โดย : ปิ่่น บุตรี

“กระเช้าขึ้นภูกระดึงน่ะรึ เขา(กลุ่มคนและหน่วยงานผู้สร้างกระเช้า ซึ่งผมขอเรียกย่อๆว่า “กนช.”)คงสร้างแน่ เพราะจากข่าวที่ออกมาที่พวกเราและคนในพื้นที่ได้ยินก็คือ เขาเตรียมการสร้างกระเช้าไว้หมดแล้ว แต่ว่ารอให้เลือกตั้งผ่านไปก่อน เฮ้อ...ถ้ากระเช้าเสร็จ ลูกหาบอย่างผมคงตกงาน งานนี้ผมคงต้องทิ้งบ้านช่องเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯแน่ๆ”
ลูกหาบวัยกลางคนที่แบกของผมขึ้นมาตัดพ้อให้ฟังในระหว่างที่รับเงินค่าจ้างแบกของ
แม้ว่าหุ่นของแกจะล่ำบึ๊กประมาณน้องๆอาร์โนลด์ผสมกับซิลเวสเตอร์และเดอะร็อค แต่ว่าใบหน้าและประกายตากลับดูรันทดหดหู่
ผมไม่รู้ว่าประกายตาและสีหน้าที่ดูหดหู่นั้นเกี่ยวข้องกันกับเรื่องการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงหรือเปล่า แต่ว่าเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่าเกี่ยวข้องกันอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้หากกระเช้าขึ้นภูกระดึงสร้างแล้วเสร็จก็คือ
เมื่อกระเช้ามาบางทีอาจถึงเวลาม้วยมรณาของเหล่าลูกหาบ!?!
และนี่ก็คืออีกหนึ่งในการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบไทยๆที่มองไปที่เม็ดเงินมากกว่า ธรรมชาติ และชีวิตคน(จน)
จากที่เคยขึ้นภูกระดึงมาหลายครั้ง ผมรู้สึกว่าขนาดภูกระดึงที่ต้องเดินขึ้นเขาแบบหฤโหดโคตรเหนื่อย แต่ว่าในช่วงหยุดยาว บนนั้นคนจะเต็มเอี๊ยด นักท่องเที่ยวต้องแย่งกันกิน แย่งกันขี้ แย่งกันแฮบปี้(มีความสุข) และแย่งกัน(หาที่)นอน
บางปีคนล้นภูกระดึงถึงขนาดนักท่องเที่ยวหลายๆคนไม่สามารถขึ้นได้ต้องนอนข้างอยู่ข้างล่าง
โอว...และนี่ถ้าภูกระดึงมีกระเช้า คนยิ่งขึ้นง่าย แล้วเขา(กนช.)จะบริหารจัดการคนอย่างไร
งานนี้ผมไม่อยากคิด เพราะว่าผมไม่ได้คิดสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง!?!
ส่วนเรื่องชีวิตของลูกหาบหลังการสร้างกระเช้านั่นสิ เป็นเรื่องที่น่าคิด ซึ่งจะว่าไปแล้ววิถีของลูกหาบที่ภูกระดึง นับเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่ของภูกระดึงของเหมือนกัน
เรื่องนี้พี่หนู เลี่ยนศรี อายุ 45 ปี หนึ่งในลูกหาบแห่งภูกระดึงได้ถ่ายทอดเรื่องราวของลูกหาบให้ผมฟัง
“ผมทำนา กับหาของป่าเป็นอาชีพหลัก แต่ผมว่ารายได้หลักของผมมันกลับมาจากการเป็นลูกหาบนะ ในแต่ละปีพวกเรา(ลูกหาบ)จะมีรายได้เฉลี่ยจากการเป็นลูกหาบประมาณ 2-3 หมื่นบาท ที่ลูกผมมันเรียนจบ ปวส.ได้ ก็ด้วยเงินจากลูกหาบนี่แหละ เพราะลำพังเงินจากทำนา หาของป่ามันไม่เหลือเก็บเหลือส่งหรอก”
“ช่วงหาบแรกๆนี่มันทรมานน่าดู ตอนผมเริ่มหาบครั้งแรกแบกของประมาณ 40 กิโล(กรัม)มั๊ง มาวันนี้น้ำหนักเฉลี่ยผมหากเดินขึ้นอยู่ที่ 60 กิโล ส่วนเดินลง 80 กิโล วันแรกที่หาบก็เฉยๆนะ แต่พอวันรุ่งขึ้นเท่านั้นแหละ โอ้ โห มันปวดเมื่อไปหมด หาบไปประมาณปีนึงนั่นแหละร่างกายถึงอยู่ตัว แต่ว่าก็ต้องหาบอย่างต่อเนื่องนะ ไม่ใช่หาบแล้วหยุดหายไปเป็นปีกลับมาหาบใหม่ มันก็อีหรอบเดิม คือ เกิดอาการปวดเมื่อยในวันรุ่งขึ้น”
สำหรับโรคที่ลูกหาบเป็นกันมากก็คือโรคเกี่ยวกับเอ็น และหลัง ซึ่งหากใครไปภูกระดึงแล้วสังเกตเวลาลูกหาบเดินจะเห็นว่าพวกเขาเวลาเดินส่วนมากจะแกว่งมือข้างที่ไม่ได้หาบตามไปด้วยแบบเป็นจังหวะ เรื่องนี้พี่หนูบอกว่าเป็นการทำเพื่อให้ร่างกายสมดุล เดินง่าย ส่วนใครที่แบกของไปนานๆไม่ยอมใช้ผ้ารองที่หลัง ช่วงที่หลังสัมผัสกับคานไม้ไผ่ก็จะเกิดเป็นก้อนเนื้อแข็ง หรือ “หนอก” ที่จะค่อยๆไร้ความรู้สึกไปเรื่อยๆ
“หลายๆคนเห็นพวกเราหาบกันเที่ยวนึงได้หลายร้อยบาท ก็คิดว่าพวกเรารวยกัน แต่จริงๆแล้วพวกเราไม่ได้หาบกันทุกวัน เพราะต้องตามคิว และตอนนี้ลูกหาบบนภูกระดึงมีประมาณ 400 คน ระยะห่างของคิวต่อคิวก็หลายวันอยู่ จะมีหาบบ่อยก็ช่วงเดือนธันวาฯ เพราะช่วงนี้คนมาเที่ยวภูกระดึงกันมาก”
นอกจากลูกหาบต้องมีบัตรลูกหาบแล้ว ลูกหาบก็ต้องมีพึงระลึกไว้เสมอว่า ต้องประพฤติตัวเรียบร้อย ที่สำคัญห้ามทำของนักท่องเที่ยวหาย หากใครทำหายจะถูกไล่ออก
“แต่ก็มีนะที่นักท่องเที่ยวแกล้งเรา บอกว่าทำของหาย อย่างเคยมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งไปแจ้งอุทยานฯว่า ทำกล้องหาย แล้วก็กล่าวหาว่าลูกหาบที่แบกขึ้นมาขโมยไป แต่ทางอุทยานฯเช็คกลับจำนวนน้ำหนักของที่แบกขึ้นมาปรากฏว่า น้ำหนักของไม่พร่องไปจากเดิม ซึ่งหากว่ากล้องหายไปน้ำหนักต้องพร่องลง สุดท้ายทางอุทยานฯไต่สวน ปรากกฎว่าเขาต้องการแกล้งพวกเรา”
“นอกจากนี้ก็ยังมีบางคนที่หาของไม่เจอ ก็บอกว่าพวกเราเอาไป แต่สุดท้ายปรากฏว่าเพื่อนเขายกไปให้ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อย แล้วพวกเราก็โดนด่าทุกที บางคนก็ขอโทษ ส่วนบางคนกลับสะบัดตูดหนีไปเลย ก็อย่างว่าแหละพวกเรามันเป็นลูกหาบจนๆ มีการศึกษาน้อยต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร”
กับประโยคนี้พี่หนูเล่าให้ฟังผมรู้สึกอึ้งไปเหมือนกัน และก็ไม่ใช้แต่พี่หนูหรอก พวกลูกหาบหลายๆคนต่างก็พูดออกมาทำนองคล้ายกัน โดยเฉพาะกับเรื่องสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง
“ถึงวันนี้ทางเขา(กนช.) ไม่เคยมารับฟังความคิดเห็นของพวกเราเลย เพียงแค่บอกแต่เพียงว่าเมื่อสร้างกระเช้าแล้ว พวกเรา(ลูกหาบ)ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานทำ เพราะเขา(กนช.)จะให้นักท่องเที่ยวนั่งกระเช้าขึ้นภูกระดึงเท่านั่นส่วนสัมภาระก็จะให้ลูกหาบแบกขึ้นไปเหมือนเดิม”
เรื่องนี้ฟังเผินๆเหมือนดูดี แต่หากฟังลูกหาบเล่าต่อแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นแค่ลมปากที่ขอแก้ผ้าเอาหน้ารอดมากกว่า
“หากบนภูกระดึงมีกระเช้า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนั่งกระเช้าขึ้นเที่ยวบนภูกระดึงแบบไปเช้าเย็นกลับ เพราะนั่งกระเช้าประมาณ 20 นาทีก็ถึงบนยอดภูแล้ว นักท่องเที่ยวคงไม่ขนสัมภาระขึ้นมาเยอะ จะมีก็กระเป๋าเบาๆที่พกติดตัวขึ้นกระเช้าได้”
“ส่วนคนที่ขึ้นมาค้างคืนข้างบน หากว่าจ้างลูกหาบขนของขึ้นมา ส่วนเขานั่งกระเช้าขึ้นมาแป๊บเดียว แต่พวกเราเดินขึ้นเขามากว่า 5 กิโล(เมตร) ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่ว ใครเขาจะมารอ ส่วนพวกที่เที่ยววันเดียว บางทีกว่าลูกหาบจะแบกของขึ้นมาถึง เขาก็ลงกันหมดแล้ว”
นั้นคือเสียงสะท้อนของลูกหาบส่วนใหญ่ ซึ่งหากภูกระดึงมีกระเช้าพวกเขาต้องหันไปทำอาชีพอื่น เพราะถึงแม้ว่าเขา(กนช.) จะบอกว่าเมื่อมีกระเช้าลูกหาบไม่ต้องกลัวตกงาน เพราะจะมีงานรองรับ แต่ลูกหาบต่างก็พูดกันว่า คนที่จะได้ทำงานกับเขาคงมีแค่ส่วนหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นคนของเขา(กนช.)
“คนจนๆไม่มีความรู้อย่างเฮา ไผสิต้องการ”
พี่ลูกหาบคนหนึ่งเว้าซื่อๆ ซึ่งเมื่อผมฟังแล้วค่อนข้างหดหู่
เพราะหากบนภูกระดึงมีกระเช้า ตำนานการท่องเที่ยวในภาคกระเช้าที่ถือเป็นบทใหม่ของภูกระดึงคงถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งผมก็คาดเดาไม่ถูกว่าในอนาคตภูกระดึงจะเปลี่ยนไปอย่างไร
แต่ภาพที่ผมเห็นเป็นเงาลางๆ ก็คือเขา(กนช.)คงภูมิใจกับจำนวนนักท่องเที่ยว และเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ตามมาหลังภูกระดึงมีกระเช้า และเขา(กนช.)คงยิ้มปลาบปลื้มกับความสำเร็จของโครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง ซึ่งผมนึกภาพไม่ออกว่าใบหน้าที่เขา(กนช.)แสยะยิ้มจะดูน่ารักหรือดูน่าอัปลักษณ์ปานใด เพราะในรอยยิ้มของเขา(กนช.) มันแทนที่ด้วยใบหน้าอันรันทดและเสียงร่ำไห้ของเหล่าลูกหาบแห่งภูกระดึง ซึ่งบางทีนี่อาจจะเป็นการปิดฉากตำนานลูกหาบแห่งภูกระดึงอย่างถาวรก็เป็นได้ !?!
“กระเช้าขึ้นภูกระดึงน่ะรึ เขา(กลุ่มคนและหน่วยงานผู้สร้างกระเช้า ซึ่งผมขอเรียกย่อๆว่า “กนช.”)คงสร้างแน่ เพราะจากข่าวที่ออกมาที่พวกเราและคนในพื้นที่ได้ยินก็คือ เขาเตรียมการสร้างกระเช้าไว้หมดแล้ว แต่ว่ารอให้เลือกตั้งผ่านไปก่อน เฮ้อ...ถ้ากระเช้าเสร็จ ลูกหาบอย่างผมคงตกงาน งานนี้ผมคงต้องทิ้งบ้านช่องเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯแน่ๆ”
ลูกหาบวัยกลางคนที่แบกของผมขึ้นมาตัดพ้อให้ฟังในระหว่างที่รับเงินค่าจ้างแบกของ
แม้ว่าหุ่นของแกจะล่ำบึ๊กประมาณน้องๆอาร์โนลด์ผสมกับซิลเวสเตอร์และเดอะร็อค แต่ว่าใบหน้าและประกายตากลับดูรันทดหดหู่
ผมไม่รู้ว่าประกายตาและสีหน้าที่ดูหดหู่นั้นเกี่ยวข้องกันกับเรื่องการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงหรือเปล่า แต่ว่าเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่าเกี่ยวข้องกันอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้หากกระเช้าขึ้นภูกระดึงสร้างแล้วเสร็จก็คือ
เมื่อกระเช้ามาบางทีอาจถึงเวลาม้วยมรณาของเหล่าลูกหาบ!?!
และนี่ก็คืออีกหนึ่งในการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบไทยๆที่มองไปที่เม็ดเงินมากกว่า ธรรมชาติ และชีวิตคน(จน)
จากที่เคยขึ้นภูกระดึงมาหลายครั้ง ผมรู้สึกว่าขนาดภูกระดึงที่ต้องเดินขึ้นเขาแบบหฤโหดโคตรเหนื่อย แต่ว่าในช่วงหยุดยาว บนนั้นคนจะเต็มเอี๊ยด นักท่องเที่ยวต้องแย่งกันกิน แย่งกันขี้ แย่งกันแฮบปี้(มีความสุข) และแย่งกัน(หาที่)นอน
บางปีคนล้นภูกระดึงถึงขนาดนักท่องเที่ยวหลายๆคนไม่สามารถขึ้นได้ต้องนอนข้างอยู่ข้างล่าง
โอว...และนี่ถ้าภูกระดึงมีกระเช้า คนยิ่งขึ้นง่าย แล้วเขา(กนช.)จะบริหารจัดการคนอย่างไร
งานนี้ผมไม่อยากคิด เพราะว่าผมไม่ได้คิดสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง!?!
ส่วนเรื่องชีวิตของลูกหาบหลังการสร้างกระเช้านั่นสิ เป็นเรื่องที่น่าคิด ซึ่งจะว่าไปแล้ววิถีของลูกหาบที่ภูกระดึง นับเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่ของภูกระดึงของเหมือนกัน
เรื่องนี้พี่หนู เลี่ยนศรี อายุ 45 ปี หนึ่งในลูกหาบแห่งภูกระดึงได้ถ่ายทอดเรื่องราวของลูกหาบให้ผมฟัง
“ผมทำนา กับหาของป่าเป็นอาชีพหลัก แต่ผมว่ารายได้หลักของผมมันกลับมาจากการเป็นลูกหาบนะ ในแต่ละปีพวกเรา(ลูกหาบ)จะมีรายได้เฉลี่ยจากการเป็นลูกหาบประมาณ 2-3 หมื่นบาท ที่ลูกผมมันเรียนจบ ปวส.ได้ ก็ด้วยเงินจากลูกหาบนี่แหละ เพราะลำพังเงินจากทำนา หาของป่ามันไม่เหลือเก็บเหลือส่งหรอก”
“ช่วงหาบแรกๆนี่มันทรมานน่าดู ตอนผมเริ่มหาบครั้งแรกแบกของประมาณ 40 กิโล(กรัม)มั๊ง มาวันนี้น้ำหนักเฉลี่ยผมหากเดินขึ้นอยู่ที่ 60 กิโล ส่วนเดินลง 80 กิโล วันแรกที่หาบก็เฉยๆนะ แต่พอวันรุ่งขึ้นเท่านั้นแหละ โอ้ โห มันปวดเมื่อไปหมด หาบไปประมาณปีนึงนั่นแหละร่างกายถึงอยู่ตัว แต่ว่าก็ต้องหาบอย่างต่อเนื่องนะ ไม่ใช่หาบแล้วหยุดหายไปเป็นปีกลับมาหาบใหม่ มันก็อีหรอบเดิม คือ เกิดอาการปวดเมื่อยในวันรุ่งขึ้น”
สำหรับโรคที่ลูกหาบเป็นกันมากก็คือโรคเกี่ยวกับเอ็น และหลัง ซึ่งหากใครไปภูกระดึงแล้วสังเกตเวลาลูกหาบเดินจะเห็นว่าพวกเขาเวลาเดินส่วนมากจะแกว่งมือข้างที่ไม่ได้หาบตามไปด้วยแบบเป็นจังหวะ เรื่องนี้พี่หนูบอกว่าเป็นการทำเพื่อให้ร่างกายสมดุล เดินง่าย ส่วนใครที่แบกของไปนานๆไม่ยอมใช้ผ้ารองที่หลัง ช่วงที่หลังสัมผัสกับคานไม้ไผ่ก็จะเกิดเป็นก้อนเนื้อแข็ง หรือ “หนอก” ที่จะค่อยๆไร้ความรู้สึกไปเรื่อยๆ
“หลายๆคนเห็นพวกเราหาบกันเที่ยวนึงได้หลายร้อยบาท ก็คิดว่าพวกเรารวยกัน แต่จริงๆแล้วพวกเราไม่ได้หาบกันทุกวัน เพราะต้องตามคิว และตอนนี้ลูกหาบบนภูกระดึงมีประมาณ 400 คน ระยะห่างของคิวต่อคิวก็หลายวันอยู่ จะมีหาบบ่อยก็ช่วงเดือนธันวาฯ เพราะช่วงนี้คนมาเที่ยวภูกระดึงกันมาก”
นอกจากลูกหาบต้องมีบัตรลูกหาบแล้ว ลูกหาบก็ต้องมีพึงระลึกไว้เสมอว่า ต้องประพฤติตัวเรียบร้อย ที่สำคัญห้ามทำของนักท่องเที่ยวหาย หากใครทำหายจะถูกไล่ออก
“แต่ก็มีนะที่นักท่องเที่ยวแกล้งเรา บอกว่าทำของหาย อย่างเคยมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งไปแจ้งอุทยานฯว่า ทำกล้องหาย แล้วก็กล่าวหาว่าลูกหาบที่แบกขึ้นมาขโมยไป แต่ทางอุทยานฯเช็คกลับจำนวนน้ำหนักของที่แบกขึ้นมาปรากฏว่า น้ำหนักของไม่พร่องไปจากเดิม ซึ่งหากว่ากล้องหายไปน้ำหนักต้องพร่องลง สุดท้ายทางอุทยานฯไต่สวน ปรากกฎว่าเขาต้องการแกล้งพวกเรา”
“นอกจากนี้ก็ยังมีบางคนที่หาของไม่เจอ ก็บอกว่าพวกเราเอาไป แต่สุดท้ายปรากฏว่าเพื่อนเขายกไปให้ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อย แล้วพวกเราก็โดนด่าทุกที บางคนก็ขอโทษ ส่วนบางคนกลับสะบัดตูดหนีไปเลย ก็อย่างว่าแหละพวกเรามันเป็นลูกหาบจนๆ มีการศึกษาน้อยต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร”
กับประโยคนี้พี่หนูเล่าให้ฟังผมรู้สึกอึ้งไปเหมือนกัน และก็ไม่ใช้แต่พี่หนูหรอก พวกลูกหาบหลายๆคนต่างก็พูดออกมาทำนองคล้ายกัน โดยเฉพาะกับเรื่องสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง
“ถึงวันนี้ทางเขา(กนช.) ไม่เคยมารับฟังความคิดเห็นของพวกเราเลย เพียงแค่บอกแต่เพียงว่าเมื่อสร้างกระเช้าแล้ว พวกเรา(ลูกหาบ)ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานทำ เพราะเขา(กนช.)จะให้นักท่องเที่ยวนั่งกระเช้าขึ้นภูกระดึงเท่านั่นส่วนสัมภาระก็จะให้ลูกหาบแบกขึ้นไปเหมือนเดิม”
เรื่องนี้ฟังเผินๆเหมือนดูดี แต่หากฟังลูกหาบเล่าต่อแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นแค่ลมปากที่ขอแก้ผ้าเอาหน้ารอดมากกว่า
“หากบนภูกระดึงมีกระเช้า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนั่งกระเช้าขึ้นเที่ยวบนภูกระดึงแบบไปเช้าเย็นกลับ เพราะนั่งกระเช้าประมาณ 20 นาทีก็ถึงบนยอดภูแล้ว นักท่องเที่ยวคงไม่ขนสัมภาระขึ้นมาเยอะ จะมีก็กระเป๋าเบาๆที่พกติดตัวขึ้นกระเช้าได้”
“ส่วนคนที่ขึ้นมาค้างคืนข้างบน หากว่าจ้างลูกหาบขนของขึ้นมา ส่วนเขานั่งกระเช้าขึ้นมาแป๊บเดียว แต่พวกเราเดินขึ้นเขามากว่า 5 กิโล(เมตร) ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่ว ใครเขาจะมารอ ส่วนพวกที่เที่ยววันเดียว บางทีกว่าลูกหาบจะแบกของขึ้นมาถึง เขาก็ลงกันหมดแล้ว”
นั้นคือเสียงสะท้อนของลูกหาบส่วนใหญ่ ซึ่งหากภูกระดึงมีกระเช้าพวกเขาต้องหันไปทำอาชีพอื่น เพราะถึงแม้ว่าเขา(กนช.) จะบอกว่าเมื่อมีกระเช้าลูกหาบไม่ต้องกลัวตกงาน เพราะจะมีงานรองรับ แต่ลูกหาบต่างก็พูดกันว่า คนที่จะได้ทำงานกับเขาคงมีแค่ส่วนหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นคนของเขา(กนช.)
“คนจนๆไม่มีความรู้อย่างเฮา ไผสิต้องการ”
พี่ลูกหาบคนหนึ่งเว้าซื่อๆ ซึ่งเมื่อผมฟังแล้วค่อนข้างหดหู่
เพราะหากบนภูกระดึงมีกระเช้า ตำนานการท่องเที่ยวในภาคกระเช้าที่ถือเป็นบทใหม่ของภูกระดึงคงถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งผมก็คาดเดาไม่ถูกว่าในอนาคตภูกระดึงจะเปลี่ยนไปอย่างไร
แต่ภาพที่ผมเห็นเป็นเงาลางๆ ก็คือเขา(กนช.)คงภูมิใจกับจำนวนนักท่องเที่ยว และเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ตามมาหลังภูกระดึงมีกระเช้า และเขา(กนช.)คงยิ้มปลาบปลื้มกับความสำเร็จของโครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง ซึ่งผมนึกภาพไม่ออกว่าใบหน้าที่เขา(กนช.)แสยะยิ้มจะดูน่ารักหรือดูน่าอัปลักษณ์ปานใด เพราะในรอยยิ้มของเขา(กนช.) มันแทนที่ด้วยใบหน้าอันรันทดและเสียงร่ำไห้ของเหล่าลูกหาบแห่งภูกระดึง ซึ่งบางทีนี่อาจจะเป็นการปิดฉากตำนานลูกหาบแห่งภูกระดึงอย่างถาวรก็เป็นได้ !?!
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
"เก็บ"มิตรภาพที่ตกหล่น บน"ภูกระดึง"
จาก“ภูกระดึง”ถึง“เก็บตะวัน”
ที่สุดแห่งภูกระดึง
ข้อมูลอุทยานแห่งชาติภูกระดึง