ก่อนที่ประเทศไทยจะขยายเขตการปกครองเป็น 76 จังหวัดในปัจจุบัน คงจำกันได้ว่าประเทศไทยเคยมี 73 จังหวัด แต่จะยังจำกันได้ไหมว่า จังหวัดที่ 73 ของประเทศไทยนั้นคือ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดลำดับที่ 17 ของภาคอีสาน ซึ่งมีคำขวัญว่า
“หอแก้วสูงเสียดฟ้า ภูผาเทิบแก่งกะเบา แปดเผ่าชนพื้นเมือง ลือเลื่องมะขามหวาน กลองโบราณล้ำเลิศ ถิ่นกำเนิดลำผญา ตระการตาชายโขง เชื่อมโยงอินโดจีน”
ชาวเมืองทั่วไปจะเรียกมุกดาหารว่า “เมืองมุก” ซึ่งที่มาของชื่อก็เพราะมีผู้พบเห็นดวงแก้วสดใสเปล่งปลั่งในขณะที่กำลังสร้างเมือง (พ.ศ.2331) จนผ่านล่วงมาถึงตอนนี้ มุกดาหารกลายมาเป็น “ประตูสู่อินโดจีน” เพราะกำลังมีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 เชื่อมจังหวัดมุกดาหารกับ “เมืองคู่แฝด” คือแขวงสะหวันนะเขตของ สปป.ลาว ซึ่งยังสามารถเชื่อมโยงการท่องเที่ยวไปถึงเวียดนาม โดยใช้เส้นทางหมายเลข 9 “ข้ามแดนสามแผ่นดิน” ไปสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนและความสวยงามของธรรมชาติ ดื่มด่ำกับศิลปวัฒนธรรมตะวันออกที่ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมตะวันตก นับจากเมืองมุกดาหารข้ามไปแขวงสะหวันนะเขต สู่เมืองดงฮา กวางตรี แล้วต่อไปที่เส้นทางหมายเลข 1 ถึงเมืองเว้ ดานัง และเมืองฮอยอัน
ความโดดเด่นอย่างหนึ่งของเมืองมุกคือ เป็นเมืองที่มีชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆ ถึง 8 เผ่า คือ เผ่าไทยอีสาน ภูไท ไทยข่า ไทยกะโซ่ ไทยย้อ ไทยแสก ไทยกะเลิง และไทยกุลา ซึ่งสามารถจะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีปัญหา แต่ละเผ่าก็จะมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่และเอกลักษณ์วัฒนธรรมที่น่าสนใจ ซึ่งถ้าอยากรู้จักแต่ละเผ่าให้มากขึ้น แนะนำว่าควรจะไปที่หอแก้วมุกดาหาร ที่ตั้งอยู่บนถนนมุกดาหาร-ดอนตาล ห่างจากอำเภอเมืองเพียง 2 กม.
“หอแก้วมุกดาหาร” สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสครองราชย์ครบ 50 ปี ภายในหอแก้วได้จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตของชาวบ้านไว้ที่ชั้น 1 ส่วนชั้น 2 เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติเมืองมุกดาหารวัตถุโบราณ ภาพถ่ายเก่าๆ ตลอดจนเครื่องแต่งกายชาวไทยมุกดาหารทั้ง 8 เผ่า ผ่านไปที่ชั้น 6 เป็นหอชมทัศนียภาพรอบเมืองมุกดาหารและเมืองสะหวันนะเขต สปป.ลาว เพราะเขามีกล้องส่องทางไกลไว้บริการ เรียกว่า 360 องศาของมุกดาหารนี่สามารถจะมองเห็นกันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ส่วนที่ชั้น 7 เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธนวมิ่งมงคลมุกดาหารและพระประจำวันเกิดให้ประชาชนที่ไปได้สักการะ
แต่ถ้าอยากจะไหว้พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองต้องไปที่ “วัดศรีมงคลใต้” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงในตัวเมืองมุกดาหาร ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูป “พระเจ้าองค์หลวง” พระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนที่สร้างก่อนตั้งเมืองมุกดาหาร แต่ไม่ปรากฏว่าสร้างในสมัยใด
นอกจากนี้ในตัวเมืองมุกดาหารยังมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง ทั้ง “วัดศรีบุญเรือง” ที่ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธสิงห์สอง พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ที่เจ้ากินรี เจ้าเมืองมุกดาหารในอดีต ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทร์ ในงานสงกรานต์ของอำเภอเมืองมุกดาหาร ชาวอำเภอเมืองมุกดาหารได้กระทำพิธีอัญเชิญพระพุทธสิงห์สองจากพระอุโบสถวัดศรีบุญเรืองแห่รอบเมือง แล้วนำไปประดิษฐานบนแท่นที่จัดไว้ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้สรงน้ำเป็นประจำทุกปี
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะบูชาคู่บ้านคู่เมือง ของมุกดาหารยังมี “ศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง” อยู่ที่ถนนสองนางสถิตย์ และ “ศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง” ซึ่งตั้งอยู่ถนนสำราญชายโขงริมแม่น้ำ ติดกับท่าด่านตรวจคนเข้าเมือง และตลาดอินโดจีนซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าสารพัดอย่าง ทั้งสินค้าจากจีน รัสเซีย เวียดนาม ลาว รวมถึงสินค้าหัตถกรรมของมุกดาหารเอง เช่น ผ้าไหม หมอนขิด รวมทั้งสมุนไพรพื้นบ้านต่างๆ มากมาย และถ้ามาในช่วงที่มีมะขามหวาน ก็จะได้ลิ้มชิมรสที่แสนอร่อย เพราะมุกดาหารนั้นเป็นแหล่งกำเนิดมะขามหวานพันธุ์ดี
ออกจากตัวเมืองมุ่งหน้าไปที่ อ.ดอนตาล อย่าลืมแวะที่วัดมัชฌิมาวาส ซึ่งเป็นที่เก็บรักษา “กลองมโหระทึก” กลองสัมฤทธิ์หน้าเดียว เส้นผ่าศูนย์กลาง 86 ซม. ที่นับเป็นกลองมโหระทึกขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คาดว่าอายุไม่ต่ำกว่า 3,000 ปี และเป็นกลองที่พวกข่าและขอมโบราณชอบเก็บสะสมไว้ อยากเห็นกลองโบราณว่าหน้าตาเป็นอย่างไรก็คงต้องไปดูกัน
นอกจากนี้มุกดาหารยังมีสิ่งที่น่าสนใจและมีความสำคัญอีกหลายแหล่ง เช่น “วัดมโนภิรมย์” วัดเก่าแก่ มีวิหารที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมล้านช้าง หน้าวัดยังมีหาดทรายที่งดงามเรียกว่าหาดมโนภิรมย์ “วัดโพธิ์ศรี” ที่ภายในวัดจะมีโบราณสถานคือ สิมอีสาน(โบสถ์) เก่าแก่ “สักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี วัดบ้านสองคอน” วัดคริสต์(โรมันคาธอลิก) ที่มีโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย
มุกดาหารยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม อย่างเช่น ภูหมู แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามซึ่งเคยมีหมูป่าชุกชุมมาก จึงได้ชื่อว่า “ภูหมู” บนยอดเขามีจุดซึ่งเป็นหน้าผาให้ชมวิวหลายจุด ทำให้เห็นทิวทัศน์ ภูและเทือกเขาสลับซับซ้อน ส่วนที่อุทยานแห่งชาติ มุกดาหาร หรือ “ภูผาเทิบ” ซึ่งเป็นผาสูงและลานหินกว้างรูปร่างแปลกๆ มากมาย ทั้งที่ดูคล้ายร่ม ดอกเห็ด เครื่องบินไอพ่น รองเท้าบู๊ท เก๋งจีน จานบิน หรือใครจะเห็นเป็นรูปอะไรก็แล้วแต่จินตนาการของแต่ละคน ถ้ามาในช่วงปลายฝนต้นหนาว ก็จะมีดอกไม้นานาชนิด ทั้งดอกกระดุม ดอกสร้อยสุวรรณา ดอกข่อยหมื่นปี บานสะพรั่งอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังมีลานมุจลินท์ ภูถ้ำพระ ถ้ำฝ่ามือแดง ให้ได้เที่ยวชมอีกด้วย
ส่วนสายน้ำโขงที่ไหลเลียบจังหวัดมุกดาหารเป็นความยาวถึง 70 กม. (โดยบริเวณที่ไหลผ่านตัวเมืองมุกดาหาร ถือได้ว่าเป็นช่วงกว้างที่สุดของประเทศไทย คือกว้างถึง 1,600 เมตร) ได้ก่อเกิดทั้งความอุดมสมบูรณ์และทิวทัศน์ที่สวยงามซึ่งก็รวมถึง “แก่งกะเบา” แก่งหินที่ยาวเหยียดตามลำน้ำโขง บนฝั่งมีลานหินกว้างใหญ่ให้ได้พักผ่อนและเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ในช่วงฤดูแล้งที่น้ำลดจะเห็นเกาะแก่งกลางน้ำและหาดทรายที่สวยมากๆ
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจของมุกดาหาร คือ เป็นเมืองต้นกำเนิดของ “ผญา” ซึ่งเป็นคำสุภาษิตของชาวอีสานที่จะสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในจารีตประเพณี ฟังแล้วต้องนำมาคิดวิเคราะห์ ซึ่งทำให้ได้ความรู้ สติปัญญา และความสนุกเพลิดเพลิน
ลองหาเวลาว่างไปเที่ยวและทำความรู้จักเมืองมุกดาหารดูสักครั้ง แล้วจะได้รับความสำราญกลับมาอย่างท่วมท้น
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
มุกดาหาร มีท่าด่านที่นักท่องเที่ยวสามารถจะข้ามไปที่แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว โดยใช้หลักฐานการยื่นขออนุญาตผ่านแดน ถ้าเป็นบัตรผ่านแดนรายปี ใช้ รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว 2 รูป บัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ฉบับ ค่าธรรมเนียม 200 บาท ถ้าเป็นบัตรผ่านแดนชั่วคราวใช้เอกสารเหมือนกัน เพียงแต่ค่าธรรมเนียม 30 บาท เปิดบริการทุกวัน 8.30-16.30 น.
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ด่านตรวจคนเข้าเมืองมุกดาหาร โทร. 0-4263-2878 หรือบริษัท เรือโดยสารมุกดาหาร จำกัด โทร.0-4261-2592
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ สำนักงาน ททท. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 4 โทร. 0-4251-3490-1
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
จังหวัดมุกดาหาร
ข้อมูลท่องเที่ยวมุกดาหาร