ้านแถวนั้น(ห่างจากเขาพระวิหารหลายกิโลเมตรเหมือนกัน) มีพ่อเป็นทหารประจำอยู่ที่เขาพระวิหาร เรียนหนังสือที่ศาลาประถมศึกษาแถวนั้น ชั้น(ป.)อะไรนั้นไม่รู้ เพราะมีอยู่ป.เดียวคือเรียนเหมือนกันหมด โดยนักเรียนนั้นเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง เพราะต้องออกมาเร่ขายโปสการ์ดช่วยครอบครัวทำมาหากิน โดยรับมาจากพนมเปญชุดละ 80 บาท ขายชุดละ 100 บาท โดยวันไหนขายดี เธอจะนำเงินกำไรประมาณ 10-20 บาท ไปซื้อขนมถุง ลูกอม และขนมขบเคี้ยวกินให้หายอยาก

ส่วนที่ผมสงสัยก็คือว่า ทำไมเธอถึงแอบเดินตามผมมา

สะไล นะ ตอบตามประสาซื่อว่า ตอนแรกนึกว่าผมเป็นดาราเขมร แต่พอพูดไทยออกมาถึงได้รู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยวคนไทย

เจอคำตอบแบบนี้เล่นเอาผมหัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออกไปชั่วขณะ แต่ว่าหลังจากนั้นผมก็เดินลุยถั่วต่อไปยังปราสาทเขาประวิหารที่เห็นอยู่ไม่ไกลข้างหน้า

แต่ว่างานนี้น้องสะไล นะเธอกลับเดินตามไปด้วย ซึ่งผมก็ยังงงๆอยู่ว่าเธอเดินตามมาทำไมเพราะยังไงผมก็ไม่ใช่ดาราเขมรอย่างที่เธอเข้าใจผิด

ครั้นพอถามไปก็ได้คำตอบว่าวันนี้เธอขายโปสการ์ดได้ร้อยกว่าบาทแล้ว และผมก็เป็นลูกค้ารายใหญ่เธอจึงขันอาสาพาผมไปเที่ยวดูจุดที่น่าสนใจต่างๆในปราสาทเขาพระวิหารบ้าง จากนั้นเธอก็จะวิ่งนำหน้าไปหยุดตามซุ้มประตู ตามหน้าบัน หรือตามมุมต่างๆเพื่อให้ผมถ่ายรูป ที่ถือว่าเป็นมุมถ่ายรูปชั้นดีทีเดียว โดยสะไล นะบอกว่า จำมุมพวกนี้มาจากนักท่องเที่ยวฝรั่ง

นอกจากนี้เธอยังพาผมไปดูบางจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กัน เช่น หลุมเก็บลูกระเบิดที่ยังมีระเบิดอยู่ข้างใน พาไปไหว้พระในปราสาทเขาพระวิหารซึ่งหากว่าผมเดินคนเดียวจะไม่มีวันรู้ได้

และสุดท้ายเธอพาผมไปสมทบกับกรุ๊ปทัวร์ยังจุดชมวิว "เป้ยตาดี" ที่เป็นจุดสูงสุดของยอดเขา ก่อนที่เราจะแยกย้ายจากกันด้วยความรู้สึกดีๆ...

4...

1 ปีต่อมา ผมไปเที่ยวเขาพระวิหารอีกครั้ง และก็เหมือนเดิมคือผมได้เจอกับพวกเด็กเร่ขายของ ซึ่งหนึ่งปีผ่านไปเด็กพวกนี้ดูท่าทางขายของเก่งขึ้น บางคนมีลูกตื้อ มีลูกขอความสงสาร ส่วนราคาโปสการ์ดก็ขึ้นเป็นใบละ 10 บาท สะไล นะ อยู่ตรงไหนผมไม่เห็น

ครั้นเมื่อเอ่ยถามชื่อนี้ออกไป เพื่อนของเธอคนหนึ่งจึงวิ่งไปตามสะไล นะ ที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้นมาหาผม ซึ่งตอนแรกเธอจำผมไม่ได้ แต่พอคุยไปคุยมาเธอก็เริ่มนึกออก พร้อมกับบอกว่า

"อ๋อพี่ที่ดูคล้ายดารา(เขมร)นั่นเอง"

งานนี้สะไล นะ ทำเอาผมหัวร่อไม่ได้ ร่ำไห้ไม่ออกอีกเช่นเคย...

กำลังโหลดความคิดเห็น