xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยวฝั่งธนฯ ชมชุมชนสามัคคี…กุฎีจีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากเอ่ยถึงชุมชน “กุฎีจีน” ในย่านฝั่งธนฯ ภาพของขนมกุฎีจีนจะลอยเด่นหรามาในความคิดคำนึงของฉัน แต่ว่าอันที่จริงแล้ว หลังจากที่ฉันไปเดินซอกแซกสัมผัสชุมชนนี้มา ทำให้รู้ว่าชุมชนกุฎีจีนนับเป็นชุมชนที่มีของดีที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

...............................................

“…กุฎีจีน หรือกะดีจีน เป็นย่านชุมชนชาวจีนเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับปากคลองตลาด ซึ่งมีศาลเจ้าเกียนอันเกง เป็นที่เคารพสักการะของคนในชุมชนตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของชุมชนกุฎีจีนแห่งนี้ยังมีเรื่องให้เล่าขานอีกมากมาย โดยเฉพาะสัมพันธภาพภายใต้ความแตกต่างของเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมของคนในชุมชนที่ประกอบไปด้วยชาวจีน อินเดีย และยุโรป ที่อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์มาเป็นเวลากว่า 200 ปี แล้ว...”


จากคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ในชุมชนกุฎีจีน แสดงให้เห็นว่าบริเวณชุมชนกุฎีจีนนี้เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตก และสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้น ท่านก็ทรงรวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายให้มาอยู่ในราชธานี ซึ่งก็รวมไปถึงชาวต่างชาติเช่น จีน โปรตุเกส โดยท่านได้พระราชทานที่ดินเพื่อให้คนเหล่านี้ได้สร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมา

ในบริเวณชุมชนกุฎีจีนนี้ก็เป็นที่หนึ่งที่พระเจ้าตากสินทรงพระราชทานที่ให้ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ จนกลายเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติอีกแห่งหนึ่ง

ในวันที่ฉันไปเดินเที่ยวย่านกุฎีจีน สิ่งแรกที่ฉันได้เจอก็คือโบสถ์ซางตาครูส ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ของย่านฝั่งธนฯ มีอายุเกือบจะร้อยปีแล้ว และถือเป็นวัดแห่งคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกแห่งแรกในย่านฝั่งธนบุรี บาทหลวงยาโกเบ กอรร์ ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำกลุ่มชาวโปรตุเกสขณะนั้น ได้สร้างโบสถ์หลังแรกขึ้นในที่ดินพระราชทานแห่งนี้และให้ชื่อว่าโบสถ์ซางตาครูส

สำหรับโบสถ์ที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้านี้ เป็นหลังที่ 3 ที่สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ พ.ศ.2456 โดยบาทหลวงกูเกียลโม กิ๊น ดาครู้ส จนถึงปัจจุบันโบสถ์นี้ก็มีอายุ 92 ปีพอดี ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคผสมกับเรเนอซองส์ ตัวอาคารเป็นแบบก่ออิฐฉาบปูนตกแต่งด้วยปูนปั้นเป็นลวดลายใบไม้สวยงาม ใครที่ผ่านไปผ่านมาในแม่น้ำเจ้าพระยาก็คงจะได้เคยเห็นกันบ้าง เพราะโบสถ์ตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยาพอดี

ส่วนภายในโบสถ์เป็นเหมือนห้องโถงใหญ่เพดานสูง มีแท่นสำหรับให้บาทหลวงยืนเทศน์ และมีรูปปั้นพระเยซูถูกตรึงกางเขนอยู่ด้านหลัง มีม้านั่งยาวเป็นแถวสำหรับให้คนมานั่งฟังเทศน์ ก็เหมือนกับที่เคยดูในหนังฝรั่งอยู่บ่อยๆ นั่นแหละ

แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างจะพิเศษก็คือกระจกสีที่ประดับอยู่ตามกรอบหน้าต่างและประตูทุกบาน ซึ่งลวดลายของกระจกก็คือเรื่องราวในช่วงชีวิตของพระเยซูนั่นเอง แม้ภายในโบสถ์จะมืดไปสักหน่อย แต่ฉันว่ามันยิ่งช่วยขับให้กระจกสีเหล่านี้ดูโดดเด่นสวยงามขึ้นมาอย่างมากเลยทีเดียว

บริเวณใกล้ๆ นี้ก็มีโรงเรียนที่ชื่อเหมือนกันกับโบสถ์ก็คือโรงเรียนซางตาครูสคอนแวนต์ มีอายุเก่าแก่รุ่นราวคราวเดียวกับตัวโบสถ์ และภายในโรงเรียนยังมีอาคารไม้สักเก่าแก่ชื่อว่าตึกยอเซฟ ซึ่งเคยเป็นสถานที่ศึกษาของนักเรียนมาเกือบ 90 ปีแล้ว โดยปีหน้านี้โรงเรียนก็จะมีอายุ 99 ปีพอดี ใครเป็นศิษย์เก่าก็อย่าลืมกลับไปเยี่ยมโรงเรียนบ้างล่ะ

ในชุมชนนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ขนมฝรั่งกุฎีจีน ซึ่งเป็นขนมเก่าแก่โบราณกว่า 200 ปีมาแล้ว เจ้าของต้นตำรับก็มาจากชาวโปรตุเกสที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนกุฎีจีนนี่เอง ปัจจุบันนี้เหลือบ้านที่ยังทำขนมฝรั่งกุฎีจีนนี้เพียง 2-3 เจ้าเท่านั้น

เมื่อฉันออกจากชุมชนชาวคริสต์บริเวณโบสถ์ซางตาครูสมา แล้วเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาทางซ้ายมือ ใกล้ๆ กันนั้นก็คือ ศาลเจ้าเกียนอันเกง ศาลเจ้าของชุมชนชาวจีนที่มีองค์พระประธานเป็นเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวจีนในแถบนั้นมาก และสันนิษฐานกันว่า ศาลเจ้านี้เองที่เป็นที่มาของคำว่า “กุฎีจีน”

ฉันพอจะสรุปความเป็นมาของศาลเจ้าเกียนอันเกงนี้ได้ว่า แต่ก่อนนั้น ชาวจีนที่ตามเสด็จพระเจ้าตากสินมาได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้ และได้สร้างศาลเจ้าขึ้น แต่เมื่อถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีการย้ายพระนครมาอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวจีนเหล่านั้นจึงย้ายตามมาอยู่บริเวณตลาดน้อยและสำเพ็ง ศาลเจ้านั้นจึงถูกทิ้งร้าง จนเมื่อมีชาวจีนสองคน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของสกุลตันติเวชกุล และสกุลสิมะเสถียรได้มากราบไหว้ศาลเจ้าเก่า และเห็นว่าชำรุดทรุดโทรมมาก จึงได้รื้อศาลเก่าลง และสร้างศาลเจ้าเกียนอันเกงขึ้นมาใหม่ ซึ่งยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ห่างจากศาลเจ้าเกียนอันเกงไปไม่กี่เมตร ก็คือวัดกัลยาณมิตร ซึ่งมีหลวงพ่อโต หรือพระพุทธไตรรัตนนายก หรือเรียกแบบจีนว่าซำปอกง เป็นพระประธานในพระวิหารหลวง วัดกัลยาณมิตรนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่พ.ศ.2368 โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศที่ดินของตนสร้างขึ้นเป็นวัด และได้น้อมเกล้าฯ ถวายแด่รัชกาลที่ 3 ซึ่งท่านก็ได้พระราชทานนามให้ว่า วัดกัลยาณมิตร และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานสำหรับพระวิหารหลวง โดยทรงมีพระราชประสงค์ให้เป็นพระพุทธรูปใหญ่อยู่ริมแม่น้ำแบบเดียวกันกับที่วัดพนัญเชิง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เท่าที่ฉันเดินผ่านมานี่ก็เป็นชุมชน 3 เชื้อชาติเข้าไปแล้ว แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะหากเดินไปทางด้านหลังวัดกัลยาณมิตร ลอดใต้สะพานอนุทินสวัสดิ์ไป ก็จะเจอชุมชนกุฎีขาว ชุมชนของชาวอิสลาม ซึ่งมีกุฎีขาว หรือมัสยิดบางหลวง เป็นศาสนสถานประจำชุมชน

มัสยิดที่นี่แปลกมากทีเดียว มองดูครั้งแรกฉันยังนึกว่าเป็นวัดของไทยเสียอีก แต่ดูไปดูมา รวมถึงได้เข้าไปชมด้านใน จึงได้รู้ว่านี่แหละ คือมัสยิดทรงไทยแห่งเดียวของโลกที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ภายในนั้นซึ่งแม้จะดูเป็นแบบไทยๆ แต่ก็ไม่ขัดกับหลักทางศาสนาอิสลาม นอกจากนั้นมัสยิดบางหลวงนี้ยังนับเป็นศาสนสถานที่กองการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จัดให้เป็นเป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภท Unseen Bangkok อีกด้วย

................................................

เป็นเวลาเย็นแล้ว ที่ฉันกำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากได้มาเยี่ยมชมชุมชนกุฎีจีนในพื้นที่ไม่กี่ตารางกิโลเมตร แต่ประกอบไปด้วย วัด โบสถ์ ศาลเจ้า และมัสยิด ซึ่งเป็นศาสนสถานของแต่ละชาติที่แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกันกว่า 200 ปี แต่ว่ากลับอยู่ร่วมกันอย่างสันติ รักใคร่สามัคคีกลมเกลียว นับเป็นหนึ่งในชุมชนสามัคคี ที่หากใครมีเวลาว่างน่าจะลองไปสัมผัสกับบรรยากาศชุมชนสามัคคีที่ชุมชนกุฎีจีนแห่งนี้ดูบ้าง

*    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    * 


ชุมชนกุฎีจีน ตั้งอยู่บนถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี มีรถเมล์สาย 56,9,43,3,6,40,42 ผ่านหน้าโรงเรียนศึกษานารี จากนั้นเดินเข้าซอยกุฎีจีน จะพบโรงเรียนซางตาครูสศึกษาและโบสถ์ซางตาครูสอยู่ข้างกัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร โทร.0-2225-7612 ถึง 4

สำหรับงาน "คืนสู่เหย้า 99 ปี ซางตาครูสคอนแวนต์" สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2222-8700

 
กำลังโหลดความคิดเห็น