ฉันเคยได้ยินชื่อของท้องฟ้าจำลองมานานแล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร หรือมีไว้เพื่ออะไร (แต่ฉันก็ไม่ทึ่มพอ ที่จะคิดว่ามันเป็นท้องฟ้าของท่านมหาจำลองหรอกนะ) เพราะตอนอยู่บ้านนอก พอถึงคืนเดือนมืด ฉันก็จะลากเอาเสื่อเอาผ้าห่มออกมานอนนับดาวที่นอกชานบ้าน แล้วตาก็จะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับดาวและท้องฟ้าให้ฟัง
ความคิดของฉันในตอนนั้น “ท้องฟ้าจำลอง” จึงไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญอะไรนักหนา เพราะไม่เห็นว่าจะเกี่ยวอะไรกับฉัน
แล้วพอโตขึ้นเผลอไผลได้มาอยู่กรุง ฉันก็ไม่เคยลืมที่จะมองท้องฟ้ายามค่ำคืนบ่อยๆ ถึงแม้จะเห็นเป็นดาวดวงเดียวกัน แต่ก็ดูได้ไม่ชัดและไม่สวยเท่ากับที่บ้านฉัน (เหมือนกับที่เพลงคิดถึงบ้านของจรัล มโนเพชร ว่าไว้เปี๊ยบเลย) กระทั่งได้ยินมาว่า ถ้าอยากจะรู้เรื่องดวงดาวและอวกาศ หรืออยากจะเห็นดวงดาวนับพันๆ ดวง ก็ต้องไปที่ ท้องฟ้าจำลอง
ดังนั้นเพื่อดับอารมณ์คิดถึงบ้านและเพื่อไขความข้องใจเมื่อครั้งยังเด็กว่า ท้องฟ้าจำลองคืออะไร ก็เพียงพอที่จะเป็นเหตุผลให้ฉันต้องรีบนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีเอกมัย แล้วมุ่งหน้าไปที่ “ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา” ซึ่งเป็นที่ตั้งของท้องฟ้าจำลอง และอีก 4 อาคารที่ให้ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในหมวดต่างๆ กันไป
ฉันเดินดุ่มเข้าไป “อาคารท้องฟ้าจำลอง” ซึ่งเป็นรูปโดมขนาดใหญ่ ภายในแบ่งเป็นห้องฉายดาวและห้องนิทรรศการดาราศาสตร์และอวกาศ เรื่องชีวิตกับดวงดาว ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าท้องฟ้าจำลองนี่มีอายุย่างเข้าปีที่ 41 แล้ว เพราะเปิดการแสดงมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 โดยใช้งบประมาณสร้าง 12 ล้านบาท ซึ่งเมื่อย้อนหลังไปตอนนั้นก็ถือว่าเป็นงบที่มากโขเอาการ แต่นับเป็นการกล้าตัดสินใจที่จะลงทุนทางความรู้ที่คุ้มค่ามากๆ เพราะถ้าจะสร้างท้องฟ้าจำลองขึ้นมาใหม่ตอนนี้จะต้องใช้งบถึง 200 ล้านบาทเชียวล่ะ
พอได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปชมการแสดงในห้องฉายดาวได้ ฉันก็ไม่รอช้ายื่นบัตรเข้าชมที่ซื้อมา 20 บาทให้กับเจ้าหน้าที่แล้วเข้าไปในห้องวงกลมขนาดใหญ่ มองเห็นเจ้าเครื่องฉายดาวขนาดใหญ่ ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ฉันจึงไปกระแซะถามนักวิชาการที่ทำหน้าที่บรรยาย เลยได้รู้ว่าเจ้าเครื่องฉายดาว นี่นับเป็นประดิษฐกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่มีระบบการทำงานซับซ้อน สามารถฉายดาวฤกษ์ได้ประมาณ 8,900 ดวง ขณะที่ตาเปล่าเราสามารถมองเห็นดวงดาวได้แค่ 3,000 ดวง
นอกจากนี้เครื่องฉายดาวตัวนี้ ถึงจะเก่าแต่ประสิทธิภาพยังแจ๋ว (อย่าลืมว่าอายุ 41 ปีแล้ว) สามารถฉายภาพวัตถุท้องฟ้าและปรากฏการณ์หลายชนิดเลียนแบบธรรมชาติ และนับเป็นเครื่องฉายดาวขนาดใหญ่เครื่องแรกในย่านเอเซียอาคเนย์ด้วย
ส่วนเรื่องที่แสดงในห้องฉายดาวจะเปลี่ยนไปทุก 2 เดือน สำหรับเดือนมี.ค.-เม.ย. นี้ เป็นเรื่อง "นิทานจากดวงดาว" ซึ่งเป็นเกร็ดความรู้จากการสังเกตการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวที่เรียงตัวเป็นภาพต่างๆ เกิดเป็นนิทานเรื่องเล่าเกี่ยวกับดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างสนุกสนาน โดยมีกลุ่มดาวเป็นตัวละครแสดง
เห็นบรรดาเด็กนักเรียนมาจากต่างจังหวัดกันทั้งนั้น บางคนตื่นตั้งแต่ตี 5 พอมาเข้าชมในห้องมืดๆ อากาศเย็นๆ เบาะนั่งนุ่มๆ ฉันเดาว่าหลายคนต้องมีแอบหลับแน่ๆ แต่ผิดคาดแฮะ ไม่มีเสียงกรนใดๆ มีแต่เสียงฮือฮาอื้ออึงด้วยความตื่นเต้น ฉันเองก็ไม่ต่างกัน พอแหงนมองไปที่ท้องฟ้าเห็นดาวอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ดูไม่ออกว่าเป็นกลุ่มดาวอะไรบ้าง สักพักพอเจ้าหน้าที่เขาเอาภาพมาแปะเชื่อมโยงกลุ่มดาวต่างๆ ให้เกิดเป็นรูปร่าง พร้อมกับเล่าเรื่องราวตำนานดาวให้ฟัง ก็กลับเป็นความสนุกสนาน อย่างกลุ่มดาวเต่า ที่ตอนแรกมองยังไงฉันว่ามันก็ไม่ได้เป็นเต่า แต่พอเขาชี้ๆ ให้ดู ก็นึกคล้อยตาม เออแฮะ...เป็นเต่า จริงๆ ด้วย
แต่จะว่าไปดวงดาวบนท้องฟ้าแม้จะเป็นดวงดาวกลุ่มเดียวกันก็ยังเห็นแตกต่างกันได้ เช่น ชาวกรีกเห็นดาวฤกษ์กลุ่มหนึ่งมีลักษณะคล้ายหมีใหญ่ ชาวอเมริกันเห็นเป็นรถศึก ชาวเอสกิโมเห็นเป็นเรือแคนู ชาวอียิปต์โบราณเห็นเป็นตะโพกวัว ชาวไทยภาคเหนือและอีสานเห็นเป็นหัวและงวงช้าง จึงเรียกกลุ่มดาวช้าง ส่วนชาวไทยภาคกลางและภาคใต้เห็นเป็นจระเข้
หรือแม้แต่ตำนานเรื่องเล่าของกลุ่มดาวของแต่ละท้องถิ่นก็ยังแตกต่างกัน อย่างกลุ่มดาวลูกไก่ที่คนไทยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับลูกไก่ 7 ตัวกระโดดเข้ากองไฟตายตามแม่ไก่นั้น นิทานกรีกกลายเป็นเรื่องของ 7 สาวพี่น้อง แต่อินเดียกลับเป็นเรื่องนางฟ้า 6 องค์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรแบบไหน ก็ถือได้ว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นการต่อเชื่อมความรู้ของคนยุคก่อนสู่คนรุ่นใหม่ โดยอาศัยนิยายที่สนุกสนานเป็นสื่อกลางเพื่อการเรียนรู้ทางดาราศาสตร์และธรรมชาติของท้องฟ้าที่แยบยลที่สุด
ยังมีเรื่องเล่าและตำนานสนุกๆ อีกหลายเรื่อง ฉันจะไม่บอกหรอกว่า ทำไมชาวกรีกจึงเห็นว่า เทพโครนุสหรือดาวเสาร์จึงเป็นเทพผู้ชราที่ชอบความสันโดษและอยู่ห่างไกลจากดาวดวงอื่นๆ ทำไมกลุ่มดาวแมงป่องจึงอยู่คนละฟากฟ้ากับกลุ่มดาวนายพราน รวมทั้งจะขึ้นและตกจากท้องฟ้าคนละเวลากัน เพื่อจะได้ไม่มาเจอกัน หรือกลุ่มดาวคนแบกงู มีความสัมพันธ์อย่างไร จึงนำมาสู่สัญลักษณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เป็นงูพันรอบคบเพลิง รวมทั้งเรื่องราวสนุกๆ อีกมาก ที่ฉันอยากให้ทุกคนได้ไปรู้ไปเห็นด้วยตัวเอง
พอออกมาจากห้องฉายดาว ฉันก็เดินดูนิทรรศการที่จัดแบ่งเนื้อหาออกเป็น 6 ส่วน คือ โลกดาราศาสตร์ ชีวิตสัมพันธ์กับดวงดาว โลก: แหล่งกำเนิดชีวิตในระบบสุริยะ ชีวิตดาวฤกษ์ ความเป็นไปในเอกภพ และมนุษย์กับการสำรวจอวกาศ ฉันเดินดูแต่ละจุดอย่างสนุก เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กนักเรียนอีกกครั้ง เพราะแต่ละจุดจะมีปุ่มโน้นปุ่มนี้ให้กด แล้วจะมีแสงเสียงออกมาบรรยายให้ความรู้ ฉันว่ามันดูไม่น่าเบื่อดี
จากนั้นฉันก็ตรงไปอาคารที่อยู่ตรงข้ามคือ “อาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่สามารถได้ทดลอง ค้นคว้า สัมผัส และเข้าร่วมกิจกรรมกับนิทรรศการต่างๆ ที่จัดไว้ในแต่ละชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็ยังแยกเป็นโซนต่างๆ อย่างเช่น วิทยาศาสตร์กับชีวิต โลกของการสื่อสารผ่านดาวเทียม ประวัติการสื่อสารไทย วิทยาศาสตร์ชีวภาพ โดยเป็นการประยุกต์จากบทเรียนให้เข้าใจง่ายขึ้น ให้ทุกคนได้มีอิสระในการเรียนรู้ตามความสนใจ และตามพื้นฐานความรู้
ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นเกมส์และการทดลองต่างๆ อย่างสนุก จนลืมไปว่า ยังมีอีกหลายอาคารที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ฉันจึงไปที่ “อาคารโลกใต้น้ำ” ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความมหัศจรรย์ของชีวิตสัตว์และพืชใต้น้ำ ถึงที่นี่จะมีปลาน้ำจืดและปลาทะเลน้อยกว่าอะควาเรียมอื่นๆ แต่ก็ยังพอจะเป็นแหล่งความรู้ที่ดีสำหรับคนเข้าชม อย่างน้อยๆ ก็ได้เห็นความหลากหลายทางชีวภาพใต้โลกทะเลว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ที่ “อาคารธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ซึ่งอยู่ด้านหน้าติดกับถนนสุขุมวิท ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนี้มีการปรับปรุงในบางส่วนหรือเปล่า ที่อาคารนี้จึงไม่ค่อยมีคนเข้ามากนัก ทั้งๆ ที่ก็มีสิ่งน่าสนใจอยู่มาก ส่วนที่ “อาคารวิทยาศาสตร์สุขภาพ” ในตอนเย็นๆ จะเห็นมีคนรักสุขภาพจำนวนมาก พากันมาที่นี่เพราะมีลานกีฬาให้เล่นหลายประเภท แถมยังมีหน้าผาจำลองให้สามารถปีนป่ายได้ด้วย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ฉันก็ยังไม่สามารถสำรวจทุกซอกทุกมุม ภายใน “ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา” ได้ทั้งหมด แต่ฉันก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะต้องหาโอกาสมาอีกครั้งเร็วๆ นี้ เพราะยังมีเรื่องราวความรู้ที่ค้างคาใจอีกมากที่ต้องมาค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง
คิดๆ แล้วก็ให้อิจฉาเด็กเมืองกรุงที่มีสถานที่ดีๆ ให้ได้ศึกษานอกจากบทเรียนในตำรา ของดีอยู่ใกล้ตัวอย่างนี้ น่าจะหาเวลามาเยี่ยมชมกันสักหน่อย ยิ่งช่วงนี้ปิดเทอม ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ก็ลองมาที่ท้องฟ้าจำลอง รับรองว่าจะได้ความรู้คู่ความสนุกติดตัวไปอีกเพียบ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
รถยนต์โดยสารประจำทางที่ผ่าน สาย 2, 25, 38, 40, 72, 98, ปอ. 501, 511, 513, 538, ปอพ. 8 หรือรถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานีเอกมัย
ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา เปิดบริการวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 08.30-16.30 น. อัตราค่าเข้าชมนิทรรศการ เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
การแสดงในห้องฉายดาว ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ เปิดแสดง วันอังคาร-วันอาทิตย์ รอบนักเรียน เริ่มเวลา 10.00 น. รอบประชาชน เริ่มเวลา 11.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ มี 4 รอบ อัตราค่าเข้าชม เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
จองรอบและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2392-1773, 0-2391-0544