โดย : ปิ่น บุตรี

ในทะเลสาบเขื่อนเขาแหลมที่เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของความงดงามจากขุนเขา สายน้ำ และแมกไม้
เรือท้องแบนไฟเบอร์ลำย่อมกำลังพาผมและเพื่อนอีก 2 คน มุ่งหน้าจากท่าแพสู่หมู่บ้านโบอ่อง
ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สามในรอบปีที่ผมเดินทางสู่บ้านโบอ่อง ต.ปิล๊อค อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
ครั้งแรกผมมาสำรวจสถานที่ทำค่าย
ครั้งที่สองผมมาดูความพร้อมในการออกค่าย
ส่วนครั้งที่สามนี้นับว่ามีความพิเศษกว่าครั้งไหนๆตรงที่ผมเดินทางมาออกค่ายอาสาพัฒนาของจริง เพื่อสร้างสุขศาลา ให้กับหมู่บ้านโบอ่อง โดยมาอยู่ชั่วคราวที่บ้านโบอ่องครึ่งเดือน แถมยังไม่ได้มามือเปล่า แต่ว่าได้นำเอาเสบียง เสื้อผ้า อุปกรณ์ที่ใช้ในการออกค่าย และปูนซีเมนต์ที่ขอสปอนเซอร์ได้ 50 ลูก ล่วงหน้ามาก่อนเพื่อเตรียมความพร้อมหรือที่เรียกว่าชุดเตรียมค่ายซึ่งมีผู้ชายล้วนๆประมาณ 10 คน ก่อนที่เพื่อนชุดใหญ่จะตามมาสมทบเพื่อออกค่ายอาสาพัฒนาสร้างสุขศาลาให้กับหมู่บ้านในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา
เมื่อเรือมาเทียบท่าที่บ้านโบอ่อง เสบียง เสื้อผ้า รวมอุปกรณ์ออกค่าย ดูจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากเทียบกับปูน 50 ลูก ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีชาวโบอ่องมาช่วยกันแบกปูนขึ้นไปไว้ยังที่ตั้งค่าย แต่ว่าคนมาดแมนอย่างผมกับเพื่อนๆมีหรือที่จะปล่อยให้ชาวบ้านแบกปูนกันฝ่ายเดียว
ว่าแล้วพวกเรา(ชุดเตรียมค่าย)ต่างก็ขันอาสาไปแบกปูนกันทั่วหน้า และการแบกปูนนี่แหละทำให้เรารู้ซึ้งถึงสำนวน“เข็นครกขึ้นภูเขา” เพราะว่าปูน 1 ลูก หนัก 50 กิโลกรัม เดินแบกขึ้นเนินไปยังจุดตั้งค่ายแถวบ้านผู้ใหญ่ทู่ระทะทางกว่า 2 กิโลเมตร งานนี้พวกเราที่เป็นมือใหม่หัดแบก(ปูน)บอกได้คำเดียวว่า เที่ยวเดียวจอด
สำหรับผู้ชายประมาณ 10 คน ที่ไปเตรียมค่ายก่อนนั้นถือว่าเป็นแนวหน้าหน่วยกล้าตายที่เดินทางไปรับภารกิจอันหนักอึ้งก่อนใครๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแบกเสาที่ไปเอามาจากบ้านเก่า โดยชาวบ้านนั้นเดินแบกเสากันโด่ๆแบบคนเดียวเสาเดียว ส่วนพวกเรานักศึกษา 1 เสา ล่อกันไป 6 คน แถมเดินแบกกันแบบตุปัดตุเป๋ว่าจะไปไม่ตลอดรอดฝั่ง
นอกจากการแบกปูน เสาแล้ว พวกเราก็ยังมีอีกหลายๆอย่างที่ได้มีโอกาสทดลองทำในการออกค่ายอาสาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตอกตะปู การมุงหลังคา การบากหัวเสา การเข้าไม้ การขุดบ่อเกรอะ(หลุมอึ) บ่อซึม ซึ่งแทบทุกเรื่องถือเป็นความแปลกใหม่ในชีวิตที่แม้ว่าส่วนใหญ่จะคว้าน้ำเหลว แต่นั่นก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ยากจะลืมเลือน และเป็นเรื่องจริงที่สอนให้พวกเรารู้ว่าไอ้ที่มันดูคนอื่นทำแล้วง่ายๆ อย่างเช่นการตอกตะปู การเข้าไม้นั้น ครั้นพอมาทำจริงๆมันไม่ง่ายเลย
และผลพวงที่ได้จากการทำงานก็คือ เหนื่อยระยับ ผิวดำเกรียม มือไม้พองบวม คำตอบสุดท้ายต้องร้องเพลงถอยดีกว่า ซึ่งไม่ใช่ว่าพวกเราเหนื่อยล้าจนถอดใจหรอก แต่ว่าจากที่สังเกตหลายงานที่ทำไปท้ายที่สุดแล้วชาวบ้านต้องไปทำซ่อมทุกที งานหนีจึงถอยฉากมาเป็นลูกมือ เป็นกำลังใจ และคอยส่งข้าวส่งน้ำให้ชาวบ้านซึ่งเป็นช่างตัวจริงเสียงจริงที่มาช่วยก่อสร้างให้ดูจะเข้าท่ากว่ากันเยอะเลย เพราะว่าขืนดันทุรังทำต่อไปมีแต่จะไปสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับช่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีงานที่พวกเราทำได้เลย เพราะอย่างเรื่องการผสมปูนนั้นพวกเราถนัดนัก แต่ว่าการผสมปูนที่โบอ่องนี่พิเศษมากๆ ตรงที่พวกเราแม้ขนปูนมา 50 ลูก ก็มีแค่ปูน 50 ลูก ส่วนทรายและนั้นต้องขึ้นเรือไปขนยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งก็ใช้เวลาหลายวันกว่าจะขนทรายและหินทรายมาพอที่จะผสมปูนล็อตใหญ่
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้นเพราะว่าไอ้ปูนที่ผสมนี้เราใส่ปูน ทราย หิน ตามทฤษฎีเพียวๆ ผลปรากฏออกมาว่าหลังจากเทพื้นแล้วบ่มปูนเสร็จ ปูนแตก!!! ต้องผสมกันใหม่ในสูตรชาวบ้านที่เมื่อเทพื้นออกมาแล้วไม่มีการแตกร้าวแต่อย่างใด
สำหรับการทำงานของนักศึกษาเมื่อถึงวันออกค่ายจริงนั้นก็มีการแบ่งเป็นฝ่ายต่างๆอย่างเช่น ฝ่ายอาหาร ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายสอนหนังสือ โดยจะเวียนกันไปเพื่อให้ทุกคนได้ลงมือทำกันถ้วนหน้า นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมที่ทำเพื่อสร้างสัมพันธ์กับชาวบ้าน อย่างเช่น ป๊อกเด้ง เอ้ย!!! ไม่ใช่การเตะบอลร่วมกัน การกินอาหารร่วมกัน และการร่ำสุราร่วมกันในยามค่ำคืน ซึ่งมีข้อแม้ว่าไม่ว่าจะเมาแค่ไหนตื่นเช้ามาต้องทำงานต่อกันได้ งานนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะบรรดาผู้ร่วมวงสุราทั่งนักศึกษาและชาวบ้านจัดอยู่ในประเภทปีศาจสุราทั้งนั้น
พูดถึงเรื่องของการสอนหนังสือเด็กๆนี่นับว่าเป็นอีกเรื่องอันชวนประทับใจที่ยากจะลืมเลือน เพราะช่วงที่เราไปเป็นช่วงปิดเทอม คุณครูแกเลยยกโรงเรียนให้ ส่วนการเรียนการสอนก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเด็ก มีทั้งการเล่นเกม การร้องเพลง
เพื่อนของผมหลายๆคนตอนอยู่มหา’ลัยดูออกคุณนู๊ คุณหนู แต่พอมาออกค่ายกับฉายแววครูอาสามาได้ดีเกินคาด บางคนเด็กๆติดกันเกรียว เรียกว่าอย่างจะให้พวกเราสอนประจำอยู่ที่นั่นเลย
อีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นความแปลกใหม่นั่นก็คือในเรื่องของอาหารการกิน แน่นอนว่าอาหารส่วนหนึ่งของชาวบ้านได้มาจากป่า ผักแปลกๆ สัตว์แปลกๆ ซึ่งใครกินได้ก็อร่อยทีเดียวส่วนใครกินไม่ได้ก็อาหารที่เตรียมไปอย่าง บะหมี่ซอง ไข่เจียว ผัดผัก กระเพราะไก่ หมูให้เลือกกิน
แต่เมื่ออยู่หลายวันอาหารหมดก็ต้องซื้อเพิ่ม พวก น้ำปลา พริก น้ำตาลทราย ก็นั่งเรือเข้าไปซื้อในอำเภอ ส่วนปลานี่มีให้กินเหลือเฟือเพราะหมู่บ้านอยู่ในทะเลสาบ หากใครอยากออกไปจับปลากับชาวบ้านก็สามารถติดเรือออกไปได้ แต่สำหรับหมูไก่นี่ที่หมู่บ้านมีขาย โดยหมูเป็นหมูดำใครอยากกินตัวไหนไปชี้เอาในเล้าจากนั้นหมูก็จะถูกจับเชือดกันจะจะตรงนั้น ในส่วนของไก่ก็ไปชี้เอาในสุ่มแต่ว่าไก่นี้กินยากหน่อย เพราะส่วนมากไก่จะรู้ตัวพอเปิดสุ่มมาไก่บินหนีต้องระดมพล 3-4 คนไปช่วยกันวิ่งไล่ตีไก่ เรียกว่าไล่ไก่กันเป็นครึ่งค่อนวัน และรวมระยะทางหลายกิโลเมตรกว่าจะได้กินไก่สักตัว
เรื่องนี้บางคนอาจจะดูโหดร้ายแต่ว่านั้นคือวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งบางทีคนที่อยู่ในเมืองยากที่จะเข้าใจ โดยในระยะเวลาประมาณครึ่งเดือนที่พวกเรานักศึกษาไปใช้ชีวิตออกค่ายอาสาพัฒนานั้น สิ่งที่ชาวบ้านได้แบบเห็นเป็นรูปธรรมก็คืออาคารสุขศาลาที่เอาไว้เป็นที่ตรวจรักษาโรคของชาวบ้านในหมู่บ้าน ที่เก็บยา และที่พักของหมอในอำเภอ นอกจากนี้ก็ยังมีพวกสิ่งของที่นำไปแจก
แต่ว่ากับสิ่งที่ผมและเพื่อนๆได้จากการออกค่ายอาสาฯนั้นถือว่าคุ้มเกินคุ้ม เพราะได้เรียนรู้โลกแห่งความจริงมากขึ้น ได้เรียนรู้การติดต่องาน การทำงานกับราชการและชาวบ้าน ได้เรียนรู้การหาสปอนเซอร์ ได้เรียนรู้ถึงการแก้ปัญหาต่างๆ ได้รู้ซึ้งถึงความยากลำบากในการทำงาน และได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ๆอีกหลายอย่าง ซึ่งหลายาสิ่งหลายอย่างที่ได้จากการออกค่ายอาสาฯไม่มีในตำเรียนและในห้องเรียน
แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่มีสิ่งที่เสียจากการออกค่ายเลย
เพราะในวันปิดค่ายที่เราต้องลาจากบ้านโบอ่องนั้น ความผูกพันยังคงอยู่ แต่ว่าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา การออกค่ายอาสาฯก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นในวันที่จำต้องลาจากบรรยากาศจึงเศร้าระยับ!!!
งานนี้ผมเสียน้ำตาไปหลายหยด...
ในทะเลสาบเขื่อนเขาแหลมที่เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของความงดงามจากขุนเขา สายน้ำ และแมกไม้
เรือท้องแบนไฟเบอร์ลำย่อมกำลังพาผมและเพื่อนอีก 2 คน มุ่งหน้าจากท่าแพสู่หมู่บ้านโบอ่อง
ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สามในรอบปีที่ผมเดินทางสู่บ้านโบอ่อง ต.ปิล๊อค อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
ครั้งแรกผมมาสำรวจสถานที่ทำค่าย
ครั้งที่สองผมมาดูความพร้อมในการออกค่าย
ส่วนครั้งที่สามนี้นับว่ามีความพิเศษกว่าครั้งไหนๆตรงที่ผมเดินทางมาออกค่ายอาสาพัฒนาของจริง เพื่อสร้างสุขศาลา ให้กับหมู่บ้านโบอ่อง โดยมาอยู่ชั่วคราวที่บ้านโบอ่องครึ่งเดือน แถมยังไม่ได้มามือเปล่า แต่ว่าได้นำเอาเสบียง เสื้อผ้า อุปกรณ์ที่ใช้ในการออกค่าย และปูนซีเมนต์ที่ขอสปอนเซอร์ได้ 50 ลูก ล่วงหน้ามาก่อนเพื่อเตรียมความพร้อมหรือที่เรียกว่าชุดเตรียมค่ายซึ่งมีผู้ชายล้วนๆประมาณ 10 คน ก่อนที่เพื่อนชุดใหญ่จะตามมาสมทบเพื่อออกค่ายอาสาพัฒนาสร้างสุขศาลาให้กับหมู่บ้านในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา
เมื่อเรือมาเทียบท่าที่บ้านโบอ่อง เสบียง เสื้อผ้า รวมอุปกรณ์ออกค่าย ดูจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากเทียบกับปูน 50 ลูก ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีชาวโบอ่องมาช่วยกันแบกปูนขึ้นไปไว้ยังที่ตั้งค่าย แต่ว่าคนมาดแมนอย่างผมกับเพื่อนๆมีหรือที่จะปล่อยให้ชาวบ้านแบกปูนกันฝ่ายเดียว
ว่าแล้วพวกเรา(ชุดเตรียมค่าย)ต่างก็ขันอาสาไปแบกปูนกันทั่วหน้า และการแบกปูนนี่แหละทำให้เรารู้ซึ้งถึงสำนวน“เข็นครกขึ้นภูเขา” เพราะว่าปูน 1 ลูก หนัก 50 กิโลกรัม เดินแบกขึ้นเนินไปยังจุดตั้งค่ายแถวบ้านผู้ใหญ่ทู่ระทะทางกว่า 2 กิโลเมตร งานนี้พวกเราที่เป็นมือใหม่หัดแบก(ปูน)บอกได้คำเดียวว่า เที่ยวเดียวจอด
สำหรับผู้ชายประมาณ 10 คน ที่ไปเตรียมค่ายก่อนนั้นถือว่าเป็นแนวหน้าหน่วยกล้าตายที่เดินทางไปรับภารกิจอันหนักอึ้งก่อนใครๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแบกเสาที่ไปเอามาจากบ้านเก่า โดยชาวบ้านนั้นเดินแบกเสากันโด่ๆแบบคนเดียวเสาเดียว ส่วนพวกเรานักศึกษา 1 เสา ล่อกันไป 6 คน แถมเดินแบกกันแบบตุปัดตุเป๋ว่าจะไปไม่ตลอดรอดฝั่ง
นอกจากการแบกปูน เสาแล้ว พวกเราก็ยังมีอีกหลายๆอย่างที่ได้มีโอกาสทดลองทำในการออกค่ายอาสาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตอกตะปู การมุงหลังคา การบากหัวเสา การเข้าไม้ การขุดบ่อเกรอะ(หลุมอึ) บ่อซึม ซึ่งแทบทุกเรื่องถือเป็นความแปลกใหม่ในชีวิตที่แม้ว่าส่วนใหญ่จะคว้าน้ำเหลว แต่นั่นก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ยากจะลืมเลือน และเป็นเรื่องจริงที่สอนให้พวกเรารู้ว่าไอ้ที่มันดูคนอื่นทำแล้วง่ายๆ อย่างเช่นการตอกตะปู การเข้าไม้นั้น ครั้นพอมาทำจริงๆมันไม่ง่ายเลย
และผลพวงที่ได้จากการทำงานก็คือ เหนื่อยระยับ ผิวดำเกรียม มือไม้พองบวม คำตอบสุดท้ายต้องร้องเพลงถอยดีกว่า ซึ่งไม่ใช่ว่าพวกเราเหนื่อยล้าจนถอดใจหรอก แต่ว่าจากที่สังเกตหลายงานที่ทำไปท้ายที่สุดแล้วชาวบ้านต้องไปทำซ่อมทุกที งานหนีจึงถอยฉากมาเป็นลูกมือ เป็นกำลังใจ และคอยส่งข้าวส่งน้ำให้ชาวบ้านซึ่งเป็นช่างตัวจริงเสียงจริงที่มาช่วยก่อสร้างให้ดูจะเข้าท่ากว่ากันเยอะเลย เพราะว่าขืนดันทุรังทำต่อไปมีแต่จะไปสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับช่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีงานที่พวกเราทำได้เลย เพราะอย่างเรื่องการผสมปูนนั้นพวกเราถนัดนัก แต่ว่าการผสมปูนที่โบอ่องนี่พิเศษมากๆ ตรงที่พวกเราแม้ขนปูนมา 50 ลูก ก็มีแค่ปูน 50 ลูก ส่วนทรายและนั้นต้องขึ้นเรือไปขนยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งก็ใช้เวลาหลายวันกว่าจะขนทรายและหินทรายมาพอที่จะผสมปูนล็อตใหญ่
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้นเพราะว่าไอ้ปูนที่ผสมนี้เราใส่ปูน ทราย หิน ตามทฤษฎีเพียวๆ ผลปรากฏออกมาว่าหลังจากเทพื้นแล้วบ่มปูนเสร็จ ปูนแตก!!! ต้องผสมกันใหม่ในสูตรชาวบ้านที่เมื่อเทพื้นออกมาแล้วไม่มีการแตกร้าวแต่อย่างใด
สำหรับการทำงานของนักศึกษาเมื่อถึงวันออกค่ายจริงนั้นก็มีการแบ่งเป็นฝ่ายต่างๆอย่างเช่น ฝ่ายอาหาร ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายสอนหนังสือ โดยจะเวียนกันไปเพื่อให้ทุกคนได้ลงมือทำกันถ้วนหน้า นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมที่ทำเพื่อสร้างสัมพันธ์กับชาวบ้าน อย่างเช่น ป๊อกเด้ง เอ้ย!!! ไม่ใช่การเตะบอลร่วมกัน การกินอาหารร่วมกัน และการร่ำสุราร่วมกันในยามค่ำคืน ซึ่งมีข้อแม้ว่าไม่ว่าจะเมาแค่ไหนตื่นเช้ามาต้องทำงานต่อกันได้ งานนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะบรรดาผู้ร่วมวงสุราทั่งนักศึกษาและชาวบ้านจัดอยู่ในประเภทปีศาจสุราทั้งนั้น
พูดถึงเรื่องของการสอนหนังสือเด็กๆนี่นับว่าเป็นอีกเรื่องอันชวนประทับใจที่ยากจะลืมเลือน เพราะช่วงที่เราไปเป็นช่วงปิดเทอม คุณครูแกเลยยกโรงเรียนให้ ส่วนการเรียนการสอนก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเด็ก มีทั้งการเล่นเกม การร้องเพลง
เพื่อนของผมหลายๆคนตอนอยู่มหา’ลัยดูออกคุณนู๊ คุณหนู แต่พอมาออกค่ายกับฉายแววครูอาสามาได้ดีเกินคาด บางคนเด็กๆติดกันเกรียว เรียกว่าอย่างจะให้พวกเราสอนประจำอยู่ที่นั่นเลย
อีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นความแปลกใหม่นั่นก็คือในเรื่องของอาหารการกิน แน่นอนว่าอาหารส่วนหนึ่งของชาวบ้านได้มาจากป่า ผักแปลกๆ สัตว์แปลกๆ ซึ่งใครกินได้ก็อร่อยทีเดียวส่วนใครกินไม่ได้ก็อาหารที่เตรียมไปอย่าง บะหมี่ซอง ไข่เจียว ผัดผัก กระเพราะไก่ หมูให้เลือกกิน
แต่เมื่ออยู่หลายวันอาหารหมดก็ต้องซื้อเพิ่ม พวก น้ำปลา พริก น้ำตาลทราย ก็นั่งเรือเข้าไปซื้อในอำเภอ ส่วนปลานี่มีให้กินเหลือเฟือเพราะหมู่บ้านอยู่ในทะเลสาบ หากใครอยากออกไปจับปลากับชาวบ้านก็สามารถติดเรือออกไปได้ แต่สำหรับหมูไก่นี่ที่หมู่บ้านมีขาย โดยหมูเป็นหมูดำใครอยากกินตัวไหนไปชี้เอาในเล้าจากนั้นหมูก็จะถูกจับเชือดกันจะจะตรงนั้น ในส่วนของไก่ก็ไปชี้เอาในสุ่มแต่ว่าไก่นี้กินยากหน่อย เพราะส่วนมากไก่จะรู้ตัวพอเปิดสุ่มมาไก่บินหนีต้องระดมพล 3-4 คนไปช่วยกันวิ่งไล่ตีไก่ เรียกว่าไล่ไก่กันเป็นครึ่งค่อนวัน และรวมระยะทางหลายกิโลเมตรกว่าจะได้กินไก่สักตัว
เรื่องนี้บางคนอาจจะดูโหดร้ายแต่ว่านั้นคือวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งบางทีคนที่อยู่ในเมืองยากที่จะเข้าใจ โดยในระยะเวลาประมาณครึ่งเดือนที่พวกเรานักศึกษาไปใช้ชีวิตออกค่ายอาสาพัฒนานั้น สิ่งที่ชาวบ้านได้แบบเห็นเป็นรูปธรรมก็คืออาคารสุขศาลาที่เอาไว้เป็นที่ตรวจรักษาโรคของชาวบ้านในหมู่บ้าน ที่เก็บยา และที่พักของหมอในอำเภอ นอกจากนี้ก็ยังมีพวกสิ่งของที่นำไปแจก
แต่ว่ากับสิ่งที่ผมและเพื่อนๆได้จากการออกค่ายอาสาฯนั้นถือว่าคุ้มเกินคุ้ม เพราะได้เรียนรู้โลกแห่งความจริงมากขึ้น ได้เรียนรู้การติดต่องาน การทำงานกับราชการและชาวบ้าน ได้เรียนรู้การหาสปอนเซอร์ ได้เรียนรู้ถึงการแก้ปัญหาต่างๆ ได้รู้ซึ้งถึงความยากลำบากในการทำงาน และได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ๆอีกหลายอย่าง ซึ่งหลายาสิ่งหลายอย่างที่ได้จากการออกค่ายอาสาฯไม่มีในตำเรียนและในห้องเรียน
แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่มีสิ่งที่เสียจากการออกค่ายเลย
เพราะในวันปิดค่ายที่เราต้องลาจากบ้านโบอ่องนั้น ความผูกพันยังคงอยู่ แต่ว่าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา การออกค่ายอาสาฯก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นในวันที่จำต้องลาจากบรรยากาศจึงเศร้าระยับ!!!
งานนี้ผมเสียน้ำตาไปหลายหยด...