โดย : ปิ่น บุตรี

ไหนๆผมก็เขียนเรื่องเกี่ยวกับการโบกเรือรบในการเที่ยวเกาะสิมิลันไปในตอนที่แล้ว ซึ่งผมถือว่าคือหนึ่งในสุดยอดแห่งประสบการณ์การเดินทาง
มาตอนนี้ก็ขอตามอารมณ์ในเรื่องของการโบกต่ออีกสักตอน เพราะหลังจากที่สามารถโบกเรือรบได้ ก็ทำให้ความมั่นใจในการโบกหรือการขออาศัยติดไปด้วยคนแบบฟรีๆมากขึ้น
หรือถ้าพูดกันตรงๆก็คือหน้าด้านมากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับการโบกอันน่าตื่นเต้นและลืมไม่ลงอีกครั้งหนึ่งในชีวิต!?!
........................................
เหตุการณ์หลังนี้มันเกิดขึ้นหลังจากผมที่ผมออกค่ายอาสาพัฒนาไปประมาณ 6 เดือน และหลังเหตุการณ์โบกเรือรบประมาณปีกว่าๆ โดยเรื่องราวของการออกค่ายฯนั้นผมได้เคยเขียนไปแล้วว่า สมัยเป็นนักศึกษาได้ไปออกค่ายสร้างสุขศาลา ที่หมู่บ้านโบอ่อง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่เป็นหมู่บ้านทุรกันดาร ประปา ไฟฟ้าไม่มี ไม่สามารถเข้าถึงทางบกได้ เพราะว่าอยู่ในทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม ทำให้ต้องไปทางน้ำคือการนั่งเรือเข้าไป ซึ่งนั่นก็เป็นการเดินทางสำหรับคนปกติทั่วไป
ช่วงที่ออกค่าย อาคารสุขศาลาที่ผมกับเพื่อนๆและชาวบ้านร่วมด้วยช่วยกันสร้างนั้นเสร็จไปประมาณ 80 %
เมื่อกลับมากรุงเทพฯชาวบ้านก็ได้สร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จแล้วทางผู้ใหญ่“ทู่” ผู้ใหญ่บ้านโบอ่องสมัยนั้น ก็ได้โทร.มาหาผมที่กรุงเทพฯว่า ทางสาธารณะสุขจังหวัดจะจัดพิธีเปิดสุขศาลาขึ้น มีการตัดริบบิ้นเปิดงาน มีนักข่าวท้องถิ่นมาทำข่าว มีการทำบุญ และมีการกินเลี้ยงกันพอหอมปากหอมคอ โดยทางสาธารณะสุขจังหวัดขอเชิญตัวแทนนักศึกษาที่มาออกค่ายฯสร้างสุขศาลามาร่วมงานด้วย
งานนี้เมื่อมีโอกาสโดดเรียนอย่างเป็นทางการ มีหรือที่ผมจะพลาด ว่าแล้วผมกับ “ไอ้บาน” เพื่อนคู่หูคู่เมา ที่ร่วมกันบุกเบิกค่ายตั้งกระบวนการออกเซอเวย์จนถึงพิธีปิดค่ายก็เดินทางสู่ อ.ทองผาภูมิทันที
สำหรับชื่อของไอ้บานนั้นไม่ใช่ชื่อเล่นจริงๆของเพื่อนผมคนนี้ แต่ว่าเป็นชื่อฉายาของมัน เพราะมันมีบางส่วนในร่างกายที่บานเป็นพิเศษ เพื่อนๆจึงพากันเรียกมันว่า “ไอ้บาน”ส่วนจะเป็นตรงไหนบานนั้นอย่าไปรู้เลย
สำหรับการเดินทางสู่หมู่บ้านโบอ่องครั้งนี้ก็เหมือนเช่นครั้งที่ผ่านๆมานั่งรถไปเมืองกาญจน์ แล้วต่อไปยัง อ.ทองผาภูมิ ไปต่อยังท่าแพเขื่อนเขาแหลม เพื่อนั่งเรือหางยาวเข้าไปหมู่บ้านกับผู้ใหญ่ทู่
เมื่อถึงยังหมู่บ้าน ก็ให้รู้สึกประทับใจยิ่งนักเพราะเด็กๆเมื่อว่าผมกับไอ้บานมายังหมู่บ้าน พอเลิกเรียนก็รีบเดินทางมาหา มาพุดคุยเล่าเรื่องราวหลังที่พวกเรากลับไปจากทำค่ายว่าบ้านโบอ่องเป็นยังไงบ้าง นอกจากนี้ก็ยังมาร้องเพลงที่ผมเคยสอนไว้ตอนเข้าค่ายให้ฟัง ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านไปในตอนใกล้ค่ำ
รอบของเด็กผ่านไปทีนี้ก็ถึงรอบของผู้ใหญ่ที่พูดได้คำเดียวว่า “เมาอิ๊บอ๋าย” เพราะตอนแรกผม ไอ้บาน ก็ร่ำสุรา(ขาว)กับพี่ๆที่คุ้นเคยที่บ้านผู้ใหญ่ทู่ จนเหล้าบ้านผู้ใหญ่หมด(ประมาณเที่ยงคืนเห็นจะได้)
พี่อู๋ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการหมู่บ้านก็ชวนไปต่อที่บ้านแก งานนี้พอถึงบ้านพี่อู๋แล้ว เหตุการณ์ระหว่างไอ้บานกับพี่อู๋จะเป็นยังไงต่อไปผมมิอาจรู้ได้เพราะว่า “ผมหลับครับ” แต่รู้ว่าพอตื่นเช้าขึ้นมาก็ยังเห็น 2 คนนั่งโจ้เหล้าขาวกันอยู่ไม่แปรเปลี่ยน
ครั้นเมื่อถึงเวลาไปร่วมพิธีพวกเราทั้ง 3 คนก็อาบน้ำอาบท่าไปร่วมงานด้วยท่าทีที่ดูสะโหลสะเหล แต่ว่าก็ยังนิ่งอยู่ ไม่มีใครออกอาการแต่อย่างใด
สำหรับผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่ก็เป็นพวกหมอระดับบิ๊กๆในเมืองกาญจน์ โดยนั่งเรือของป่าไม้มา 1 ลำ ส่วนพวกวีไอพีก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์มารออยู่ล่วงหน้า
บรรยากาศการเปิดสุขศาลาเป็นไปด้วยดี ครั้นงานเสร็จสิ้น ผู้ใหญ่ก็ฝากผมกับไอ้บานให้ติดเรือกลับไปกับคณะหมอจังหวัด ส่วนพวกวีไอพีก็นั่ง ฮ.กลับตามเดิม
โดยขณะที่ใบพัด ฮ.เริ่มหมุนเพื่อเตรียมพร้อมขึ้น
ผมก็พูดขึ้นมาลอยๆกับผู้ใหญ่ทู่ว่า “นี่ถ้าได้นั่ง ฮ. กลับไปลงเมืองกาญจน์ก็จะดีไม่น้อย เพราะว่าจะได้รีบกลับกรุงเทพฯเพื่อไปอ่านหนังสือสอบ” ซึ่งก็เป็นการแย็บเล่นๆเหมือนเมื่อคราวโบกเรือรบ โดย 30 % ในคำพูดนั้นโกหก ส่วนอีก 70 % นั้นตอแหล
แต่ว่าก็ได้ผลแฮะ เมื่อน้องขอไปพี่ผู้ใหญ่ทู่ก็จัดให้ โดยแกรีบวิ่งไปที่ ฮ. พูดคุยกันอยู่แป๊บนึง แล้วจากนั้นแกก็โบกมือพร้อมกับตะโกนเรียกผมกับไอ้บานรีบวิ่งไปขึ้น ฮ.อย่างเร่งด่วน โดยมีคุณหมอวีไอพี 2 ท่านเสียสละลงจาก
“พี่ อยากนั่งเรือชมวิวมากกว่า พี่นั่ง ฮ. มาบ่อยแล้ว” 1 ใน 2 หมอ บอกกับผมอย่างนั้น ตอนแรกผมนึกว่าแกกัดฟันพูด แต่ที่ไหนได้พอขึ้น อ.ไปนี่รู้เลยว่าทำไมพี่ 2 หมอถึงมีท่าทียินดี
เพราะว่า ฮ.ที่ผมนั่งนั้นเป็น ฮ.ของป่าไม้(สมัยนั้นยังเป็นกรมอยู่) ที่โละสต๊อคมาจาก ฮ.ของทหารบก เรื่องความเก่านั้นไม่ต้องพูดถึง
ครั้นเมื่อขึ้น ฮ.ไป พวกเรา 2 คนได้นั่งคู่กันตรงประตู ที่พี่นักบินไม่ยอมปิด เพราะว่าอยากให้เราสัมผัสวิวแบบเต็มตา...เอากะแกสิ
พอ ฮ.ขึ้นบิน ช่วงแรกๆเครื่องก็สั่นพองามดี ส่วนเสียงนั้นดังในระดับน้องๆรถไฟนิดหน่อย แถมทิวทัศน์ที่เมื่อมองลงไปของเขื่อนเขาแหลมอันประกอบด้วย ทะเลสาบ ป่าไม้ และขุนเขาน้อย-ใหญ่ นั้นดูงามนัก
แต่พอบินไปสักพักเริ่มบินสูงขึ้น เครื่องเริ่มสั่นประมาณรถไฟ ยิ่งในช่วงบินปะทะลมนี่เครื่องสั่นกึกๆเลย บางทีก็วูบไป-มา เพราะตกหลุมอากาศ เมื่อหันหลังไปมองพวกหมอๆที่นั่งมาด้วยก็เห็นนั่งหลับกันหมด ส่วนพี่นักบินนั้นแกยังขับไปเรื่อยพร้อมกับบอกผมว่านี่คือเรื่องปกติ เพระว่า ฮ.เก่าก็ยังงี้แหละ...เอากะแกสิ
ในตอนนั้นผมก็เชื่อแกเพราะว่านี่คือการนั่งเครื่องบินครั้งแรกของผมกับไอ้บาน โดยคิดว่านั่งเครื่องบินมันคงต้องสั่นกึกๆอย่างนี้แหละ แต่ว่าพอโตขึ้นมามีโอกาสนั่งเครื่องบินโดยสารลำใหญ่ ถึงได้รู้ว่ามันคนละเรื่องกันเลย
จากอารมณ์เพริศแพร้วของการนั่ง ฮ.ในช่วงต้นจึงกลายเป็นอารมณ์ลุ้นมาเมื่อไหร่ ฮ.จะถึงจุดหมายเสียที เพราะงานนี้ต้องนั่งตัวเกร็งตัวสั่นประมาณเจ้าเข้าไปตลอด แถมลมยังตีหน้าจนผมปลิวกระจาย(สมัยนั้นพวกเรา 2 คนไว้ผมยาวตามสมัยนิยม)
จนเมื่อ ฮ.บินเข้าเขตเมือง ก็ให้รู้โล่งอก เพราะว่าใกล้จะลงจอดแล้ว แต่ว่ายังเพราะพี่นักบินบอกว่าอยากให้เราชมวิวเมืองกาญจน์และถ่ายรูปมุมสูงอย่างเต็มที่จึงพาเราไปบินวน ชมทิวทัศน์มุมสูงของตัวเมืองกาญจน์ สุสานทหาร แม่น้ำแคว และสะพานข้ามแม่น้ำแคว ถึง 2 รอบเต็มๆ...เอากะแกสิ
จนเมื่อ ฮ.ลงจอดที่เขตทหารผมค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ส่วนไอ้บานพอลงจาก ฮ. อ้วกแตกเลย
แต่กระนั้นพี่นักบินก็ยังชวนต่ออีกว่า เดี๋ยวแกต้องบินเข้ากรุงเทพฯเพื่อเอา ฮ.ลำนี้ไปซ่อม จะติด ฮ.ไปกรุงเทพฯด้วยกันมั๊ย...เอากะแกสิ แต่ว่าผมไม่เอากะแกหรอก!?!
เพราะผมเห็นอาการเมาเครื่องบินของไอ้บานแล้วคงไปไม่รอดแน่ๆ จึงปฏิเสธแกไปโดยยกเรื่องอ้วกของไอ้บานมาเป็นข้ออ้างที่ก็ดูเนียนอยู่ไม่น้อย แต่ว่าจริงๆแล้วต่อให้ไอ้บานไม่อ้วก เรา 2 คน ก็คงไม่ไปกับหรอก
ครั้นเมื่อร่ำลาพี่นักบินออกจากค่ายทหาร
ผมก็ให้เป็นห่วงว่า ถ้าบานมันยังคงเมา ฮ.อยู่อย่างนี้ มันจะนั่งรถกลับกรุงเทพฯไหวหรือ จึงได้ถามมันไปว่า “จะเอายังไง พักให้หายเมา ฮ.สัก 2-3 ชั่วโมงก่อนมั๊ยแล้วค่อยนั่งรถกลับกรุงเทพฯ”
ไอ้บานมันมองหน้าผมแบบยิ้มๆ พร้อมกับพูดว่า
“กูไม่ได้เมา ฮ. แต่ว่ากูเมาแฮงก์ว่ะ”
ไหนๆผมก็เขียนเรื่องเกี่ยวกับการโบกเรือรบในการเที่ยวเกาะสิมิลันไปในตอนที่แล้ว ซึ่งผมถือว่าคือหนึ่งในสุดยอดแห่งประสบการณ์การเดินทาง
มาตอนนี้ก็ขอตามอารมณ์ในเรื่องของการโบกต่ออีกสักตอน เพราะหลังจากที่สามารถโบกเรือรบได้ ก็ทำให้ความมั่นใจในการโบกหรือการขออาศัยติดไปด้วยคนแบบฟรีๆมากขึ้น
หรือถ้าพูดกันตรงๆก็คือหน้าด้านมากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับการโบกอันน่าตื่นเต้นและลืมไม่ลงอีกครั้งหนึ่งในชีวิต!?!
........................................
เหตุการณ์หลังนี้มันเกิดขึ้นหลังจากผมที่ผมออกค่ายอาสาพัฒนาไปประมาณ 6 เดือน และหลังเหตุการณ์โบกเรือรบประมาณปีกว่าๆ โดยเรื่องราวของการออกค่ายฯนั้นผมได้เคยเขียนไปแล้วว่า สมัยเป็นนักศึกษาได้ไปออกค่ายสร้างสุขศาลา ที่หมู่บ้านโบอ่อง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่เป็นหมู่บ้านทุรกันดาร ประปา ไฟฟ้าไม่มี ไม่สามารถเข้าถึงทางบกได้ เพราะว่าอยู่ในทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม ทำให้ต้องไปทางน้ำคือการนั่งเรือเข้าไป ซึ่งนั่นก็เป็นการเดินทางสำหรับคนปกติทั่วไป
ช่วงที่ออกค่าย อาคารสุขศาลาที่ผมกับเพื่อนๆและชาวบ้านร่วมด้วยช่วยกันสร้างนั้นเสร็จไปประมาณ 80 %
เมื่อกลับมากรุงเทพฯชาวบ้านก็ได้สร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จแล้วทางผู้ใหญ่“ทู่” ผู้ใหญ่บ้านโบอ่องสมัยนั้น ก็ได้โทร.มาหาผมที่กรุงเทพฯว่า ทางสาธารณะสุขจังหวัดจะจัดพิธีเปิดสุขศาลาขึ้น มีการตัดริบบิ้นเปิดงาน มีนักข่าวท้องถิ่นมาทำข่าว มีการทำบุญ และมีการกินเลี้ยงกันพอหอมปากหอมคอ โดยทางสาธารณะสุขจังหวัดขอเชิญตัวแทนนักศึกษาที่มาออกค่ายฯสร้างสุขศาลามาร่วมงานด้วย
งานนี้เมื่อมีโอกาสโดดเรียนอย่างเป็นทางการ มีหรือที่ผมจะพลาด ว่าแล้วผมกับ “ไอ้บาน” เพื่อนคู่หูคู่เมา ที่ร่วมกันบุกเบิกค่ายตั้งกระบวนการออกเซอเวย์จนถึงพิธีปิดค่ายก็เดินทางสู่ อ.ทองผาภูมิทันที
สำหรับชื่อของไอ้บานนั้นไม่ใช่ชื่อเล่นจริงๆของเพื่อนผมคนนี้ แต่ว่าเป็นชื่อฉายาของมัน เพราะมันมีบางส่วนในร่างกายที่บานเป็นพิเศษ เพื่อนๆจึงพากันเรียกมันว่า “ไอ้บาน”ส่วนจะเป็นตรงไหนบานนั้นอย่าไปรู้เลย
สำหรับการเดินทางสู่หมู่บ้านโบอ่องครั้งนี้ก็เหมือนเช่นครั้งที่ผ่านๆมานั่งรถไปเมืองกาญจน์ แล้วต่อไปยัง อ.ทองผาภูมิ ไปต่อยังท่าแพเขื่อนเขาแหลม เพื่อนั่งเรือหางยาวเข้าไปหมู่บ้านกับผู้ใหญ่ทู่
เมื่อถึงยังหมู่บ้าน ก็ให้รู้สึกประทับใจยิ่งนักเพราะเด็กๆเมื่อว่าผมกับไอ้บานมายังหมู่บ้าน พอเลิกเรียนก็รีบเดินทางมาหา มาพุดคุยเล่าเรื่องราวหลังที่พวกเรากลับไปจากทำค่ายว่าบ้านโบอ่องเป็นยังไงบ้าง นอกจากนี้ก็ยังมาร้องเพลงที่ผมเคยสอนไว้ตอนเข้าค่ายให้ฟัง ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านไปในตอนใกล้ค่ำ
รอบของเด็กผ่านไปทีนี้ก็ถึงรอบของผู้ใหญ่ที่พูดได้คำเดียวว่า “เมาอิ๊บอ๋าย” เพราะตอนแรกผม ไอ้บาน ก็ร่ำสุรา(ขาว)กับพี่ๆที่คุ้นเคยที่บ้านผู้ใหญ่ทู่ จนเหล้าบ้านผู้ใหญ่หมด(ประมาณเที่ยงคืนเห็นจะได้)
พี่อู๋ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการหมู่บ้านก็ชวนไปต่อที่บ้านแก งานนี้พอถึงบ้านพี่อู๋แล้ว เหตุการณ์ระหว่างไอ้บานกับพี่อู๋จะเป็นยังไงต่อไปผมมิอาจรู้ได้เพราะว่า “ผมหลับครับ” แต่รู้ว่าพอตื่นเช้าขึ้นมาก็ยังเห็น 2 คนนั่งโจ้เหล้าขาวกันอยู่ไม่แปรเปลี่ยน
ครั้นเมื่อถึงเวลาไปร่วมพิธีพวกเราทั้ง 3 คนก็อาบน้ำอาบท่าไปร่วมงานด้วยท่าทีที่ดูสะโหลสะเหล แต่ว่าก็ยังนิ่งอยู่ ไม่มีใครออกอาการแต่อย่างใด
สำหรับผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่ก็เป็นพวกหมอระดับบิ๊กๆในเมืองกาญจน์ โดยนั่งเรือของป่าไม้มา 1 ลำ ส่วนพวกวีไอพีก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์มารออยู่ล่วงหน้า
บรรยากาศการเปิดสุขศาลาเป็นไปด้วยดี ครั้นงานเสร็จสิ้น ผู้ใหญ่ก็ฝากผมกับไอ้บานให้ติดเรือกลับไปกับคณะหมอจังหวัด ส่วนพวกวีไอพีก็นั่ง ฮ.กลับตามเดิม
โดยขณะที่ใบพัด ฮ.เริ่มหมุนเพื่อเตรียมพร้อมขึ้น
ผมก็พูดขึ้นมาลอยๆกับผู้ใหญ่ทู่ว่า “นี่ถ้าได้นั่ง ฮ. กลับไปลงเมืองกาญจน์ก็จะดีไม่น้อย เพราะว่าจะได้รีบกลับกรุงเทพฯเพื่อไปอ่านหนังสือสอบ” ซึ่งก็เป็นการแย็บเล่นๆเหมือนเมื่อคราวโบกเรือรบ โดย 30 % ในคำพูดนั้นโกหก ส่วนอีก 70 % นั้นตอแหล
แต่ว่าก็ได้ผลแฮะ เมื่อน้องขอไปพี่ผู้ใหญ่ทู่ก็จัดให้ โดยแกรีบวิ่งไปที่ ฮ. พูดคุยกันอยู่แป๊บนึง แล้วจากนั้นแกก็โบกมือพร้อมกับตะโกนเรียกผมกับไอ้บานรีบวิ่งไปขึ้น ฮ.อย่างเร่งด่วน โดยมีคุณหมอวีไอพี 2 ท่านเสียสละลงจาก
“พี่ อยากนั่งเรือชมวิวมากกว่า พี่นั่ง ฮ. มาบ่อยแล้ว” 1 ใน 2 หมอ บอกกับผมอย่างนั้น ตอนแรกผมนึกว่าแกกัดฟันพูด แต่ที่ไหนได้พอขึ้น อ.ไปนี่รู้เลยว่าทำไมพี่ 2 หมอถึงมีท่าทียินดี
เพราะว่า ฮ.ที่ผมนั่งนั้นเป็น ฮ.ของป่าไม้(สมัยนั้นยังเป็นกรมอยู่) ที่โละสต๊อคมาจาก ฮ.ของทหารบก เรื่องความเก่านั้นไม่ต้องพูดถึง
ครั้นเมื่อขึ้น ฮ.ไป พวกเรา 2 คนได้นั่งคู่กันตรงประตู ที่พี่นักบินไม่ยอมปิด เพราะว่าอยากให้เราสัมผัสวิวแบบเต็มตา...เอากะแกสิ
พอ ฮ.ขึ้นบิน ช่วงแรกๆเครื่องก็สั่นพองามดี ส่วนเสียงนั้นดังในระดับน้องๆรถไฟนิดหน่อย แถมทิวทัศน์ที่เมื่อมองลงไปของเขื่อนเขาแหลมอันประกอบด้วย ทะเลสาบ ป่าไม้ และขุนเขาน้อย-ใหญ่ นั้นดูงามนัก
แต่พอบินไปสักพักเริ่มบินสูงขึ้น เครื่องเริ่มสั่นประมาณรถไฟ ยิ่งในช่วงบินปะทะลมนี่เครื่องสั่นกึกๆเลย บางทีก็วูบไป-มา เพราะตกหลุมอากาศ เมื่อหันหลังไปมองพวกหมอๆที่นั่งมาด้วยก็เห็นนั่งหลับกันหมด ส่วนพี่นักบินนั้นแกยังขับไปเรื่อยพร้อมกับบอกผมว่านี่คือเรื่องปกติ เพระว่า ฮ.เก่าก็ยังงี้แหละ...เอากะแกสิ
ในตอนนั้นผมก็เชื่อแกเพราะว่านี่คือการนั่งเครื่องบินครั้งแรกของผมกับไอ้บาน โดยคิดว่านั่งเครื่องบินมันคงต้องสั่นกึกๆอย่างนี้แหละ แต่ว่าพอโตขึ้นมามีโอกาสนั่งเครื่องบินโดยสารลำใหญ่ ถึงได้รู้ว่ามันคนละเรื่องกันเลย
จากอารมณ์เพริศแพร้วของการนั่ง ฮ.ในช่วงต้นจึงกลายเป็นอารมณ์ลุ้นมาเมื่อไหร่ ฮ.จะถึงจุดหมายเสียที เพราะงานนี้ต้องนั่งตัวเกร็งตัวสั่นประมาณเจ้าเข้าไปตลอด แถมลมยังตีหน้าจนผมปลิวกระจาย(สมัยนั้นพวกเรา 2 คนไว้ผมยาวตามสมัยนิยม)
จนเมื่อ ฮ.บินเข้าเขตเมือง ก็ให้รู้โล่งอก เพราะว่าใกล้จะลงจอดแล้ว แต่ว่ายังเพราะพี่นักบินบอกว่าอยากให้เราชมวิวเมืองกาญจน์และถ่ายรูปมุมสูงอย่างเต็มที่จึงพาเราไปบินวน ชมทิวทัศน์มุมสูงของตัวเมืองกาญจน์ สุสานทหาร แม่น้ำแคว และสะพานข้ามแม่น้ำแคว ถึง 2 รอบเต็มๆ...เอากะแกสิ
จนเมื่อ ฮ.ลงจอดที่เขตทหารผมค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ส่วนไอ้บานพอลงจาก ฮ. อ้วกแตกเลย
แต่กระนั้นพี่นักบินก็ยังชวนต่ออีกว่า เดี๋ยวแกต้องบินเข้ากรุงเทพฯเพื่อเอา ฮ.ลำนี้ไปซ่อม จะติด ฮ.ไปกรุงเทพฯด้วยกันมั๊ย...เอากะแกสิ แต่ว่าผมไม่เอากะแกหรอก!?!
เพราะผมเห็นอาการเมาเครื่องบินของไอ้บานแล้วคงไปไม่รอดแน่ๆ จึงปฏิเสธแกไปโดยยกเรื่องอ้วกของไอ้บานมาเป็นข้ออ้างที่ก็ดูเนียนอยู่ไม่น้อย แต่ว่าจริงๆแล้วต่อให้ไอ้บานไม่อ้วก เรา 2 คน ก็คงไม่ไปกับหรอก
ครั้นเมื่อร่ำลาพี่นักบินออกจากค่ายทหาร
ผมก็ให้เป็นห่วงว่า ถ้าบานมันยังคงเมา ฮ.อยู่อย่างนี้ มันจะนั่งรถกลับกรุงเทพฯไหวหรือ จึงได้ถามมันไปว่า “จะเอายังไง พักให้หายเมา ฮ.สัก 2-3 ชั่วโมงก่อนมั๊ยแล้วค่อยนั่งรถกลับกรุงเทพฯ”
ไอ้บานมันมองหน้าผมแบบยิ้มๆ พร้อมกับพูดว่า
“กูไม่ได้เมา ฮ. แต่ว่ากูเมาแฮงก์ว่ะ”