xs
xsm
sm
md
lg

หลากเรื่องราว เล่าผ่าน "สนามหลวง"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง



ถ้าถามฉันเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้เข้ากรุง ว่ารู้จักที่ไหนของกรุงเทพฯมากที่สุด ฉันก็ต้องตอบแบบไม่ลังเลสงสัยเลยว่า "ฉันรู้จักสนามหลวงมากที่สุด"


อ้าว...ก็จะไม่ให้ฉันตอบว่าสนามหลวงได้อย่างไร ในเมื่อตั้งแต่เล็กจนโต นั่งดูโทรทัศน์ทีไร ฉันเป็นได้เห็นข่าวเหตุการณ์สำคัญๆ หรืองานอะไรต่อมิอะไรใหญ่ๆ โตๆ ก็มักจะจัดกันที่ท้องสนามหลวง ยิ่งโดยเฉพาะมองออกไปไกลๆ ด้านหลังก็เห็นแนวกำแพงวัดและยอดมุมบางส่วนของวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นภาพสวยงามที่จับตาและจับใจฉันเป็นที่สุด

นี่ยังไม่รวมกับเรื่องเล่าต่างๆ ที่เกี่ยวกับสนามหลวงที่ฉันได้ยินมา โดยเฉพาะช่วงใกล้จะเข้ากรุง มีคนบอกฉันว่าอย่าเผลอไปสนามหลวงตอนดึกๆ นะ ประเดี๋ยวจะได้เจอผีมะขาม เอ๊ะ !! ผีมะขาม คืออะไรหว่า...ฉันงงแต่ไม่กล้าถาม เอาไว้ให้ฉันเข้ากรุงแล้วไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเองดีกว่า....

แต่พอได้เข้ากรุง ฉันก็มุ่งหน้าทำงานงกๆ จนลืมเรื่องสนามหลวงและผีมะขามไปเสียสนิท กระทั่งเมื่อไม่นานที่ฉันได้ชะแว๊บแอบไปเที่ยวหาความรู้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสนามหลวงพอดิบพอดี นี่เองจึงทำให้ฉันนึกถึงสนามหลวงขึ้นมาอีกครั้ง

ฉันจึงหาโอกาสไปค้นคว้าเรื่องราวของสนามหลวงเมื่อครั้งอดีตว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งก็ทำให้ได้รู้อะไรดีๆ เพิ่มขึ้นอีกโข และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ ฉันจึงหาเลือกหาเวลาว่างๆ มาเดินเล่นที่สนามหลวง เพื่อมาสัมผัสและเห็นกับตาว่าบรรยากาศของสนามหลวง ณ ตอนนี้เป็นอย่างไร

ภาพที่ฉันได้เห็นคือ บนพื้นที่รูปทรงรีๆ ขนาด 74 ไร่ 63 ตารางวาของสนามหลวง มีผู้คนมากมายกระจายอยู่ทั่วทุกมุม แต่ละคนก็อยู่ในอากัปกิริยาและกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป จะมีใครรู้บ้างไหมหนอ ว่าที่เขากำลังยืนอยู่นี้ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานมาตั้งแต่ปี 2520

ไม่น่าเชื่อว่าผืนดินธรรมดาที่ไม่ธรรมดาแห่งนี้ จะมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย ที่นี่เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ฉันเปรียบเป็นเหมือนสมุดบันทึกเล่มใหญ่ๆ ที่ได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ของบ้านเมืองเอาไว้มากมาย

เพราะเท่าที่ฉันรู้ สนามหลวงนี้ก็มีมาพร้อมๆ ตั้งแต่เมื่อแรกสร้างกรุงเทพฯ คือเคยเป็นที่ทำนาของชาวบ้านมานับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

ในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในยามที่บ้านเมืองยังมีศึกสงครามอยู่เนืองๆ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ทำนาที่สนามหลวงอีกครั้ง เพื่อแสดงให้นานาประเทศเห็นว่าสยามมีความอุดมสมบูรณ์ มีไร่นาทั่วไป แม้จนใกล้ๆ พระบรมมหาราชวังก็ยังมี ทั้งยังเป็นกุศโลบายอ้อมๆ ให้เห็นด้วยว่าสยามได้เอาใจใส่ในการสะสมเสบียงอาหารไว้เป็นกำลังของบ้านเมืองถึงขนาดปลูกข้าวมาจนถึงกำแพงวังเลยทีเดียว

นอกจากจะใช้เป็นที่ทำนาแล้ว ในหน้าแล้งท้องทุ่งแห่งนี้ยังเป็นสถานที่สร้างพระเมรุมาศถวายพระเพลิง พระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระราชินีและบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ชาวบ้านจึงได้จึงเรียกติดปากว่า "ทุ่งพระเมรุ" จนเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริว่านามนี้ไม่เป็นมงคล จึงโปรดเกล้าฯ ให้เรียกใหม่ว่า "ท้องสนามหลวง" และในช่วงนี้ก็ไม่ได้มีการทำนาของชาวบ้านแล้ว แต่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ท้องสนามหลวงเป็นที่ทำนาหลวงประกอบพระราชพิธีพืชมงคลและพิรุณศาสตร์ รวมถึงใช้ในการประกอบพระราชพิธีมงคลต่างๆ

ถึงตรงนี้ ฉันก็นึกถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่บ้านฉันทันที ซึ่งคงจะกำลังลุ้นตัวโก่งว่าพระราชพิธีพืชมงคลในปีนี้พระโคจะเลือกกินอะไร เพราะสิ่งที่พระโคกินนั้นมีผลต่อความเชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของน้ำท่าและพืชผลเกษตรกรรมอยู่มาก เรื่องอย่างนี้ลูกหลานเกษตรกรอย่างฉันรู้ดี

นอกจากนี้ เท่าที่นึกได้ก็ยังมีงานสำคัญใหญ่ๆ ที่จัดที่สนามหลวงเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการสรงน้ำพระในวันสงกรานต์ การแข่งว่าวและกีฬาไทย การจัดงานวันแรงงาน งานวันสำคัญทางศาสนา ไปจนถึงการจัดงานพิเศษในโอกาสต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้มักจะหาเรื่องจัดกันอยู่บ่อยๆ

ระหว่างนึกถึงการจัดงานต่างๆ ฉันก็เปลี่ยนมุมไปนั่งรับลมเย็นๆ ที่ม้านั่งใต้ต้นมะขาม สักพักก็มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งมาเสนอขายอาหารนกพิราบ ฉันปฏิเสธ เพราะเห็นว่ามีคู่หนุ่มสาวที่อยู่ใกล้ๆ ได้อาสาซื้อและโปรยอาหารให้นกพิราบไปแล้ว

พอเห็นนกพิราบ ฉันก็ไม่รู้ว่าเจ้านกเหล่านี้มาอยู่คู่สนามหลวงตั้งแต่คราวไหน ใครเอามันมาปล่อย หรือมันอพยพมาจากที่ใด บางทีมันก็เป็นเหมือนสิ่งสวยงาม อย่างเวลาที่มันกระพือปีกบินขึ้นลงพร้อมๆ กัน แต่เวลาที่มันขี้เรี่ยราด และส่งกลิ่นเหม็นๆ ฉันว่าหลายๆ คนก็คงรำคาญมันเหมือนกัน

แต่สิ่งที่ฉันรู้แน่ๆ ก็คือว่า รอบๆ สนามหลวงนี้มีต้นมะขามทั้งหมด 365 ต้น และต้นมะขามเหล่านี้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ เพราะมีมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งภายหลังเสด็จกลับจากประพาสยุโรปครั้งแรก ได้ทรงโปรดฯ ให้ปลูกต้นมะขามไว้โดยรอบสนามหลวงเพื่อให้เกิดความร่มรื่นเหมือนถนนในต่างประเทศ

นี่คงจะช่วยคลายสงสัยของใครหลายๆ คนว่าทำไมสนามหลวงถึงมีแต่ต้นมะขามเยอะแยะไปหมด แต่จะยังคงอยู่ครบสมบูรณ์ดีทั้ง 365 ต้นหรือไม่นั้น ใครจะลงทุนเดินนับดูสักตั้งก็ได้

และถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ฉันขอฝากนับจำนวนหมอดูที่นั่งอยู่ใต้ต้นมะขามด้วยนะว่ามีกี่คน เพราะเห็นมีกันเยอะเหลือเกิน แค่ที่ฉันเดินผ่านก็มีไม่ต่ำกว่า 10 คนที่กวักมือเรียกให้ไปเป็นลูกค้า มีทั้งดูเวลาตกฟาก ดูไพ่ยิปซี ดูลายมือ และคงจะมีบางคนที่อาจจะดูลายเท้าด้วย ซึ่งสนนราคาดูหมอก็ไม่แพงมากนัก แต่หมอดูคนไหนจะแม่นขนาดไหนนั้น อันนี้ฉันก็ไม่รู้แฮะ

ฉันเดินตัดไปที่กลางท้องสนามหลวง และเหลียวมองรอบๆ เห็นภาพของผู้คนกับกิจกรรมตอนเย็นๆ ที่ยิ่งดูจะคึกคักขึ้น เด็กตัวเล็กๆ กำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน มีผู้สูงอายุหลายคนที่กำลังออกกำลังกายแบบวิ่งเหยาะๆ รอบสนาม ส่วนอีกมุมก็กลายเป็นสนามฟุตบอลย่อยๆ ของวัยรุ่นหลายกลุ่มซึ่งต่างก็ประชันฝีแข้งกันอย่างเต็มที่

นี่ถ้าหากมีใครได้รู้ว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 สนามหลวงแห่งนี้เคยเป็นทั้งสนามแข่งม้าและสนามกอล์ฟมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครนึกสนุกมาตีกอล์ฟแถวนี้หรือไม่ (ซึ่งหวังว่าคงไม่มีใครอุตริ คิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ นะ)

ฉันออกเดินไปเรื่อยๆ คราวนี้เห็นหลายคนกำลังปูเสื่อพลาสติกนั่งกินของกินที่สารพัดรถเข็นมีมาขายทั้งลูกชิ้น ผัดไทย ไข่นกกระทาทอด ส้มตำ ไส้กรอก และอีกหลายอย่าง ทำให้นึกขึ้นมาได้อีกอย่างว่า สนามหลวงนี้เคยเป็นตลาดนัดวันเสาร์-อาทิตย์ก่อนที่จะย้ายไปยังสวนจตุจักร

และถึงแม้ตลาดนัดจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ทุกวันนี้ก็ยังได้ภาพชีวิตของผู้คนมากมาย ที่ได้อาศัยพื้นที่ของสนามหลวงเป็นที่ทำมาหากินในสารพันรูปแบบอาชีพ อย่างที่บอกไปว่ามีตั้งแต่หมอดู พ่อค้าแม่ค้ารถเข็น แม้กระทั่งรับจ้างนวดแผนไทยที่มีให้บริการในตอนเย็นๆ ก็ยังมี

ไม่ใช่แค่แหล่งเป็นทำมาหากิน แต่สนามหลวงยังเป็นเหมือนแหล่งพักพิงให้กับคนที่ไม่มีบ้านจะอยู่ นี่เองจึงทำให้ภาพของสนามหลวงในยามค่ำคืนดูกลายเป็นสถานที่อันตรายและน่ากลัว เพราะไม่รู้ใครเป็นใคร มีทั้งดีและร้ายปะปน สีสันและความเป็นไปของสนามหลวงในตอนกลางวันและกลางคืนจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นึกๆ แล้วสนามหลวงก็ผ่านร้อนผ่านหนาว และมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเหตุการณ์สำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม ในหลายๆ ครั้ง ก็มีสนามหลวงมาเกี่ยวข้อง ไม่ว่ารัฐบาลอยากจัดงานใหญ่ระดับชาติ เอกชนอยากจัดงานเพื่อสังคม กลุ่มคนอยากรวมตัวชุมนุมเรียกร้อง หรือผู้คนที่อยากพักผ่อนทำกิจกรรมต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องนึกถึงสนามหลวงเป็นอันดับแรก

เรียกได้ว่าพื้นที่บริเวณแห่งนี้เป็นที่อเนกประสงค์ สมกับชื่อ "สนามหลวง" จริงๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น