xs
xsm
sm
md
lg

"สล่า" โลกาภิวัตน์ปรับตัว แต่ไม่ขายตัว!?!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภาพพู่กันตวัดปลายสีที่บรรจงแต่งแต้มลงบนเฟรมภาพ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวของเมืองเชียงใหม่ แม้เหงื่อเม็ดเป้งๆจะผุดพรายขึ้นบนใบหน้าและตามเนื้อตัว แต่กระนั้นผู้บรรจงสร้างสรรค์งานศิลป์ก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไป

สีแล้วสีเล่า กับการตวัดพู่กันครั้งแล้วครั้งเล่าก่อให้เกิดเป็นเส้นสายสวยงามขึ้นมา ทั้งภาพต้นไม้ใบหญ้าและดอกทองกวาว เพียงแต่ย่อส่วนลงมาให้พอดีกับเฟรมภาพเท่านั้น

หลังจากวาดเสร็จ ผู้วาดก็ยื่นภาพให้กับลูกค้าที่ยืนรอด้วยเหงื่อที่ชุ่มไม่แพ้กัน ในขณะที่ผู้รับภาพก็ได้หยิบยื่นธนบัตรใบละร้อยหลายใบตอบแทนในงานศิลปะชิ้นนั้น โดยสีหน้าและแววตาของทั้งผู้วาดและผู้รับภาพต่างก็แฝงแววแห่งความสุขบนใบหน้าและแววตา

หากถามคนต่างถิ่นว่าอาชีพนี้คืออาชีพอะไร เชื่อว่าหลายต่อหลายคนต้องตอบว่า "จิตรกร" แต่ด้วยคำถามเดียวกันนี้ หากนำไปถามคนในดินแดนล้านนาในภาคเหนือ คำตอบที่ได้อาจไม่คุ้นหูคนภาคอื่นๆนัก แต่ชาวล้านนาจะอาชีพเช่นนี้กันจนติดปากว่า "สล่า"หรือแปลเป็นภาษากลางใกล้เคียงกับคำว่า "ช่าง"นั่นเอง

รู้จักสล่า ผู้สืบสานศิลปะล้านนา

"สล่า"นั้นมีประวัติความเป็นมายาวนาน โดยในสมัยที่จิตใจมีคุณค่ามากกว่าเงิน สล่าถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีคนนับหน้าถือตา ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 7 ประเภทใหญ่ๆ คือ งานแต่งแต้มจะเป็นสล่าที่วาดรูป งานแกะสลักซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแกะสลักไม้ งานปั้นดิน งานทอผ้า งานต้องสลุงก็คือการดุนโลหะ งานต้องกระดาษจะเป็นการตัดตุง ทำโคมในงานพิธีต่างๆ งานสานขัดคืองานจักสานประเภทต่างๆ

สำหรับสล่านั้นเมื่อมีชื่อเสียง อาทิ "สล่าแกะสลัก"หากแกะสลักไม้ได้งดงามวิจิตรตระการตา ก็จะเป็นที่ร่ำลือกระฉ่อนไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไป บางคนโด่งดังไปไกลถึงภูมิภาคอื่นๆ

"แต่ก่อนคุณปู่ผมเป็นหัวหน้าสล่าหรือเรียกง่ายๆว่าเป็นสล่าหลวงที่รับจ้างสร้างบ้าน หรือถ้าเป็นยุคนี้จะรู้จักในนามสถาปนิก ตอนเด็กๆก็ได้เห็นการทำงานของปู่มาตั้งแต่เด็กทำให้เกิดการซึมซับโดยไม่รู้ตัว ทำให้ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กพอโตขึ้นมาจนถึงวัยที่จะเรียนในระดับอุดมศึกษาก็เลยเลือกที่จะเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เรียนอยู่ 5 ปีจบออกมาได้วุฒิอนุปริญญา จากนั้นจึงเบนเข็มเข้ามาหางานทำที่กรุงเทพมหานครโดยยึดอาชีพช่างเขียนแบบและออกแบบบ้าน

"ผมทำงานในสายออกแบบเขียนแบบอยู่ 17 ปีจนมาถึงปีพ.ศ.2540 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ก็เลยตัดสินใจที่จะกลับมาอยู่บ้านเกิดที่อำเภอสารภี เชียงใหม่และใช้วิชาวาดภาพสีน้ำที่หาเวลาว่างไปร่ำเรียนมาวาดรูปขายหรือจะเรียกว่า ‘สล่าแต้ม’ก็ได้"

"สล่าตุ๊" หรือชื่ออย่างเป็นทางการตามบัตรประชาชนคือ "นายธนกร ไชยจินดา" เท้าความถึงการเริ่มต้นอาชีพในเส้นทางสล่าให้ฟัง

ในสมัยก่อนอาชีพสล่าส่วนใหญ่จะได้รับการสืบทอดฝีมือมาทางสายเลือด ซึ่งหากมีพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายเป็นสล่าอยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะสามารถซึมซับและได้รับการอบรมสั่งสอนในวิชาชีพนั้นมาโดยไม่รู้ตัว และส่วนใหญ่หากเด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นก็มักจะเลือกเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษที่ได้ปูทางไว้ให้ แต่ด้วยยุคสมัยที่ไม่เคยหยุดนิ่งทำให้สล่าในวันนี้ต้องปรับเปลี่ยนตนเองเพื่อให้สามารถเลี้ยงปากท้องได้

วิถีแห่งสล่าล้านนายุคใหม่

ณ วันนี้ พ.ศ.นี้ "สล่า"หลายแขนงต่างรวมตัวกันมาออก "บูธ"ใน "งานต๋ามฮีต โตยฮอย สล่าเมือง" ซึ่งจัดขึ้น ณ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการ "เปิดตัว"ของสล่าออกมาสู่โลกภายนอกให้ได้รู้จักและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

แต่เดิมสล่าส่วนใหญ่จะทำงานที่บ้านหรือสถานที่ต่างๆตามแต่จะว่าจ้าง แต่ปัจจุบันในยุคที่เข็มนาฬิกาปรับเปลี่ยนเป็นดิจิตอล ทำให้การรองานเข้ามาดูจะช้าเกินไปเสียแล้ว สล่าหลายคนจึงเร่งเปลี่ยนตัวเองตามกลไกตลาดคือต้องรู้จักมีช่องทางตลาด ต้องรู้จักสื่อสารกับลูกค้า และมีบางคนที่มีเวปไซด์เป็นของตัวเองเพื่อเผยแพร่ไปพร้อมๆกับการขายผลงานของตัวเอง

"การทำอาชีพสล่าในสมัยนี้ ก็มีรูปแบบไม่เหมือนกับในสมัยก่อน อย่างผมที่ทำอาชีพเป็นสล่าแต้มคือวาดรูปสีน้ำขายมาประมาณ 15 ปีแล้ว เมื่อก่อนก็ไม่ต้องออกมานั่งวาดรูปอย่างนี้หรอก ส่วนใหญ่จะทำงานที่บ้าน หากเป็นปัจจุบันนี้หากมัวแต่มานั่งวาดรูปอยู่บ้านแล้วรอให้ลูกค้าเดินทางมาดูภาพหรือมาซื้อผลงานที่บ้านก็ดูจะช้าไป ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองออกไปสู่สังคมมากขึ้น อย่างเวลามีงานหรือการจัดนิทรรศการอะไรที่ดูจะเกี่ยวข้องกับอาชีพของเรา เราก็ต้องไปออกงาน นั่งวาดรูปให้กับลูกค้าที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมีเว็บไซด์เป็นของตนเองซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะติดต่อกับลูกค้าและแสดงผลงานของเราให้ผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมได้

"แต่ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับที่รับได้ เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ทำงานที่รักและพอมีรายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัว แต่ก็มีหลายคนถามว่าสล่ากับศิลปินเหมือนหรือต่างกันตรงไหน โดยส่วนตัวผมเชื่อว่ามีเกียรติเท่ากัน แต่สังคมอาจมองว่าสล่าเป็นเพียงช่างฝีมือพื้นบ้าน แต่ศิลปินคือจิตรกรที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับมากกว่า แต่ถึงอย่างไรสล่าก็คือจุดเล็กๆในสังคมที่ช่วยสืบสานวัฒนธรรมพื้นบ้านให้ดำรงอยู่ได้และอาชีพอะไรก็ตามหากเราศึกษาให้แตกฉานและมีความเชี่ยวชาญ ผมว่ามันมีค่ามากกว่าเงิน"สล่าตุ๊กล่าวทิ้งท้าย

การเดินทางเข้าสู่อาชีพสล่าของสล่าตุ๊ไม่ได้แตกต่างอะไรจาก "แสงเดือน สารข้าวดำ" หรือ "สล่าแสงเดือน" ที่ในวันนี้เลือกเส้นทางเดินใหม่ให้ชีวิต จากที่เคยเปิดร้านขายไม้แกะสลักที่ไนท์บาซาร์ แต่วันนี้เปลี่ยนบทบาทเป็นช่างไม้หรือสล่าแกะสลักเสียเอง ด้วยความที่ซึมซับและเห็นที่บ้านแกะสลักไม้ตั้งแต่เด็ก พออายุล่วงเข้า 35 ปีจึงตัดสินใจเข้าเรียนในโรงเรียนสอนแกะสลักที่นำทีมสอนโดยอาจารย์คำอ้าย เดชดวงตา ยอดสล่าแห่งล้านนาอีกท่านหนึ่งที่มีฝีมือการแกะสลักไม้ไม่เป็นสองรองใคร

"ตอนนี้เริ่มเรียนมาได้ประมาณ 1 เดือนกว่าแล้ว เหลืออีกประมาณ 5 เดือนก็จะจบ ที่เลือกเรียนเพราะเราเห็นที่บ้านแกะสลักไม้มาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็ประกอบอาชีพค้าขายไม้แกะสลักอีก อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดคิดขึ้นมาได้ว่าทำไมไม่และสลักไม้ขายเสียเอง มั่นใจว่าทำได้อยู่แล้วเพราะเห็นมาตั้งแต่เด็กเพราะปู่ย่าตายายเป็นสล่าอยู่ที่อ.สันป่าตอง ของอย่างนี้มันซึมมาในสายเลือดโดยที่เราไม่รู้ตัว พอได้มาเรียนก็ชอบและคิดว่าจะยึดอาชีพสล่าต่อไปเพราะโดยส่วนตัวก็ถือได้ว่าเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งที่เราได้สืบทอดศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น

แต่ถ้าจะถามว่างานสมัยนี้กับงานสมัยก่อนอันไหนสวยกว่ากัน ตามความเห็นพี่ว่างานในสมัยปัจจุบันนี้มีลูกเล่นมากกว่า เพราะเราต้องตามความต้องการของลูกค้าให้ทันทำให้ต้องคิดลายใหม่ๆออกสู่ตลาดตลอดเวลา อย่างเช่นช้างเมื่อก่อนก็จะไม่ค่อยมีลวดลายเยอะ แต่เดี๋ยวนี้มีหมดทั้งช้างนั่ง ช้างยืนสองขา ช้างแม่ลูกเล่นกัน เรียกง่ายๆว่าได้จำลองอิริยาบถของช้างให้มีความหลากหลายขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าจะชอบ"สล่าแสงเดือนกล่าวก่อนที่จะลงมือขมักเขม้นแกะสลักไม้ต่อไป

เช่นเดียวกับ "สมจิตร์ ชัยตมล" ที่ในวันนี้ได้สืบทอดงานศิลป์ผ่านการเป็นสล่าแต้ม ซึ่งในแต่ละวันเขาจะบรรจงแต่งแต้มสีเซรามิกลงบนภาชนะเซรามิกรูปทรงต่างๆอย่างถ้วยโถโอชามให้มีลวดลายวิจิตรสวยงามเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบได้ซื้อหาไปตกแต่งบ้าน

"ตอนแรกก็ไม่คิดว่าตนเองจะยึดอาชีพสล่า แต่ความฝันคืออยากจะเป็นพ่อค้าทำอาชีพค้าขายไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เคยเปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วกิจการไปได้ไม่ดีนักก็เลยปิด ประกอบกับที่บ้านทำเซรามิกอยู่แล้วและตัวเองก็เห็นมาตั้งแต่จำความได้ แต่ตอนที่เริ่มวาดรูปลงภาชนะแรกๆก็ไม่ได้ไปร่ำไปเรียนอะไรที่ไหนหรอก อาศัยฝึกเอาเองพอซักระยะก็มีฝีมือพอใช้สามารถวาดรูปต่างๆได้ก็เลยยึดอาชีพสล่าแต้ม ถือว่าช่วยงานทางบ้านด้วย ส่วนใหญ่ลูกค้าจะชอบลายที่ออกแนวโบราณหรือเลียนแบบของเก่าหน่อย เช่น ลายปลา ลายดอกบัวรูปทรงต่างๆ ถ้าจะถามว่าเลี้ยงตัวได้ดีไหม ตอบได้เลยว่าได้ แต่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ถือว่าพอมีพอกินเท่านั้น"

สล่าสมจิตร์ เล่าที่มาที่ไปว่าทำไมถึงมาเลือกเดินในเส้นทางสายสล่า ก่อนที่จะเล่าเพิ่มเติมว่า คนเป็นสล่าในสมัยนี้ต้องปรับตัวหลายอย่าง แต่ก่อนนั่งรอลูกค้ามาจ้าง แต่เดี๋ยวนี้ต้องออกไปพบปะผู้คนข้างนอก ต้องไปออกงานต่างๆไปนั่งวาดรูปให้เขาดู ส่วนใหญ่เวลาที่สถานที่ไหนจะจัดงานก็จะมีการเชิญมา ไปไกลอย่างกรุงเทพฯก็ไป แต่ทั้งนี้จะต้องดูว่าเสียค่าเช่าที่รึเปล่า หากเสียก็ไม่อยากเสี่ยงเพราะงานอย่างนี้ขายไม่ค่อยได้มากมาย หากเสียค่าเช่าที่ก็แทบจะไม่เหลืออะไรเลย แต่ถ้าไม่เสียก็พอจะมีกำไรอยู่บ้าง

"เด็กสมัยนี้ก็มีคนสนใจมาเรียนเป็นสล่ากันพอสมควร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกๆหลานๆกันเองนี่แหล่ะ มาขอฝึกวาดรูปลงสี ก็ถือว่ามีความตั้งใจดีนะและสล่าส่วนใหญ่ที่เห็นจะไม่ค่อยมีใครหวงวิชาเท่าไหร่ สงสัยคิดได้ว่าหากไม่รีบสอนมีหวังอาชีพนี้เลือนหายไปจากสังคมล้านนาแน่ๆ"สล่าสมจิตร์กล่าวทิ้งท้าย

หากจะถามถึงลมหายใจแห่งอาชีพสล่า คำตอบที่ได้ดูจะเลือนรางนัก แต่เชื่อว่าในเส้นทางเดินแห่งอาชีพนี้ถึงแม้ไม่รุ่งโรจน์เฉกเช่นอดีต แต่ก็คงไม่ถึงกับเลือนหายไปตามกาลเวลา เพราะในวันนี้คนรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งได้สืบทอดความเป็นสล่าเอาไว้ พร้อมๆกับรักษาวัฒนธรรมที่ดีงามของชาวล้านนาไว้ ที่แม้ว่าจะต้องเหนื่อยหน่อยเพราะว่ากระแสตะวันตกในยุคโลกาภิวัตน์มันช่างรุนแรงเหลือเกิน แต่พวกเขาก็มีการปรับตัว ประยุกต์งานให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ซึ่งลมหายใจของสล่าก็คือส่วนหนึ่งของลมหายใจแห่งศิลปะล้านนา
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
โรงเรียนสล่าแกะสลักแห่งแรกของเมืองไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น