โดย : ปิ่น บุตรี

...เอ่ยถึงเมืองตรัง...คุณนึกถึงอะไร ?
-เมืองท่าสำคัญด้านทะเลฝั่งตะวันออก –ดอกศรีตรัง-นิราศพระยาตรัง –วัวชน-ตุ๊ก ตุ๊ก –เมืองคนช่างกิน(5มื้อ) –หมูย่างเมืองตรัง –เค้กเมืองตรัง –นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี –โนราห์,หนังตะลุง –ยางพาราต้นแรก-พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ –หาดปากเมง,เจ้าไหม –เกาะกระดาน,เกาะไหง,เกาะลิบง,เกาะมุก ฯลฯ –ผ้าทอนาหมื่นศรี –งานกินเจ...
นี่คือข้อความที่คุณ“ณัฐกานต์ ลิ่มสถาพร” คนตรังโดยกำเนิด เขียนทิ้งท้ายไว้ในบทความ “ตรังเค...ฟ้ารุ่งแล้ว” ในเอกสาร “ท่องวัฒนธรรม กระบี่ ตรัง พังงา” ตอนอันดามันไม่ได้มีแต่ทะเล ของชมรมท่องอุษาคเนย์
สำหรับผมเมื่อเอ่ยถึงเมืองตรังแล้ว นอกจากสิ่งต่างๆที่คุณณัฐกานต์กล่าวมาทั้งหมด ผมยังนึกถึง “สมพร” เพื่อนชาวตรังผู้ร่ำรวยน้ำใจ ที่เวลาพูดภาษากลางคราใด ทองแดงมักร่วงกราวเสมอ
ผมรู้จักกับสมพรครั้งแรกในบรรยากาศที่ไม่น่าจะรู้จักกันได้ ณ หาดปากเมง เมื่อประมาณ 10 ที่แล้ว สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ซึ่งยุคนั้นผมจัดอยู่ในประเภทเด็กแนวเหมือนกัน คือเป็นพวกแนวไม่มีตังค์ แต่ดันทุรังอยากเที่ยว
เมื่ออยากเที่ยว แต่ว่าตังค์ไม่ค่อยมี งานนี้ก็เลยต้องใช้วิธีโบกรถเที่ยวไปเรื่อยๆแบบซำเหมาแมน โดยมีเต็นท์ กีตาร์ สัมภาระ และสตางค์ที่มีอยู่น้อยนิดพกติดตัวไป พร้อมๆกับหัวใจที่พร้อมจะลุยและเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ
และการโบกรถเที่ยวใต้ครั้งแรกก็เกิดขึ้น ในช่วงปิดเทอมใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงที่ คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกพอดี แน่นอนว่าเป้าหมายและไฮไลท์ในทริปนั้นอยู่ที่จังหวัดตรัง ซึ่งเหตุผลนั้นไม่มีอะไรมาก เพียงแค่พวกผมแก๊งโบกรถอยากไปเที่ยวจังหวัดนายกฯชวนก็เท่านั้นเอง
พวกผมตระเวนโบกรถเที่ยวเรื่อยไปตั้งแต่ประจวบฯ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ กระบี่ ก่อนจะไปปิดทริปกันที่เมืองตรัง
แน่นอนว่า งานนี้เราโบกรถกันหลายวันจนบักโกรกและจนกรอบ แต่กระนั้นก็ไปถึงยังจุดหมายใหญ่ที่เมืองตรังจนได้
หาดเจ้าไหม เกาะลิบง เป็นเป้าหมายเที่ยวใน 2 วันแรกที่เมืองตรัง ก่อนที่จะไปปิดท้ายแบบทุบหม้อข้าวหม้อแกงกันที่หาดปากเมง โดยงานนี้แก๊งโบกรถเตรียมเงินสำรองไว้เป็นค่ารถนั่งกลับกรุงเทพฯ เพื่อกลับไปลงทะเบียนเรียน
พวกผมโบกรถจากหาดเจ้าไหมไปถึงหาดปากเมงช่วงบ่ายๆ เมื่อกางเต็นท์เล่นน้ำกันจนหนำใจ ช่วงคืนค่ำแห่งวันสุดท้ายก็คือการนั่งร่ำสุราฉลองส่งท้ายทริป แต่ก็อย่างว่าสตางค์ที่เตรียมมาใช้ไปจนเกือบเกลี้ยง งานฉลองในคืนนั้นจึงเป็นแบบเจียมเนื้อเจียมตัว เหล้าขาวเพียวๆ ส่วนกับแกล้มก็บะหมี่ซอง และไข่เจียว สำหรับสถานที่ก็ไปขอที่ข้างๆร้านอาหารที่สั่งไข่เจียวไป นั่งกินกับแบบเงียบในความมืดข้างๆร้าน
เมื่อนั่งร่ำสุรากันได้สักพัก ก็มีหนุ่มตรังอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมเดินตรงเข้ามาหา
หะแรกผมหวั่นใจว่า อาจจะโดนดีจากเจ้าถิ่นเข้าให้แล้ว แต่หนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมถามว่า “พวกพี่กินเหล้าอะไรกัน”
พวกผมก็ยกขวดเหล้าให้ดูแบบหวั่นๆใจกลัวมีเรื่อง แต่เปล่าเลยหนุ่มคนนั้นบอกว่าเหล้ายี่ห้อนี้ถ้าจะกินให้อร่อยต้องกินกับน้ำมะพร้าว ว่าแล้วเขาก็เดินไปเล็งต้นมะพร้าว 2-3 ต้นที่อยู่ข้างร้าน ก่อนจะค่อยๆปีนขึ้นไปพร้อมกับปลดลูกมะพร้าวลงมา จากนั้นหนุ่มคนตรังก็เดินหายเข้าครัวแล้วกลับออกมาด้วยมีดเล่มโต
ผมพอเห็นมีดก็เตรียมเผ่นแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันยังไงๆอยู่ แต่ว่าก็เปล่าเลยอีกเหมือนกันหนุ่มตรังคนนั้น กลับเอามีดมาเฉาะมะพร้าวพร้อมๆกับมาผสมสูตรเหล้าเคล้าน้ำมะพร้าวให้ดื่ม โดยเขาแนะนำตัวว่าชื่อ “สมพร”
ช่วงแรกผมยังไม่ค่อยแน่ใจในมิตรภาพที่สมพรหยิบยื่นให้เท่าไหร่ เพราะหลังจากที่เหล้าหมดขวด สมพรก็ขี่มอเตอร์ไซต์หายไปในความมืด
ตอนแรกผมนึกว่าเขาอาจจะเป็นคนประเภทมาหลอกกินเหล้าฟรี แต่ที่ไหนได้หลังจากหายไปพักใหญ่ สมพรก็กลับมาพร้อมด้วยเหล้าขวดใหม่ยี่ห้อดีกว่าและแพงกว่า โดยมีโซดา น้ำแข็ง และกลับแกล้มชุดใหญ่ ซึ่งเขาบอกว่า
“มาเที่ยวตรังแล้ว ก็ขอให้คนตรังเลี้ยงบ้าง”
และนั่นก็คือน้ำมิตรที่สมพรหยิบยื่นให้กับคนแปลกหน้าอย่างผม และนั่นก็คือการเริ่มเพาะมิตรภาพระหว่างผมกับสมพร ซึ่งหลังจากที่เราแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน โดยผมเล่าเรื่องการตะลุยโบกรถดะจากกรุงเทพฯมาถึงเมืองตรัง และมีโปรแกรมจะนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพฯวันรุ่งขึ้น
สมพรบอกผมว่าน่าเสียดายที่ผมกับเพื่อนมาเที่ยวหาดปางเมงแค่คืนเดียว แต่ถ้าอยากอยู่ต่อบอกว่าก็ไม่มีปัญหาจะพาไปนั่งเรือของเพื่อนเที่ยวตามเกาะต่างๆ ซึ่งใจผมนั้นอยากออกไปเที่ยวทะเลตรังมาก แต่ว่าก็ติดที่ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนจึงบอกกับสมพรว่า ไว้วันหลังจะกลับมารบกวนใหม่ แต่ถึงกระนั้นในวันรุ่งขึ้นสมพรก็ยังไปยืมรถกระบะเพื่อนแล้วขับไปส่งพวกผมที่ท่ารถในเมือง
หลังจากนั้นสมพรกับผมก็กลายมาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา
เวลาที่เอ่ยถึงเมืองตรัง นอกจากสารพัดสิ่งที่คุณณัฐกานต์ ลิ่มสถาพร เขียนไว้ในบนความข้างต้นแล้ว ผมก็จะนึกถึงสมพรเสมอ โดยผมถือว่าเขามีนิสัยในแบบฉบับของชาวตรังอย่างแท้จริง ซึ่งคุณณัฐกานต์ ลิ่มสถาพร ได้เขียนเอาไว้ในบทความ “ตรังเค...ฟ้ารุ่งแล้ว”ว่า
...นิสัยของคนเมืองตรัง ชอบท่องเที่ยวเพื่อสร้างความ “ใหญ่” ความหมายเดียวกับ “ยาว” ที่เป็นสำนวนของคนตรัง ชอบทำตัวเป็นคนกว้างขวาง รู้จักคนมาก
เรื่องนี้ดูได้จากค่านิยมแบบ “นักเลง” ในการวางตัว เป็นคนโผงผาง พูดเสียงดัง ฟังชัด และตรงไปตรงมา มีเสียงพูด หรือ สำเนียง “แหลงใต้” หนักแน่นเต็มปาก เต็มคำ...
นี่คือนิสัยในแบบฉบับคนตรังที่สมพรมีอยู่ครบครัน โดยเฉพาะความใจกว้าง รุ่มรวยน้ำใจ ที่ผิดแผกแตกต่างออกไปจากนิสัยของผู้ใหญ่ชาวตรังบางคนที่มักชอบพูดว่า “กาแฟแก้วผมเดียวก็ไม่เคยเลี้ยงใคร”
...เอ่ยถึงเมืองตรัง...คุณนึกถึงอะไร ?
-เมืองท่าสำคัญด้านทะเลฝั่งตะวันออก –ดอกศรีตรัง-นิราศพระยาตรัง –วัวชน-ตุ๊ก ตุ๊ก –เมืองคนช่างกิน(5มื้อ) –หมูย่างเมืองตรัง –เค้กเมืองตรัง –นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี –โนราห์,หนังตะลุง –ยางพาราต้นแรก-พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ –หาดปากเมง,เจ้าไหม –เกาะกระดาน,เกาะไหง,เกาะลิบง,เกาะมุก ฯลฯ –ผ้าทอนาหมื่นศรี –งานกินเจ...
นี่คือข้อความที่คุณ“ณัฐกานต์ ลิ่มสถาพร” คนตรังโดยกำเนิด เขียนทิ้งท้ายไว้ในบทความ “ตรังเค...ฟ้ารุ่งแล้ว” ในเอกสาร “ท่องวัฒนธรรม กระบี่ ตรัง พังงา” ตอนอันดามันไม่ได้มีแต่ทะเล ของชมรมท่องอุษาคเนย์
สำหรับผมเมื่อเอ่ยถึงเมืองตรังแล้ว นอกจากสิ่งต่างๆที่คุณณัฐกานต์กล่าวมาทั้งหมด ผมยังนึกถึง “สมพร” เพื่อนชาวตรังผู้ร่ำรวยน้ำใจ ที่เวลาพูดภาษากลางคราใด ทองแดงมักร่วงกราวเสมอ
ผมรู้จักกับสมพรครั้งแรกในบรรยากาศที่ไม่น่าจะรู้จักกันได้ ณ หาดปากเมง เมื่อประมาณ 10 ที่แล้ว สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ซึ่งยุคนั้นผมจัดอยู่ในประเภทเด็กแนวเหมือนกัน คือเป็นพวกแนวไม่มีตังค์ แต่ดันทุรังอยากเที่ยว
เมื่ออยากเที่ยว แต่ว่าตังค์ไม่ค่อยมี งานนี้ก็เลยต้องใช้วิธีโบกรถเที่ยวไปเรื่อยๆแบบซำเหมาแมน โดยมีเต็นท์ กีตาร์ สัมภาระ และสตางค์ที่มีอยู่น้อยนิดพกติดตัวไป พร้อมๆกับหัวใจที่พร้อมจะลุยและเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ
และการโบกรถเที่ยวใต้ครั้งแรกก็เกิดขึ้น ในช่วงปิดเทอมใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงที่ คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกพอดี แน่นอนว่าเป้าหมายและไฮไลท์ในทริปนั้นอยู่ที่จังหวัดตรัง ซึ่งเหตุผลนั้นไม่มีอะไรมาก เพียงแค่พวกผมแก๊งโบกรถอยากไปเที่ยวจังหวัดนายกฯชวนก็เท่านั้นเอง
พวกผมตระเวนโบกรถเที่ยวเรื่อยไปตั้งแต่ประจวบฯ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ กระบี่ ก่อนจะไปปิดทริปกันที่เมืองตรัง
แน่นอนว่า งานนี้เราโบกรถกันหลายวันจนบักโกรกและจนกรอบ แต่กระนั้นก็ไปถึงยังจุดหมายใหญ่ที่เมืองตรังจนได้
หาดเจ้าไหม เกาะลิบง เป็นเป้าหมายเที่ยวใน 2 วันแรกที่เมืองตรัง ก่อนที่จะไปปิดท้ายแบบทุบหม้อข้าวหม้อแกงกันที่หาดปากเมง โดยงานนี้แก๊งโบกรถเตรียมเงินสำรองไว้เป็นค่ารถนั่งกลับกรุงเทพฯ เพื่อกลับไปลงทะเบียนเรียน
พวกผมโบกรถจากหาดเจ้าไหมไปถึงหาดปากเมงช่วงบ่ายๆ เมื่อกางเต็นท์เล่นน้ำกันจนหนำใจ ช่วงคืนค่ำแห่งวันสุดท้ายก็คือการนั่งร่ำสุราฉลองส่งท้ายทริป แต่ก็อย่างว่าสตางค์ที่เตรียมมาใช้ไปจนเกือบเกลี้ยง งานฉลองในคืนนั้นจึงเป็นแบบเจียมเนื้อเจียมตัว เหล้าขาวเพียวๆ ส่วนกับแกล้มก็บะหมี่ซอง และไข่เจียว สำหรับสถานที่ก็ไปขอที่ข้างๆร้านอาหารที่สั่งไข่เจียวไป นั่งกินกับแบบเงียบในความมืดข้างๆร้าน
เมื่อนั่งร่ำสุรากันได้สักพัก ก็มีหนุ่มตรังอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมเดินตรงเข้ามาหา
หะแรกผมหวั่นใจว่า อาจจะโดนดีจากเจ้าถิ่นเข้าให้แล้ว แต่หนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมถามว่า “พวกพี่กินเหล้าอะไรกัน”
พวกผมก็ยกขวดเหล้าให้ดูแบบหวั่นๆใจกลัวมีเรื่อง แต่เปล่าเลยหนุ่มคนนั้นบอกว่าเหล้ายี่ห้อนี้ถ้าจะกินให้อร่อยต้องกินกับน้ำมะพร้าว ว่าแล้วเขาก็เดินไปเล็งต้นมะพร้าว 2-3 ต้นที่อยู่ข้างร้าน ก่อนจะค่อยๆปีนขึ้นไปพร้อมกับปลดลูกมะพร้าวลงมา จากนั้นหนุ่มคนตรังก็เดินหายเข้าครัวแล้วกลับออกมาด้วยมีดเล่มโต
ผมพอเห็นมีดก็เตรียมเผ่นแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันยังไงๆอยู่ แต่ว่าก็เปล่าเลยอีกเหมือนกันหนุ่มตรังคนนั้น กลับเอามีดมาเฉาะมะพร้าวพร้อมๆกับมาผสมสูตรเหล้าเคล้าน้ำมะพร้าวให้ดื่ม โดยเขาแนะนำตัวว่าชื่อ “สมพร”
ช่วงแรกผมยังไม่ค่อยแน่ใจในมิตรภาพที่สมพรหยิบยื่นให้เท่าไหร่ เพราะหลังจากที่เหล้าหมดขวด สมพรก็ขี่มอเตอร์ไซต์หายไปในความมืด
ตอนแรกผมนึกว่าเขาอาจจะเป็นคนประเภทมาหลอกกินเหล้าฟรี แต่ที่ไหนได้หลังจากหายไปพักใหญ่ สมพรก็กลับมาพร้อมด้วยเหล้าขวดใหม่ยี่ห้อดีกว่าและแพงกว่า โดยมีโซดา น้ำแข็ง และกลับแกล้มชุดใหญ่ ซึ่งเขาบอกว่า
“มาเที่ยวตรังแล้ว ก็ขอให้คนตรังเลี้ยงบ้าง”
และนั่นก็คือน้ำมิตรที่สมพรหยิบยื่นให้กับคนแปลกหน้าอย่างผม และนั่นก็คือการเริ่มเพาะมิตรภาพระหว่างผมกับสมพร ซึ่งหลังจากที่เราแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน โดยผมเล่าเรื่องการตะลุยโบกรถดะจากกรุงเทพฯมาถึงเมืองตรัง และมีโปรแกรมจะนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพฯวันรุ่งขึ้น
สมพรบอกผมว่าน่าเสียดายที่ผมกับเพื่อนมาเที่ยวหาดปางเมงแค่คืนเดียว แต่ถ้าอยากอยู่ต่อบอกว่าก็ไม่มีปัญหาจะพาไปนั่งเรือของเพื่อนเที่ยวตามเกาะต่างๆ ซึ่งใจผมนั้นอยากออกไปเที่ยวทะเลตรังมาก แต่ว่าก็ติดที่ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนจึงบอกกับสมพรว่า ไว้วันหลังจะกลับมารบกวนใหม่ แต่ถึงกระนั้นในวันรุ่งขึ้นสมพรก็ยังไปยืมรถกระบะเพื่อนแล้วขับไปส่งพวกผมที่ท่ารถในเมือง
หลังจากนั้นสมพรกับผมก็กลายมาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา
เวลาที่เอ่ยถึงเมืองตรัง นอกจากสารพัดสิ่งที่คุณณัฐกานต์ ลิ่มสถาพร เขียนไว้ในบนความข้างต้นแล้ว ผมก็จะนึกถึงสมพรเสมอ โดยผมถือว่าเขามีนิสัยในแบบฉบับของชาวตรังอย่างแท้จริง ซึ่งคุณณัฐกานต์ ลิ่มสถาพร ได้เขียนเอาไว้ในบทความ “ตรังเค...ฟ้ารุ่งแล้ว”ว่า
...นิสัยของคนเมืองตรัง ชอบท่องเที่ยวเพื่อสร้างความ “ใหญ่” ความหมายเดียวกับ “ยาว” ที่เป็นสำนวนของคนตรัง ชอบทำตัวเป็นคนกว้างขวาง รู้จักคนมาก
เรื่องนี้ดูได้จากค่านิยมแบบ “นักเลง” ในการวางตัว เป็นคนโผงผาง พูดเสียงดัง ฟังชัด และตรงไปตรงมา มีเสียงพูด หรือ สำเนียง “แหลงใต้” หนักแน่นเต็มปาก เต็มคำ...
นี่คือนิสัยในแบบฉบับคนตรังที่สมพรมีอยู่ครบครัน โดยเฉพาะความใจกว้าง รุ่มรวยน้ำใจ ที่ผิดแผกแตกต่างออกไปจากนิสัยของผู้ใหญ่ชาวตรังบางคนที่มักชอบพูดว่า “กาแฟแก้วผมเดียวก็ไม่เคยเลี้ยงใคร”